วชิราภรณ์ยืนมองบ้านหลังใหญ่ตั้งตระหง่านภายใต้ร่มเงาของต้นไม้น้อยใหญ่ ดูร่มรื่นจากแมกไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขา หญิงสาวเดินมาหยุดยืนริมกำแพงสูงประมาณสองเมตรตรงบริเวณสนามหญ้า ดวงตาทั้งสองข้างมองผ่านอิฐบล็อกที่เป็นช่องว่างตามลวดลาย นัยน์ตาหวานซึ้งสั่นไหวเล็กน้อย เมื่อโสตประสาทตามองเห็นภาพครอบครัวหนึ่งกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่บนโต๊ะกลางสนาม ทั้งสามชีวิตพูดคุยและหัวเราะกันอย่างมีความสุข ภาพนี้สะเทือนใจเธอยิ่งนัก
ไม่เพียงแต่ภาพนั้นที่สร้างความเจ็บปวดให้กับเธอ ภาพของณัฐพลโอบกอดเขมิกาก็เป็นภาพหนึ่งที่เพิ่มแรงริษยาในใจเพิ่มพูนมากขึ้น ยามเห็นบิดาจรดปลายจมูกลงบนแก้มของน้องสาวต่างมารดา ก่อนจะหันไปหอมแก้มของศรีภรรยา ช่างเป็นภาพที่ทำให้จิตใจของวชิราภรณ์เจ็บช้ำและหมองเศร้ามากขึ้นและมากขึ้น
“คนที่อยู่ตรงนั้นควรจะเป็นผึ้งกับแม่ ไม่ใช่มันสองคน”
วชิราภรณ์พูดกับตัวเองทั้งน้ำตา ดวงตาเปล่งแสงคล้ายไฟต้องลม ความอิจฉาริษยารวมทั้งแรงแค้นท่วมท้นจนปวดร้าวไปทั่วอก เธอต่างหากที่สมควรจะนั่งแทนที่เขมิกา เก้าอี้ที่วรางค์คนางค์นั่งก็เช่นกัน เก้าอี้ตัวนั้นเป็นของกัญญามารดาสุดที่รัก วชิราภรณ์กับกัญญาถูกแย่งชิงความรัก ความอบอุ่น ความชอบธรรมไปอย่างเลือดเย็น
คนแอบมองอยากจะวิ่งเข้าไปตรงจุดนั้น แล้วบอกกับณัฐพลว่า เธอก็คือลูกสาวของเขา ลูกสาวคนนี้ต้องการอ้อมกอด ความอบอุ่นและความรักจากคนที่เป็นพ่อ ทว่าอีกใจก็อยากจะก้าวเท้าหนีภาพที่สร้างปมด้อย ความรวดร้าวหัวใจให้กับตนเองเช่นกัน
หญิงสาวเผลอกำมือแน่นเมื่อมองเห็นท่าทีของเขมิกา น้องสาวต่างมารดายิ้มระรื่นราวกับว่าไม่มีความเจ็บปวดจากการที่คนรักไปมีหญิงอื่น ดวงหน้าของน้องสาวอิ่มเอิบ สดใส ไร้ความหมองคล้ำจากการอดหลับอดนอน ต่างกับครั้งก่อนๆ อดีตคนรักสามรายของเขมิกาที่ถูกพี่สาวนิสัยไม่ดีแย่งชิงมา น้องสาวของเธอจะร้องไห้ตาบวม ใบหน้าหมองคล้ำราวกับคนอมทุกข์ วชิราภรณ์มองเห็นภาพนั้นแล้วมันช่างสะใจเธอเหลือเกิน ครั้งนี้ไม่ใช่ ไม่มีปฏิกิริยาอันใดเลยที่บ่งบอกว่าเขมิกาเสียอกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ การณ์ปรากฏว่าเป็นเธอเองที่เจ็บปวด ทุกข์ทรมานหัวใจ
“ทำไมพ่อไม่สนใจแม่กับผึ้งบ้าง ผึ้งอยากให้พ่อกอด พ่อหอม ให้ความอบอุ่นกับผึ้ง เหมือนที่พ่อให้กับน้อง ผึ้งอยากรู้เหลือเกินว่า อ้อมกอดของพ่อจะอบอุ่นมากแค่ไหน”
วชิราภรณ์พูดกับภาพที่เห็น น้ำตาแห่งความเสียใจปนน้อยใจไหลรินไม่หยุด หญิงสาวหัวใจช้ำหันหลังให้กับภาพที่ทนยืนมองอยู่นาน ก่อนจะทรุดกายลงนั่งบนพื้นปูนตรงขอบถนน กอดเข่าของตนเองเอาไว้แน่น แนบใบหน้าลงชิดติดหัวเข่า ระบายความอัดอั้นตันใจ ความเสียใจ ความน้อยเนื้อต่ำใจเป็นหยาดน้ำตาและเสียงสะอื้นไห้จนตัวโยน มาบ้านหลังนี้ครั้งใด เธอต้องพกความรู้สึกทั้งหลายเหล่านั้นกลับไปทุกครั้ง
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
เสียวทุ้มทว่านุ่มนวลเอ่ยถามสตรีนางหนึ่งที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่ริมรั้ว กัมปนาทขับรถออกมาจากบ้านวีรกุลชัยเพื่อออกไปทำงานตามปกติ พอเลี้ยวออกมาจากประตูรั้วบ้านเท่านั้นสายตาของเขาพลันสะดุดเห็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งซุกใบหน้าลงกับหัวเข่า ท่าทางที่เขาเห็นนั้นเหมือนเธอกำลังร้องไห้ กัมปนาทจึงหยุดรถแล้วก้าวลงมาเพื่อถามไถ่
วชิราภรณ์เงยหน้ามองผู้พูดทั้งน้ำตา ก่อนจะลุกขึ้นยืนใช้หลังมือปาดน้ำตาทิ้งราวกับเด็กน้อย กัมปนาทอึ้งไปชั่วขณะเมื่อได้ยลโฉมใบหน้าของผู้หญิงขี้แงตรงหน้า น้ำตาที่ไหลอาบแก้มไม่ได้ทำให้ความงดงามของเธอลดน้อยถอยลงเลย ดวงตาคู่สวยปนเศร้า เคล้ากับหยาดน้ำตามีเสน่ห์อย่างมากมาย เธอไม่จัดว่าเป็นผู้หญิงที่สวยชนิดชายเหลียวหลัง ทว่าผู้หญิงตรงหน้าน่ารัก และมีเสน่ห์ดึงดูดใจชาย โดยเฉพาะดวงตาแม้ว่ามันจะบ่งบอกถึงความเศร้า แต่ก็ยังตรึงใจเขาได้เป็นอย่างดี
“ไม่เป็นไรคะ” เธอตอบเสียงเครือสั่น ยังคงใช้ฝ่ามือเช็ดหน้าเช็ดตาต่อไป กัมปนาทเห็นแล้วรู้สึกเอ็นดูอย่างประหลาด เขาล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมา ก่อนจะยื่นให้กับสาวขี้แง
“นี่ครับผ้าเช็ดหน้า รับรองสะอาดครับ”
วชิราภรณ์ลังเลจะรับผ้าเช็ดหน้าจากชายแปลกหน้า เหมือนเขาจะรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร จึงพูดเสริมให้หญิงสาวคลายความกังวลใจ
“ผ้าเช็ดหน้าของผมปลอดภัยหายห่วงครับ ไม่มียาสลบเจือปน อีกอย่างผมอยู่บ้านหลังนี้ด้วยครับ” คำพูดของเขาเรียกความสนใจให้กับวชิราภรณ์ทันที
“คุณอยู่บ้านหลังนี้หรือคะ”
“ใช่ครับ ผมเป็นหลานของคุณอาคนางค์ภรรยาของเจ้าของบ้านครับ”
วชิราภรณ์มองหน้าผู้พูดนิ่ง ผู้ชายคนนี้อยู่ร่วมบ้านกับบิดาและน้องสาวของเธออย่างนั้นหรือ แถมยังเป็นหลานชายของนางแม่มดอีกด้วย อะไรมันช่างเหมาะเจาะเช่นนี้ แผนการบางอย่างแล่นเข้ามาในสมองแบบทันท่วงที มือเรียวสวยยื่นไปรับผ้าเช็ดหน้าผืนสีน้ำเงินจากมือหนา ก่อนจะนำมาเช็ดหน้าเช็ดตา
“ขอบคุณนะคะ ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ฉันจะเอาไปซักแล้วจะมาคืนคุณวันหลังนะคะ”
วชิราภรณ์ทำตามแผนที่คิดไว้ในใจทันที การให้ท่าผู้ชายไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอเลย มันง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากเสียอีก
“ไม่ต้องหรอกครับ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ผมเอาไปซักเองก็ได้ครับ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันทำผ้าเช็ดหน้าของคุณเปื้อน ฉันก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ ว่าแต่ทำไมคุณถึงมานั่งร้องไห้ตรงนี้ครับ”
หากเขาให้ผู้หญิงคนอื่นใช้ผ้าเช็ดหน้า หลังจากผู้หญิงคนนั้นใช้เสร็จเขาก็จะทิ้งมันไป แต่กลับผู้หญิงคนหน้าตรงนี้ไม่ใช่ เขาอยากจะเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเอาไว้กับตัว เป็นไปได้เขาอยากจะขอผ้าเช็ดหน้าคืนตอนนี้ด้วยซ้ำไป จะไม่ซักทำลายคราบน้ำตาที่ฝังลงไปในเนื้อผ้า ให้มันจารึกอยู่อย่างนั้น
“ฉันมาหาเพื่อนที่อยู่ในซอยนี้น่ะคะ แต่ว่าเพื่อนออกไปแล้ว ขากลับฉันก็เดินมาเรื่อยๆ จนมาถึงรั้วบ้านคุณ แล้วเผอิญเห็นภาพครอบครัวอบอุ่นที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะกลางสนาม ฉันเห็นแล้วก็อดมาเปรียบเทียบกับตัวเองไม่ได้ค่ะ ฉันเกิดมาก็ไม่เคยเห็นหน้าพ่อ ไม่เคยรู้จักความรัก ความอบอุ่นจากพ่อเลย พอเห็นภาพนั้นก็เลยร้องไห้น่ะคะ”
วชิราภรณ์ปดครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งคือความเป็นจริงที่เธอต้องแบกรับเอาไว้ยี่สิบห้าปีเต็ม กัมปนาทรู้สึกสงสารกับโชคชะตาของหญิงสาวตรงหน้าเหลือเกิน เขาไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะโกหก เนื่องจากตอนที่เธอพูดนั้น สายตามองไปยังภาพครอบครัวของอาสาวตลอดเวลา แต่พอหันมามองหน้าเขา ดวงตาคู่เศร้าเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาบอกถึงความทุกข์ ความเสียใจ
“ผมขอโทษนะครับที่ถามคำถามนั้นออกไป คุณก็เลยร้องไห้อีก”
“ไม่เป็นไรคะ ฉันชินแล้ว ผ้าเช็ดหน้าของคุณฉันจะส่งมาให้ทางไปรษณีย์นะคะ เพราะไม่รู้ว่าจะมาที่นี่อีกเมื่อไหร่ หรือว่าคุณไม่อยากได้ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้แล้วก็บอกนะคะ ฉันจะได้เอาเก็บไว้ใช้เอง ย้ำเตือนถึงเจ้าของที่มีใจเอื้อเฟื้อต่อฉัน” เธอเหวี่ยงแหเพื่อให้เหยื่อติดกับดัก
“ผมคิดว่าส่งทางไปรษณีย์มันอาจจะยุ่งยาก จะให้คุณเลยก็ไม่ได้เพราะผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นผืนโปรดของผม เอาอย่างนี้ดีกว่าครับ เรานัดเจอกันดีไหมครับ” วชิราภรณ์กระหยิ่มยิ้มในใจ เหยื่อติดกับเธอแล้ว หญิงสาวทำท่าคิดพอเป็นพิธีก่อนจะตอบ
“ได้ค่ะ เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ฉันไปก่อนนะคะ”
เธอดำเนินการอ่อยเหยื่อรอบสองทันที ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าทำทีว่าจะเดินจากเขาไป แน่นอน...หญิงสาวมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องรั้งตัวเธอไว้ เป็นเพราะทั้งเขาและเธอยังไม่รู้จักกัน ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของกันและกัน แล้วอย่างนี้จะนัดเจอกันได้อย่างไร
“เดี๋ยวครับ ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย เบอร์โทรก็ไม่มีแล้วอย่างนี้เราจะนัดเจอกันได้ยังไงล่ะครับ”
“แหม...ลืมไปเลยค่ะ ฉันชื่อวชิราภรณ์ค่ะ น้ำผึ้งคือชื่อเล่นค่ะ แต่ว่าคนมักเรียกว่าผึ้งเฉยๆ ส่วนเบอร์โทรก็ 0875913xxx คุณว่างวันไหนโทรมาหาฉันได้เลยค่ะ”
เสียงหวานใสเอ่ยบอก ส่งยิ้มละไมหวานหยดให้กับชายหนุ่มตรงหน้า หัวใจชายสั่นรัวเมื่อเห็นรอยยิ้มสวยงามของหญิงสาว รอยยิ้มและดวงตาช่างหวานสมกับชื่อเหลือเกิน...น้ำผึ้ง เขากดหมายเลขโทรศัพท์ของเธอเพื่อบันทึกลงในโทรศัพท์มือถือมือไม้สั่น
“ครับคุณผึ้ง ผมชื่อกัมปนาท เรียกสั้นๆ ว่าเอก็ได้ครับ แล้วผมจะโทรหานะครับ ว่าแต่คุณผึ้งจะไปไหนครับ ให้ผมไปส่งดีกว่านะครับ”
“อย่าเลยค่ะ ลำบากคุณเอเปล่าๆ ผึ้งไปเองได้ค่ะ” เธอแสร้งทำเป็นเกรงใจ ทว่าในจิตใจลิงโลดกับแผนการที่บรรลุเป้าหมายเกินคาด
“ไม่ลำบากเลยครับ ผมเต็มใจถือว่าไปส่งเพื่อนใหม่”
“ก็ได้ค่ะ ถ้าคุณเอเต็มใจไปส่งผึ้ง ผึ้งก็ไม่ขัดศรัทธาค่ะ” เธอรับคำเสียงหวาน อีกฝ่ายยิ้มเต็มใบหน้า
“เชิญครับ” กัมปนาทผายมือให้สุภาพสตรีแสนสวยเดินไปที่รถ ก่อนที่เขาจะทำหน้าที่สุภาพบุรุษเปิดประตูรถยนต์ให้หญิงสาวสอดตัวเข้าไปนั่ง จากนั้นชายหนุ่มก็เดินอ้อมมานั่งฝั่งคนขับทะยานรถออกไปยังถนนเบื้องหน้า
“ขอบคุณคุณเอมากนะคะที่มาส่งผึ้งถึงที่ทำงาน” หญิงสาวกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม หลังจากที่รถยนต์แล่นมาจอดหน้าอาคารสำนักงาน
“ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจครับ ที่ทำงานของคุณผึ้งติดกับที่ทำงานของผมเลยนะครับ ที่ทำงานของผมอยู่ตึกบีครับ” คำบอกเล่าของกัมปนาทเรียกรอยยิ้มให้ประดับบนดวงหน้าสวย งานนี้ก็ง่ายขึ้นกว่าที่คิดอยู่ใกล้กันแค่นี้เอง
“จริงหรือคะบังเอิญจังเลย ยังแอบนึกอยู่ในใจเลยว่าทำไมคุณเอถึงได้ขับรถมาที่นี่ได้คล่องแคล่วเหลือเกิน ผึ้งแค่บอกชื่ออาคารคุณเอก็ขับรถมาที่นี่โดยไม่ต้องถามทางผึ้ง”
“สงสัยเป็นพรหมลิขิตมั้งครับ” เขาพูดทีเล่นทีจริง มองวชิราภรณ์ด้วยประกายตามีความหมาย
“ผึ้งไปก่อนนะคะสายแล้ว สวัสดีค่ะ”
เธอกล่าวคำอำลา มือนุ่มเปิดประตูรถยนต์ก้าวลงไปยืนบนพื้นคอนกรีต จากนั้นก็ปิดประตูรถ โบกมือให้สารถีหนุ่มเป็นการส่งท้าย เขาโบกมือกลับก่อนจะเคลื่อนรถไปยังอาคารบี
“ฉันจะฉีกอกให้ขาดกระจุยเลยคอยดู”
หลังจากที่รู้ว่ากัมปนาทคือหลานชายของวรางค์คนางค์ แผนร้ายผุดขึ้นมาในสมองของหญิงสาวทันที เธอจะทำให้กัมปนาทรักและลุ่มหลง จากนั้นก็จะสลัดทิ้งอย่างสิ้นเยื่อใย เธอรู้ว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับความแค้นระหว่างเธอกับศัตรูคู่อาฆาต ทว่าเขาคือเครือญาติของคนที่เธอชิงชัง เพราะฉะนั้นก็จะต้องได้รับผลของการกระทำนั้นไปด้วย
“วันนี้แกมาช้าจังเลย ไปไหนมา โทรไปก็ไม่รับสาย แล้วทำไมตาบวมอย่างนี้ล่ะ”
น้ำเสียงที่แสดงความเป็นห่วงของรุ่งรุจีเอ่ยถามวชิราภรณ์เพื่อนสนิทที่เดินทางมาทำงานล่าช้าร่วมหนึ่งชั่วโมง
“ก็มาแล้วไง ทำงานเถอะเดี๋ยวจะมีประชุมไม่ใช่เหรอ” คนที่ถูกถามเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถามเพื่อน บ่ายเบี่ยงไปเรื่องงานแทน
“บอกมาก่อนว่าร้องไห้ทำไม” รุ่งรุจีคาดคั้นเพื่อนสาว
“แกรู้ได้ยังไงว่าฉันร้องไห้ ฉันไม่ได้ร้องซะหน่อย” วชิราภรณ์ปฏิเสธ
“แกอย่ามาบ่ายเบี่ยง ฉันรู้ว่าแกร้องไห้ ตาบวมขนาดนี้ยังจะมาเถียงอีก บอกมาแกร้องไห้ทำไม”
“ฉันไปบ้านพ่อมา”
วชิราภรณ์รู้ดีว่าตัวเองนั้นไม่อาจปิดบังความรู้สึกกับรุ่งรุจีได้ จึงยอมเปิดปากต้นเหตุของอาการตาบวมกับเพื่อนสาว น้ำเสียงสั่นเครือของคนที่ตอบเรียกความสะเทือนใจและความสงสารให้กับคนที่ได้รับคำตอบอย่างมากมาย รุ่งรุจีสาวหมวยโอบกอดร่างของคนที่กำลังร้องไห้เอาไว้แน่น คำตอบของเพื่อนคือความกระจ่างชัดทุกอย่าง
“จะไปทำไมผึ้ง แกไปทีไรแกก็ต้องร้องไห้ทุกที ฉันว่าแกสู้ไม่รู้ไม่เห็นเลยจะดีกว่า เจ็บน้อยกว่าที่แกไปเห็นเต็มตาเสียอีก” สาวหมวยปลอบโยนเพื่อน
“ฉันรู้ว่ามันเจ็บ แต่ก็อดไม่ได้ ฉันยังเจ็บขนาดนี้แล้วแม่ของฉันล่ะจะเจ็บมากขนาดไหน ฉันสงสารแม่จังเลยจี”
ความแค้นจุดประกายอยู่ในใจของวชิราภรณ์มาจากความรักและความสงสารกัญญา แม้ว่ามารดาไม่เคยแสดงออกให้เห็นว่าทุกข์และเจ็บปวดเพียงใด ทว่าหญิงสาวรับรู้ด้วยหัวใจว่า มารดาเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เธอนี่แหละจะเป็นคนเอาคืนสองแม่ลูกที่แย่งชิงบิดาไปอย่างสาสม ให้เจ็บมากกว่ามารดาเป็นร้อยเท่าพันทวี
“ผึ้งเป็นอะไร ใครทำผึ้ง”
ณัชญ์เดินเข้ามาหาสองเพื่อนสนิทที่กอดกันอยู่ตรงโต๊ะทำงาน เสียงร้องไห้ของวชิราภรณ์ทำให้หัวใจของคนที่ถามกระตุกวูบ ความเป็นห่วงแล่นพล่านทันควัน
“ปละ...เปล่าไม่มีอะไร ไปทำงานกันเถอะ เดี๋ยวยักษ์มากินตับ”
คนที่กำลังร้องไห้คลายอ้อมกอดออกจากร่างของรุ่งรุจี ปาดน้ำตาทิ้งราวกับเด็กๆ พูดติดตลกถึงผู้จัดการจอมเฮี้ยบที่เนี้ยบเกินพอดี ไม่ไว้หน้าแม้กระทั่งผู้ช่วยรองประธานหากทำผิดกฎระเบียบ
“ไม่มีอะไรแล้วทำไมตาบวมอย่างนั้นล่ะ อาการอย่างนี้มันร้องไห้ชัดๆ เลย” ณัชญ์ไม่เชื่อในคำพูดที่ได้ยิน เขารู้ดีว่ามันต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่แน่นอน
“ผึ้งไปบ้านพ่อมาน่ะณัชญ์ คงไปเห็นภาพเดิมๆ มาก็เลยเป็นแบบนี้”
รุ่งรุจีเป็นคนตอบคำถามแทนคนที่เริ่มร้องไห้หนักขึ้น คนที่ได้ยินคำตอบถึงกับอึ้ง ความเศร้าโศกเสียใจถ่ายเทมาหาเขาด้วยน
“ณัชญ์บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้ไป ไปทีไรก็เป็นอย่างนี้ทุกที การให้อภัยมันเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดนะผึ้ง พ้นทุกข์ พ้นโศก ณัชญ์กับจีอยากให้ผึ้งคิดใหม่นะ เริ่มต้นใหม่ก็ยังไม่สายนะผึ้ง”
ณัชญ์กล่าวเตือนเพื่อนด้วยความหวังดี เมื่อใดที่วชิราภรณ์มีความสุข หลุดพ้นจากวังวนความแค้นและความริษยา วันนั้นเขาจะมีความสุขมากที่สุด
“ผึ้งขอบใจในความหวังดีของจีกับณัชญ์ แต่จีกับณัชญ์ก็รู้ดีนี่ว่า ผึ้งไม่มีวันทำได้อย่างที่ณัชญ์พูด เราเลิกพูดเรื่องนี้กันซะที ได้เวลาทำงานแล้วนะ”
วชิราภรณ์พูดตัดบทก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำงานที่วางอยู่บนโต๊ะ ทำให้เพื่อนสนิทอีกสองคนได้แต่มองหน้ากัน และถอนหายใจออกมาดังๆ อย่างพร้อมเพรียง ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ของตนเอง