ลับหลังแม่เลี้ยงได้ไม่นาน ร่างบอบบางของใครอีกคนก็เดินตรงเข้าไปใกล้ผู้เป็นพ่อพร้อมข้าวผัดง่ายๆที่เธอเข้าครัวทำด้วยตัวเอง และที่มันต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าตอนนี้บ้านทั้งหลัง มีแค่เธอกับพ่ออาศัยอยู่ด้วยกันตามลำพังแค่สองคนเท่านั้น คนรับใช้ที่เคยมีนับสิบๆ คนต่างก็พากันทยอยขอลาออกไปจนหมด ซึ่งเธอกับพ่อไม่คิดโทษใครต่อเรื่องนี้ เพราะรู้ดีว่าทุกชีวิตย่อมมีสิทธิ์เลือกทางเดินของตัวเอง โชคดีแค่ไหนแล้วที่ทุกคนเข้าใจ ซ้ำยังไม่เรียกร้องเงินเดือนที่พ่อของเธอติดค้างเอาไว้อยู่อีกด้วย
“ทานข้าวกันค่ะพ่อ จะได้ทานยา มาค่ะเรย์ป้อน” ยิ่งลูกทำดีด้วยมากเท่าไหร่ ใจคนเป็นพ่อก็แทบจะมอดไหม้มากขึ้นไปเท่านั้น
มาถึงนาทีนี้เขารู้ซึ้งแล้วว่าสุดท้ายไม่ว่าเขาจะเป็นพ่อที่แย่แค่ไหน แต่อินทุอรกลับไม่เคยโกรธ หรือโทษกันเลยสักครั้ง ลูกไม่แม้แต่จะพาตัวเองหลบออกไปให้พ้นๆกับปัญหาที่เขาเป็นคนก่อขึ้น
“เรย์รู้เรื่องหนี้แล้ว…อีกสองวันเรย์จะลองเข้าไปคุยกับทางนั้นว่าเขาพอจะช่วยอะไรเราได้บ้าง พ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เรย์จะจัดการเรื่องนี้เองค่ะ” หากเธอยังมีที่ดินที่ได้รับจากมรดกของผู้เป็นยายหลงเหลืออยู่ บางทีเรื่องมันอาจจะไม่แย่แบบนี้ แต่เพราะตอนนี้สิ่งเหล่านั้นมันได้ถูกแม่และพี่ชายช่วงชิงไปจนหมด ซึ่งเธอยังจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ดีไม่เคยลืม มันเป็นวันที่แม่กับพี่บุกมาหาเธอถึงที่นี่ ก่อนที่ทั้งสองคนจะปะทะคารมกับพ่อ จนเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น
สุดท้ายเพราะไม่อยากให้ทั้งสองฝ่ายบาดหมางกันไปมากกว่าที่เป็นอยู่ เธอจึงใช้สิทธิ์ในฐานะเจ้าของที่ดินผืนนั้น ตัดสินใจยกมันให้กับแม่และพี่ชายไปทั้งหมด ในขณะที่พ่อเองแม้ในตอนแรกท่านจะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเธอในครั้งนั้น แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้มากนัก สุดท้ายเรื่องในวันนั้นเลยจบลงด้วยดีสำหรับแม่และพี่ได้โฉนดที่ดินผืนใหญ่ติดตัวกลับไปด้วย ส่วนเธอนั้นก็ต้องกลายเป็นคนตัวเปล่าไม่เหลืออะไรในชีวิตเลยสักอย่าง
ทั้งหมดนี้ทำให้เธอรู้สึกผิด
เพราะหากวันนั้นเธอใจแข็งมากพอ บางทีเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้อาจจะพอมีทางออก แต่ถึงจะรู้สึกอะไรตอนนี้มันก็คงสายไปแล้ว
สิ่งเดียวที่พอจะทำได้คือตั้งสติ จากนั้นค่อยเข้าไปพบเจ้าหนี้ของพ่อทีละคน เพื่อร้องขอความเมตตา แม้จะไม่รู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหน แต่เธอจะพยายามให้ถึงที่สุด อย่างน้อยก็ชดเชยเวลาที่หายไปหลายปีที่ไม่ได้ทำหน้าที่ลูกอย่างที่ควรทำ
ต้นเหตุนั้นมาจากวันนั้น วันที่เธอบังเอิญเดินผ่านห้องเด็กแล้วได้ยินเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจเข้า เลยตัดสินใจเดินตรงเข้าไปอุ้ม ‘ตาอ้น’ น้องชายวัยหกเดือนขึ้นมากล่อม
แต่พอนังแหวนเดินผ่านมาเห็นเข้า ก็เต้นเป็นเจ้าเข้ากล่าวหาว่าเธอจะเข้ามาทำร้ายน้องชายของตัวเองจนต้องเข้ามาแย่ง ยื้อแย่งกันได้ไม่นานพ่อของเธอกับแม่เลี้ยงก็วิ่งกรูตามเข้ามาสมทบ ทว่าภาพที่ทั้งสองได้เห็นนั้น มันดันกลับกลายเป็นภาพของตาอ้นที่กำลังหลุดไปจากมือเธอ ส่งผลให้เด็กนั่นหัวแตกต้องเย็บถึงสี่เข็ม ส่วนเธอก็ถูกพ่อลงโทษสถานหนัก ด้วยการถูกส่งไปเรียนต่อที่โรงเรียนประจำในอำเภอนับตั้งแต่นั้น
เหตุการณ์นั้นไม่เพียงแต่ทำให้ระยะห่างระหว่างเธอกับพ่อมีเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่มันยังเปิดช่องว่างให้เพื่อนนักธุรกิจของท่านเข้ามาแทรกแซงความเป็นอยู่ของครอบครัวเธออีกด้วย ก่อนที่ฝ่ายจะเอ่ยปากชวนพ่อของเธอร่วมหุ้น ซึ่งผลตอบแทนที่จะได้รับนั้นก็มากมายก่ายกองทีเดียว
รู้ข่าวอีกทีเธอก็พบว่าท่านกำลังจะกลายเป็นบุคคลล้มลลายไปแล้ว ส่วนเพื่อนสนิทที่ว่านั้นก็เงียบหายเข้ากลีบเมฆ ข่าวล่าสุดที่ได้ยิน เห็นว่าหอบสมบัติบินหนีออกนอกประเทศไปแล้วทิ้งพ่อเธอให้ต้องรับมือกับเจ้าหนีรอบด้านเพียงลำพัง
ทั้งหมดที่ว่ามานี้คือสิ่งที่เกิดขึ้น
และเธอ…คือคนที่ต้องทำทุกทางให้ตัวเองและพ่อผ่านพ้นเรื่องราวบ้าๆ นี้ไปให้ได้!
ยังไม่ถึงสองวันดีด้วยซ้ำ เจ้าหนี้รายใหญ่ของครอบครัวก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าบ้าน ทำให้อินทุอรไม่มีทางเลือก จำต้องเดินลงมารับหน้าอีกฝ่ายด้วยตัวเอง แทนผู้เป็นพ่อที่กำลังหลับพักผ่อนอยู่
“ช่วยผมก็ช่วยคุณได้อยู่หรอกครับ แต่เงินตั้งหลายล้าน จะให้ช่วยฟรีๆ เห็นทีคงไม่ได้” หนนี้ไม่พูดเปล่า แต่พันแสงกลับเอื้อมมือเข้ามาใกล้ หมายจะสัมผัสข้อเล็กให้ได้ชื่นใจ ยอมรับว่าเขาชอบอินทุอรมาก ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเลยก็ว่าได้ เพราะอย่างนั้นจึงไม่ปฏิเสธ ตอนที่พ่อของเธอบากหน้าเข้าไปขอกู้เงินถึงห้าล้านบาท
“เก็บความหวังดีของคุณไว้เถอะค่ะ เพราะว่าฉันไม่ต้องการ!”
“อย่าเพิ่งรีบด่วนตัดสินใจแบบนั้นสิครับน้องเรย์ เก็บเอาไปคิดดูก่อนก็ได้...” จะช้าหรือเร็วเธอก็ต้องเป็นของเขาอยู่ดี ยิ่งคิดถึงวันที่นังตัวดีคลานเข่าไปร้องขอความเมตตา ถึงตอนนั้นพ่อจะจัดชุดใหญ่ ชนิดที่ว่าหล่อนจะไม่มีวันกล้าแสดงท่าทีอวดดีให้เขาได้เห็นอีก