เหยื่อรายใหม่ 1.2

3125 คำ
ก่อนเที่ยงราวห้านาทีณัชญ์เดินออกมาจากห้องผู้ช่วยรองประธานบริษัท ตรงดิ่งไปยังห้องฝ่ายการตลาดที่อยู่อีกชั้นหนึ่ง พอถึงห้องนั้นเขาเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานของวชิราภรณ์ทันที “ผึ้งกลางวันนี้ไปกินข้าวที่ไหนดีล่ะ” ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยถาม “กลางวันนี้ผึ้งมีนัดแล้ว ณัชญ์ไปกินกับจีสองคนก็แล้วกันนะ” คนที่ถูกชวนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “นัดกับใคร” น้ำเสียงของณัชญ์ค่อนข้างเข้ม จนวชิราภรณ์เงยหน้ามองคนที่ถาม “ทำไมต้องทำเสียงอย่างนั้นด้วย ณัชญ์เป็นเพื่อนผึ้งนะไม่ใช่แฟน ไม่ต้องมาทำน้ำเสียงแบบนี้ผึ้งไม่ชอบ” สีหน้าของคนที่พูดฉายชัดถึงความไม่พอใจ ทำให้ณัชญ์เริ่มรู้สึกตัวผ่อนระดับความหึงหวงให้ลดน้อยลง “ณัชญ์ขอโทษ ณัชญ์แค่เป็นห่วงผึ้งเท่านั้นเอง แล้วผึ้งนัดกับใครไว้ล่ะ” “นัดกับคุณเอไว้ ผึ้งไปก่อนนะเที่ยงพอดีเลย” วชิราภรณ์ลุกขึ้นยืนหลังจากที่จัดเอกสารบนโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบ ก่อนจะเดินห่างณัชญ์ที่ยืนทำสีหน้างุนงงกับชื่อที่ตนเองไม่รู้จักเพียงคนเดียว “จี แกรู้จักคนที่ชื่อเอหรือเปล่า” ณัชญ์ถามรุ่งรุจีทันทีที่เพื่อนสาวเดินมาสมทบจุดที่เขายืนอยู่ “เอไหนล่ะ ฉันรู้จักคนที่ชื่อเอตั้งหลายคน” รุ่งรุจีถามสวน เบนสายตาไปยังเก้าอี้ทำงานของเพื่อนสาวที่ไร้ร่างของเจ้าของเก้าอี้ “แล้วผึ้งไปไหนล่ะเที่ยงแล้วนะ” “ชื่อเอที่ณัชญ์ถามคือคนที่ผึ้งไปกินข้าวเที่ยงด้วยไงล่ะ” คู่สนทนากับณัชญ์ทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยปากพูด “ถ้าอยากรู้ว่าเอคนนี้คือใคร แล้วฉันรู้จักหรือเปล่า เราก็ตามผึ้งไปก็สิ้นเรื่อง จะได้หายสงสัยไม่ต้องมานั่งปวดหัวด้วย ฉันว่านะผึ้งต้องกำลังทำอะไรสักอย่างแน่ๆ เลย” ลางสังหรณ์ทำให้รุ่งรุจีคิดอย่างนั้น “ไปสิ อยากรู้เหมือนกันว่าเอคนนี้เป็นใคร” สองเพื่อนสนิทจึงรีบเดินออกไปจากแผนกการตลาด หวังจะให้ทันร่างของวชิราภรณ์ที่เดินออกไปก่อนหน้า และสวรรค์ก็เข้าข้างเมื่อร่างของคนที่พวกเขาต้องการตามไป กำลังยืนรอลิฟต์อยู่ “ผึ้ง วันนี้ไม่ไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันเหรอ” รุ่งรุจีแกล้งถาม “ไม่ล่ะ วันนี้ผึ้งมีนัดแล้ว” “นัดกับใครเหรอ” เพื่อนสาวถามต่อ “นัดกับคุณเอน่ะ” วชิราภรณ์ตอบเสียงเรียบ “ใครเหรอคุณเอคนนี้ จีรู้จักหรือเปล่า” “ไม่รู้จักหรอก ผึ้งเพิ่งเจอคุณเอเมื่อเช้านี้เอง” สีหน้าของเพื่อนสนิทอีกสองคนเต็มไปด้วยความตกใจและสงสัย เมื่อได้ยินคำพูดของวชิราภรณ์ เจอกันเมื่อเช้านี้ตกเที่ยงนัดทานอาหารด้วยกันเลยหรือ ไม่ธรรมดาเสียแล้วงานนี้ ต้องมีอะไรแน่นอน “อย่าบอกนะว่าคุณเอที่ผึ้งพูดจะเป็นแฟนใหม่ของเขม” รุ่งรุจีคาดคั้นถามต่อ วชิราภรณ์หันมายิ้มสวยให้เพื่อนก่อนจะขยับปากตอบ “ไม่ใช่หรอกแต่เป็นเด็ดกว่านั้น” รุ่งรุจีกำลังจะถามต่อแต่ปากต้องหุบลงเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ทั้งสามและเพื่อนพนักงานคนอื่นๆ จึงเดินเข้าไปในลิฟต์ ข้อสงสัยของรุ่งรุจีกับณัชญ์จึงยังไม่กระจ่าง จนกระทั่งประตูลิฟต์ถูกเปิดออกที่ชั้น 1 ทุกคนจึงเดินออกมาจากตัวลิฟต์ วชิราภรณ์ส่งยิ้มให้ชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงกำแพงฝั่งตรงข้ามกับลิฟต์ ชายคนนั้นถือช่อดอกไม้ช่อใหญ่อยู่ในมือ กัมปนาทยิ้มตอบรับสาวสวยที่ระบายยิ้มส่งมาให้ ก่อนจะยื่นช่อดอกไม้ให้วชิราภรณ์เมื่อเธอเดินมาใกล้ “ดอกไม้สำหรับคนสวยๆ ครับ” “ขอบคุณคุณเอมากนะคะ ไม่น่าลำบากเลยแค่เลี้ยงข้าวเที่ยงผึ้ง ผึ้งก็เกรงใจแล้วค่ะ” เธอพูดออกตัว วันนี้ประมาณสิบเอ็ดโมงกัมปนาทโทรศัพท์มาหาเธอ บอกจุดประสงค์ที่เขาโทรเข้ามาว่า ต้องการเลี้ยงข้าวกลางวัน เธออิดออดพอเป็นพิธีก่อนจะตอบรับคำเชิญในนาทีต่อมา วชิราภรณ์จึงให้เขามารออยู่ที่ชั้น 1 ของอาคารเอตรงหน้าลิฟต์ฝั่งซ้ายมือ ภาพที่ณัชญ์เห็นสร้างความไม่พอใจ บวกรวมกับความหึงหวงที่พลุ่งพล่านในอก ตอนนี้เขาต้องการรู้ว่า ชายหนุ่มเจ้าของดอกไม้ช่อนี้คือใคร นึกไม่ชอบหน้าขึ้นมาทันทีทันใด ส่วนรุ่งรุจีมองกัมปนาทด้วยสายตาทึ่งและไหววูบ หัวใจสาวกระตุกรัวทันทีที่เห็นรอยยิ้มของเขา น่าแปลกเธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับรอยยิ้มของชายคนใดมาก่อน พลันในเสี้ยววินาทีเธอก็ปรับสายตาให้เป็นปกติ ความสงสัยในตัวของชายตรงหน้าเข้ามาแทนที่ “คุณเอคะ ผึ้งจะแนะนำให้คุณเอรู้จักเพื่อนสนิทของผึ้งนะคะ ณัชญ์กับจีค่ะ ณัชญ์ จีนี่คุณเอจ้ะ” วชิราภรณ์เป็นสื่อกลางให้บุคคลทั้งสามรู้จักกัน กัมปนาทโค้งศีรษะเล็กน้อยเป็นการทักทาย รุ่งรุจีพนมมือไหว้เพราะเธอคาดคะเนว่า เขาน่าจะมีอายุมากกว่า ณัชญ์ทำในลักษณะเดียวกับเพื่อนใหม่  “เราไปกันดีกว่านะคะ ไปทานอาหารร้านแถวๆ นี้ก็ได้ค่ะ จะได้ไม่เสียเวลามาก” วชิราภรณ์พูดขึ้นเมื่อทั้งสามได้ทำการรู้จักกันเป็นที่เรียบร้อย “ผมตามใจคุณผึ้งครับ” กัมปนาทพูดเสียงนุ่มพร้อมรอยยิ้ม “งั้นตามผึ้งมาเลยค่ะ” วริราภรณ์ส่งสายตาหวานเยิ้มประกอบกับรอยยิ้มแสนหวานที่ตั้งใจโปรยให้ชายตรงหน้า กัมปนาทชอบรอยยิ้มของเธอมากที่สุด ยามที่เธอยิ้มโลกนี้ช่างสดใส หัวใจของเขาเบิกบานตามไปด้วย อีกทั้งยังส่งผลให้ดวงหน้าน่ารักของเธอชวนมองมาขึ้น “ไปครับ” กัมปนาทรับคำก่อนจะเดินเคียงคู่ไปพร้อมกับวชิราภรณ์ ปล่อยให้ณัชญ์กับรุ่งรุจียืนมองตามหลังทั้งคู่ไปด้วยความฉงนสงสัยกับที่มาที่ไปของเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักเมื่อสักครู่ “ฉันว่านะณัชญ์งานนี้มันต้องมีอะไรแหงๆ เลย ปกติผึ้งจะไม่สนิทกับผู้ชายแปลกหน้าไวขนาดนี้ ยกเว้นผู้ชายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขม” รุ่งรุจีสันนิฐาน “ใช่ ณัชญ์ก็ว่ามันแปลกๆ อยู่เหมือนกัน เพียงแต่ไม่กล้าพูด” ณัชญ์เห็นด้วยกับความคิดของเพื่อนสาว “เราไปกินข้าวกันดีกว่า บ่ายนี้จีจะถามผึ้งให้รู้เรื่องเอง คิดเองเออเองตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์” “เอาอย่างนั้นก็ได้ ไป ไปกินข้าวกันดีกว่า” สองเพื่อนสนิทตัดความสงสัยออกไปก่อน เดินเคียงคู่กันออกไปจากตัวตึกเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน ภายในร้านอาหารไม่ใหญ่ไม่เล็กข้างๆ อาคารสำนักงานที่ทั้งสองทำงานอยู่ กัมปนาทกับวชิราภรณ์นั่งรับประทานอาหารอยู่มุมในสุดของร้าน ทั้งสองคุยไปด้วยทานอาหารไปด้วยอย่างถูกคอ ฝ่ายชายหมั่นเพียรตักอาหารใส่จานของฝ่ายหญิงตลอดเวลา บ่อยครั้งที่เขาแอบลอบมองใบหน้าหวานๆ น่ารักๆ ของเธอยามเผลอ ในความรู้สึกของกัมปนาท เขาไม่รู้สึกเบื่อกับภาพตรงหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว “คุณเอไม่ทานข้าวเหรอคะ หรือว่าจะกินหน้าผึ้ง ผึ้งเห็นคุณเอเอาแต่นั่งมองหน้าผึ้ง” คนที่ถูกมองทักขึ้น ทำให้กัมปนาทรู้สึกตัวว่าตนเอง สะดุ้งกายเล็กน้อย ปรับท่าทีให้กลับมาเป็นปกติ ยิ้มเจื่อนกับการกระทำของตนเอง “ผมขอโทษครับที่มองคุณผึ้งนานไปหน่อย ผมเจอผู้หญิงมาเยอะแต่ไม่มีใครน่ารักและน่ามองเหมือนคุณผึ้งเลยครับ” เขาพูดออกมาจากใจจริง และเป็นจริงตามที่ได้พูดออกไป วชิราภรณ์ยิ้มเต็มใบหน้า รู้สึกสะใจเล็กๆ ในอกกับการหว่านเสน่ห์ที่ได้ผลดีเกินคาด “น่ารักแล้วรักหรือเปล่าล่ะคะ” เธอพูดหยิกแกมหยอก กัมปนาทมองหน้าคนที่พูดนิ่ง “ผึ้งล้อเล่นน่ะคะ เราเพิ่งเจอกันครั้งแรกคุณเอจะรักผึ้งได้ยังไง อีกอย่างเราสองคนก็คบกันแบบเพื่อนด้วย” เธอกล่าวคำหยอกเย้ากับกัมปนาทอีกครั้ง “ถ้าผมรักคุณผึ้ง คุณผึ้งจะรับรักผมหรือเปล่าครับ” น้ำเสียงของเขาจริงจัง ดวงตาจับจ้องไปยังดวงหน้าตรึงใจของวชิราภรณ์ คนที่ได้ยินยิ้มละไม ปลื้มใจกับการหว่านเสน่ห์ของตนเองอยู่ในอก...เหยื่อติดกับเธอแล้ว “ข้อนี้ผึ้งตอบตอนนี้ไม่ได้นะคะ มันขึ้นอยู่กับว่าความรักของคุณเอเป็นแบบไหน ถ้าแบบเพื่อน แบบพี่น้องผึ้งมีให้อยู่แล้วค่ะ แต่ถ้าเป็นอย่างอื่นมันก็ต้องใช้เวลากันบ้าง เราเพิ่งรู้จักกันวันนี้เป็นวันแรกนะคะ คำว่ารักดูมันจะห่างไกลเกินไป” เธอพูดเป็นกลาง ไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ วชิราภรณ์ไม่อยากให้เขาคิดว่าตนเองเป็นคนใจง่าย รับรักเร็วโดยที่ไม่รู้จักกันให้ดีมากพอ แบบค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปน่าจะดีที่สุด “คุณผึ้งเชื่อคำว่ารักแรกพบหรือเปล่าครับ แต่ก่อนผมไม่เชื่อจนมาเจอกับตัวเอง ตอนนี้ผมเชื่อเกินร้อยเลยครับ” กัมปนาทคิดว่าเขาได้เจอรักแรกพบที่ไม่คิดว่าจะได้เจอมาก่อนในชีวิต และไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้จริงในโลกใบนี้ แต่สำหรับวชิราภรณ์ เธอไม่เคยเชื่อเรื่องรักแรกพบเลย เพราะคิดว่ามันเป็นเพียงแค่ลมปากเป่าของผู้ชายที่มักใช้จีบผู้หญิงเท่านั้น “เราทานข้าวกันต่อดีกว่านะคะ พูดนอกเรื่องมานานแล้ว” หญิงสาวพูดตัดบทแสร้งทำท่าทางเหนียมอาย หลบแววตาของกัมปนาทที่มองมา การรับประทานอาหารดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น มีเสียงหัวเราะเบาๆ เคล้ากับเสียงพูดคุยจากเรื่องราวต่างๆ ที่กัมปนาทสรรหามาเล่าให้วชิราภรณ์ฟัง จนกระทั่งอาหารมื้อเที่ยงได้เสร็จสิ้นลง ทั้งสองลุกเดินจากโต๊ะก่อนจะพากันเดินเคียงคู่กลับไปยังที่ทำงานของฝ่ายหญิง “ตอนเย็นผมจะมารับคุณผึ้งกลับบ้านนะครับ” กัมปนาทเอ่ยบอกวชิราภรณ์เมื่อมาส่งเธอที่ลิฟต์ภายในอาคารเอ “จะดีเหรอคะ รบกวนคุณเอแย่เลย แค่เลี้ยงข้าวเที่ยงก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้ว” เธอออกตัวพองาม “ไม่ต้องเกรงใจครับ ผมเต็มใจเป็นที่สุดครับ” “อย่าดีกว่าค่ะ บ้านผึ้งอยู่ไกล เกรงใจคุณเอน่ะคะ” เธอยังอิดออดเล็กน้อย “บอกแล้วไงครับว่าผมเต็มใจ นะครับ ตอนเย็นให้ผมมารับนะครับ ผมจะรออยู่หน้าลิฟต์ตอนห้าโมงเย็นนะครับ” กัมปนาทไม่ยอมแพ้ เขายึดมั่นคำว่า ตื้อเท่านั้นที่จะครองโลก “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ห้าโมงเย็นเจอกันนะคะ” วชิราภรณ์ตอบรับในที่สุด หลังจากที่ทำเป็นเกรงใจอยู่ได้สักครู่ คำตอบรับของเธอทำให้ใบหน้าของกัมปนาทเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม “ตกลงครับ ผมจะมารอคุณผึ้งตรงนี้ตอนห้าโมงเย็นนะครับ” “ค่ะ ผึ้งไปก่อนนะคะลิฟต์มาพอดี แล้วเจอกันตอนเย็นค่ะ” เธอพูดกับเขา แล้วจึงก้าวเข้าไปในลิฟต์ โบกมือให้กัมปนาทพร้อมกับรอยยิ้ม คนที่ได้รับรอยยิ้มหัวใจพองโตขึ้นมาทันทีทันใด “เจอกันห้าโมงเย็นครับ” เขาพูดก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิด พอประตูลิฟต์ปิดสนิทสีหน้ายิ้มแย้มของวชิราภรณ์เปลี่ยนเป็นเบ้หน้าและแสยะยิ้ม “หลอกง่ายชะมัด” เธอพูดกับตัวเอง กระหยิ่มยิ้มในใจกับแผนการที่สำเร็จลุล่วงไปอีกขั้น และจะต้องดีต่อไปเรื่อยๆ ตามที่เธอตั้งเป้าเอาไว้ วชิราภรณ์ก้าวออกจากลิฟต์เมื่อถึงชั้นทำงานของตนเอง เท้าเล็กก้าวเดินไปตามทางเลี้ยวซ้ายเข้าไปในแผนกการตลาด ยังไม่ทันที่เธอจะเดินไปถึงโต๊ะทำงานดี ร่างของรุ่งรุจีเพื่อนสนิทก็ปรี่เข้ามาหา “อยากรู้ใช่ไหมล่ะว่าคุณเอเป็นใคร ถึงได้ปรี่เข้ามาหาอย่างนี้” วชิราภรณ์ดักคอเพื่อนสนิท “รู้ทันจริงนะแกเนี่ย ว่าแต่คุณเอเป็นใครเหรอ เป็นอะไรกับเขม” รุ่งรุจีถามอย่างกระตือรือร้น “คุณเอเป็นหลานชายของยายแม่มด” ม่านตาของรุ่งรุจีขยายกว้างด้วยความตื่นตกใจ เมื่อรู้ว่าคนที่ทำให้หัวใจสาวสั่นไหวตอนกลางวัน เป็นเครือญาติกับวรางค์คนางค์ศัตรูคู่อาฆาตของเพื่อนสนิท “จริงเหรอ เป็นไปได้ยังไงล่ะ แล้วแกไปเจอคุณเอที่ไหน เมื่อไหร่ ยังไง” คนที่อยากรู้ถามเป็นชุด “ฉันเจอคุณเอเมื่อเช้านี้ ที่บ้านของพ่อ...” วชิราภรณ์เล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เพื่อนสนิทอย่างรู้อย่างละเอียด รวมทั้งแผนการที่ตนเองคิดไว้ในใจก็ถูกถ่ายทอดให้รุ่งรุจีรับรู้เช่นกัน รุ่งรุจียืนอึ้งกับเรื่องราวที่ได้ยิน เธอไม่คิดว่ากัมปนาทคือหมากตัวหนึ่งที่วชิราภรณ์คิดจะล้างแค้น เป็นเพราะกัมปนาทไม่มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องในอดีตของวรางค์คนางค์เลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจะเป็นหลานของศัตรู มันไม่ยุติธรรมที่เพื่อนสนิทจะทำร้ายคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแบบนี้ นับวันแรงแค้นของวชิราภรณ์จะเพิ่มมากขึ้น เหตุผลจึงลดน้อยถอยลง ปิดหูปิดตาไม่รับรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปนั้นมันผิดหรือถูก เหมาะสมหรือไม่สมควร “ฉันว่าแกทำเกินไปแล้วนะผึ้ง คุณเอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยเลย รวมทั้งเขมด้วย คนที่ผิดคือน้าคนางค์คนเดียวไม่ใช่เหรอ แกจะเหวี่ยงแหแบบนี้ไม่ได้นะ” รุ่งรุจีทนไม่ไหวออกโรงเตือนเพื่อนสนิท ก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้ “ทำไมจะไม่เกี่ยว ในเมื่อคุณเอเป็นหลานของยายแม่มด นั่นเท่ากับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องเต็มๆ โดยเฉพาะน้องนอกไส้ของฉันที่เกี่ยวมากที่สุด เพราะมันแย่งความรัก ความอบอุ่นที่ฉันควรได้ไป แล้วอย่างนี้เขมจะไม่เกี่ยวด้วยได้ยังไง แกยังเป็นเพื่อนฉันอยู่หรือเปล่า แกเข้าข้างใครกันแน่จี” วชิราภรณ์พูดด้วยความโกรธปนน้อยใจ เธอนึกว่าเพื่อนสนิททั้งสองคนน่าจะเข้าใจความรู้สึกของเธอมากที่สุด แต่เปล่าเลย บ่อยครั้งที่ทักท้วงไม่ให้เธอทำในสิ่งที่ตั้งใจ “ฉันเตือนเพราะหวังดีกับแกนะผึ้ง ฉันเป็นเพื่อนแกก็ต้องเข้าข้างแกอยู่แล้ว แต่ถ้าแกกำลังคิดผิดทำผิด ฉันกับณัชญ์ก็ต้องทักท้วงสิมันถึงจะเรียกว่าเพื่อน ไม่ใช่ปล่อยให้เพื่อนทำเรื่องที่ผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ อีกอย่างคุณเอเหมือนจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความแค้นของแกเลยนะ อย่าเหมารวมสิ” รุ่งรุจีกล่าวเตือนด้วยความหวังดี “ถ้าแกกับณัชญ์เห็นว่าฉันเป็นเพื่อนก็อย่ามาพูดแบบนี้ ฉันไม่ชอบ” วชิราภรณ์ตวาดกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ การโต้ตอบของทั้งสองที่เพิ่มระดับน้ำเสียงมากขึ้นทำให้เพื่อนร่วมงานที่ทยอยเดินกลับเข้ามาในห้องเริ่มมองด้วยความสนใจ รุ่งรุจีจึงลดระดับเสียงลงเป็นปกติ ปรับเปลี่ยนอารมณ์ของตนเองให้ลดลงด้วย เพื่อนสนิทกำลังอยู่ในอารมณ์ร้อน เธอจึงต้องใจเย็นให้มากที่สุด เผื่อว่าอะไรมันจะดีขึ้น “ถ้าแกไม่ใช่เพื่อนฉัน ฉันจะไม่ยุ่งด้วยเลย จะปล่อยให้ความแค้นบ้าๆ ที่แกฝังอยู่ในใจย้อนกลับมาทำลายแกเอง ให้แกทุกข์ ให้แกเศร้า ให้แกเสียน้ำตาอยู่คนเดียว แต่นี่แกเป็นเพื่อนของฉัน ฉันเลยต้องเตือนแกยังไงล่ะ” “ขอบใจที่แกคอยเตือนฉันมาตลอด แต่เก็บคำเตือนของแกกับณัชญ์ไว้เถอะ แล้วคอยฉลองความสำเร็จของฉันที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ดีกว่า แกกลับไปทำงานได้แล้ว ฉันจะทำงานเหมือนกัน” เป็นอีกครั้งที่วชิราภรณ์พูดตัดบท พร้อมกับหันไปสนใจงานที่ทำคั่งค้างไว้ก่อนรับประทานอาหารเที่ยง “ผึ้ง ฟังฉันนะ การให้อภัยเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของแกตอนนี้ ดูอย่างป้าญาสิ ท่านยังรู้จักให้อภัยเลย ชีวิตท่านจึงจะสงบสุขจนถึงทุกวันนี้ ถ้าแกยังจะแค้นเคืองอยู่อย่างนี้ มันจะเผาผลาญความสุขที่แกมีทีละน้อยๆ จนไม่เหลือความสุขในใจของแกอีกเลย ฉันไม่เชื่อหรอกว่าสิ่งที่แกทำอยู่ในตอนนี้หรือที่ผ่านมาจะทำให้แกมีความสุขเหมือนกับที่พูดออกไป ฉันเตือนเพราะฉันรักแก ฉันเตือนเพราะฉันหวังดีกับแก แกทุกข์ แกเจ็บ แกเสียใจ แกร้องไห้ ฉันกับณัชญ์ก็มีความรู้สึกแบบนั้นไม่ต่างกับแกเลย แกจะโกรธฉันหาว่าฉันยุ่งกับแกมากเกินไปฉันก็ยอม ฉันกับณัชญ์รักแกนะผึ้ง ฉันอยากเห็นแกมีความสุขแบบสุขทั้งกายและใจจริงๆ  ฉันพูดแค่นี้แหละแล้วแต่แกจะตัดสินใจเอาเองว่า จะเดินต่อไป หรือว่าจะหยุดความแค้นไว้เพียงเท่านี้ ต่อไปนี้แกจะไม่ได้ยินคำทักท้วงของฉันกับณัชญ์อีกแล้ว ฉันจะพูดกับแกเป็นครั้งสุดท้าย คิดดีๆ นะผึ้ง คิดให้หนักและตัดสินใจให้ได้” รุ่งรุจีกล่าวเตือนเพื่อนจากหัวใจอีกครั้ง และครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะพูด ก่อนจะเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง ปล่อยให้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของวชิราภรณ์ คนที่ถูกเตือนสติมีหรือจะไม่รู้ถึงความเป็นห่วงที่เพื่อนทั้งสองคนมีให้ แต่เธอมาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับแล้ว ในเมื่อตั้งมั่นว่าจะแก้แค้นให้มารดา วชิราภรณ์ก็จะทำให้ถึงที่สุด ไม่ว่าผลที่ตอบรับกลับมาจะเป็นอย่างไร เธอยอมรับมันได้เสมอ ขอเพียงได้เห็นแววตาแห่งความเสียใจ ได้เห็นความทุกข์ใจของศัตรูก็พอ “ฉันรู้ว่าพวกแกเป็นห่วงฉัน แต่ฉันหยุดไม่ได้...ฉันมาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับ พวกแกคงจะเข้าใจฉันนะ” วชิราภรณ์เอ่ยเบาๆ ขณะที่สายตามองตามแผ่นหลังของรุ่งรุจีที่เดินห่างไป
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม