ณ บ้านหลังหนึ่ง ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครเท่าไหร่นัก บ้านหลังนี้เป็นบ้านกลาง อยู่รวมกันหลายครอบครัว จนกระทั่งบางส่วนได้แยกย้ายกันออกไปปลูกบ้านในที่ของตัวเองบ้าง ออกไปมีครอบครัวบ้าง จึงเหลือแค่เพียงไม่กี่คนในบ้าน
ที่นี่มีเด็กอยู่กันหลายคน ด้วยแต่เดิม บ้านหลังนี้มีพี่น้อง 5 คน ต่างก็มีครอบครัว มีลูกหลานก็รวมตัวกันอยู่ที่นี่ ถึงบางคนจะย้ายออกไปแล้ว แต่ลูกหลานก็ยังมารวมตัวกันอยู่เกือบทุกวัน
หนึ่งใน 5 พี่น้อง ได้แต่งงาน ออกไปมีครอบครัวอยู่ในกรุงเทพ จนวันที่หล่อนมีลูก จึงได้ส่งลูกกลับมาอยู่ที่บ้านให้แม่ของหล่อนดูแล จนกระทั่งเด็กน้อยคนนั้นเริ่มเติบโต จึงได้มารับกลับไป แต่ก็ยังส่งให้มาอยู่ที่บ้านหลังนี้ทุกวันปิดเทอม จนกลายเป็นเรื่องปกติของคนแถวนี้ ที่รู้ว่าพอปิดเทอม เด็กๆรุ่นลูกหลานจะมารวมตัวกันที่บ้านหลังนี้
จนเมื่อเด็กหญิงเด็กชายหลายคนเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น วัยอยากรู้อยากลอง จึงเริ่มห่างหาย ไม่ค่อยได้มารวมตัววิ่งเล่นด้วยกันเหมือนอย่างเคย
เพียงรัก เด็กสาวที่เกิดในกรุงเทพ แต่กลับมาอยู่ที่บ้านที่ต่างจังหวัดของเธอทุกปิดเทอม เธอเป็นเด็กสาวหน้าตาออกหมวย ดวงตาเรียว ปากเล็กได้รูปสวย ผิวขาว สูง 160 เซนติเมตร ผมยาวถึงบั้นเอว
สาวน้อยหน้าหมวยมักจะกลับมาอยู่ที่บ้านนี้ทุกๆ ปิดเทอม จนกระทั่งครั้งนี้ที่เธอกลับมา มันกำลังจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
การกลับมาเที่ยวบ้านของเธอในครั้งนี้มีบางอย่างต่างออกไป เมื่อข้างบ้านของเธอ ที่เคยเป็นที่ดินเปล่า ได้มีคนมาซื้อและปลูกเป็นทั้งบ้านและโรงงานทำขนม สาวน้อยมองสิ่งที่เปลี่ยนไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เมื่อพี่น้องของเธอต่างก็พูดคุยสนิทสนมกับข้างบ้าน ราวกับสนิทกันมานาน เมื่อสอบถามจึงได้รู้ว่าอายุพวกเธอไล่เรียงกัน รุ่นเดียวกัน จึงเป็นเพื่อนเล่นกัน เนื่องจากพวกเธอยังเป็นเด็ก จึงความรู้จักและสนิทกันเร็ว
“เข้ามาเถอะ ไม่เป็นอะไรหรอก”
“อือ เข้าก็เข้า” เสียงหวานใส ตอบเพื่อนใหม่ของเธอ
ปิ่นปัก เด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเพียงรัก แต่ปิ่นปักเข้าเรียนช้ากว่าหนึ่งปี แต่ถึงอย่างไรทั้งคู่ก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน จึงกลายเป็นเพื่อนกันไปโดยปริยาย เนื่องจากคุยกันได้ถูกคอ
หลังจากรู้จักกันไม่นาน เพียงรักก็เริ่มสนิทกับปิ่นปัก หล่อนจึงชวนเพียงรักให้เข้าไปเล่นในบ้านของหล่อน ตัวเพียงรักเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะเธอเป็นคนเพื่อนน้อยถ้าเธอสนิทกับใคร เธอจะให้ใจเพื่อนไปเต็มร้อย
“เล่นไพ่ดีกว่า เล่นเป็นเปล่า”
“อือ พอได้”
เมื่อเพียงรักเดินตามปิ่นปักเข้ามาในบ้าน ก็พบว่าไม่นานหลังจากที่เธอเข้ามา น้องๆ ของเธอก็ได้เดินตามเข้ามาที่นี่เช่นกัน
เพียงรักมองคนนั้นที คนนี้ที ก่อนที่ปิ่นปักจะชวนกันเล่นไพ่ เธอจึงเข้าไปนั่งข้างน้องสาวของตัวเอง ปิ่นปักตามมานั่งข้างเพียงรัก ถัดไปไม่กี่ก้าวได้มีสายตาของใครบางคนจับจ้องอยู่ โดยที่เจ้าตัวอย่างเพียงรักไม่ทันได้รู้สึกตัว
“เห๊ย มาถึงก็กินเลยเหรอ” เสียงบ่นของเป้ดังขึ้น คล้ายจะโวยวาย แต่ก็เป็นเพียงการแซวเล่นของคนช่วงวัยเดียวกันเท่านั้น
“ช่วยไม่ได้ ดวงดีก็แบบนี้แหละ” เพียงรักลอยหน้าลอยตาตอบกลับด้วยน้ำเสียงขี้เล่น
หลังจากนั่งคุยนั่งเล่นกันจนบ่าย ปิ่นปักก็เตรียมตัวไปช่วยงานของที่บ้าน เพียงรักเดินตามไปด้วยจากการชวนของปิ่นปัก เพราะถ้าปิ่นปักทำงานเสร็จเร็ว ก็จะได้ออกมาเล่นด้วยกันเร็วขึ้น
ครอบครัวเพียงรักอยู่ที่นี่มานานจนแทบจะเรียกว่าหลายรุ่นก็ว่าได้ และอาจจะเพราะที่นี่เป็นต่างจังหวัด ชาวบ้านแถวนี้จึงแทบจะรู้จักกันหมด
เวลาเพียงไม่นาน เพียงรักก็เริ่มสนิทกับคนในบ้านของปิ่นปัก อาจเป็นเพราะเพียงรักเข้าไปเที่ยวเล่นบ่อย และอายุไล่เลี่ยกับปิ่นปัก และเป้ พี่ชายของปิ่นปัก และผู้ใหญ่ของทั้งสองบ้านก็รู้จักกันเป็นอย่างดี
เพียงรักและปิ่นปักเป็นคนผิวขาว จึงทำให้เป็นเป้าสายตา และเป็นที่ต้องตาของคนที่พบเห็น เพียงแต่ทั้งคู่สไตล์ต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพียงรักเป็นคนหน้าตาหมวยๆ ผิวขาวเหลือง สูง 160 ตามมาตรฐานทั่วไป แต่ปิ่นปักเป็นสไตล์ขาวอวบ และค่อนข้างสูง จึงทำให้ปิ่นปักดูโตกว่าเพียงรักทั้งที่อายุเท่ากัน
หลังจากเพียงรักเข้าออกบ้านของปิ่นปักจนเป็นที่คุ้นเคยของคนในบ้านปิ่นปัก และคนที่พบเห็นเวลาผ่านไปผ่านมา
“ปิ่น พี่ป่านมองฉันทำไมวะ”
“หือ มองเฉยๆมั้งว่าเข้ามาทำอะไร คงเห็นเข้ามาบ่อย”
“งั้นเหรอ คงงั้นมั้ง”
ในวันหนึ่ง เพียงรักถามปิ่นปักด้วยความสงสัย หลังจากที่ข้องใจกับตัวเองมานาน เธอไม่แน่ใจว่าเธอคิดไปเองหรือเปล่า แต่เธอกำลังคิดว่า ป่าน พี่ชายอีกคนของปิ่นปักมองเธออยู่บ่อยครั้ง จากที่เธอไม่สนใจเพราะคิดว่าแค่บังเอิญ เวลาเธอเงยหน้าขึ้นมา หรือมองไปที่เขา มักจะสบตาเขาพอดี หรือเห็นเขากำลังมองเธออยู่พอดี เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้ง จากที่ไม่ค่อยได้สนใจ เธอก็เริ่มเกิดอาการข้องใจ ว่าเขามองเธอจริงๆ หรือเธอกำลังคิดไปเอง
แต่ดูเหมือนว่าเธอจะคิดมากไปเอง แต่อันที่จริงสาวน้อยก็แอบสนใจเขาอยู่เหมือนกัน เธอชอบสไตล์ผู้ชายผิวขาวหน้าตาตี๋ๆ เธอจึงแอบสนใจอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อเธอมารู้ว่าเขากำลังคบกับญาติของเธออยู่ เธอจึงตัดใจ แต่เธอก็อดที่จะแอบมองเขาไม่ได้ จนเธอเริ่มมารู้สึกด้วยตัวเธอเองว่าเขากำลังมองเธออยู่ เธอจึงได้ลองถามปิ่นปักดู แต่เธอคงคิดมากไปเองจริงๆ
กระทั่งถึงวันสงกรานต์ บ้านเธอและบ้านของปิ่นปักพากันขับรถกระบะออกไปเล่นน้ำสงกรานต์กัน เธอจึงรู้แก่ใจแน่ชัดแล้วว่า เขามองเธอแน่นอน แต่คงไม่มีใครเชื่อเธอ หรืออาจจะบอกว่าเธอคิดมากไป หญิงสาวจึงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป
เหลืออีกเพียงไม่กี่วันถึงเวลาที่เพียงรักจะกลับบ้าน เพราะใกล้เวลาเปิดเทอม ทั้งเพียงรักและปิ่นปักแลกเบอร์โทรศัพท์กันเอาไว้ เพื่อเอาไว้ติดต่อกัน หญิงสาวไม่ได้เข้าไปเล่นในบ้านของปิ่นปัก เพราะเธอต้องทยอยเก็บข้าวของใส่กระเป๋า รอบิดามารดามารับ
วิ้วววว
เสียงผิวปากดังขึ้น เมื่อเพียงรักมาเก็บล้างจานที่หลังครัว หญิงสาวมองซ้ายมองขวาตามหาเสียง ก่อนจะมีเสียงเรียกชื่อของเธอดังขึ้นมาจากริมกำแพง หญิงสาวสะดุ้งโหยง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเป็นเสียงของ กิตติธร หรือ ป่าน พี่ชายอีกคนของปิ่นปัก ที่อายุมากกว่าเธอหลายปีกำลังเรียกเธออยู่
“หนูรัก”
เพียงรักเดินมาที่ริมกำแพง ที่มีช่องจากลายก้อนอิฐ ทำให้สามารถมองผ่านได้ เหมือนตอนที่เธอทำความรู้จักกับปิ่นปัก ก็คุยกันผ่านกำแพง
เมื่อเดินมาถึง เพียงรักเห็นกิตติธรยืนอยู่ เธอจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ ด้วยความตื่นเต้นกึ่งตกใจ อันที่จริงเธอแอบมองกิตติธรมาตั้งแต่ก่อนจะได้เข้าไปเล่นในบ้านของปิ่นปักเสียด้วยซ้ำ
“เรียกหนูเหรอ มีอะไรคะ”
“เบอร์พี่ โทรมาด้วยนะ”
กิตติธรยื่นกระดาษแผ่นเล็ก ลอดช่องกำแพงส่งให้เพียงรัก หญิงสาวรับมาถืองงๆ ยังไม่ทันได้เปิดดู กิตติธรก็เดินจากไป
เมื่อชายหนุ่มหายลับตาไปแล้ว เพียงรักเปิดกระดาษแผ่นเล็กที่รับมาถือในมือดู ก่อนจะพับเก็บใส่กระเป๋ากางเกงขาสั้น และเดินจากไปเช่นเดียวกัน
หลังจากนั้นไม่กี่วัน เพียงรักก็เดินทางกลับบ้านของเธอ เพื่อกลับไปเรียนตามปกติ โดยที่ตัวเธอเองก็ยังไม่ได้ติดต่อหากิตติธรตามเบอร์ที่เขาให้มา เพราะยังยุ่งๆ อยู่กับช่วงเวลาเปิดเทอม จนผ่านไปกว่าอาทิตย์ เธอถึงมีเวลาว่าง และนึกถึงเขาขึ้นมา จึงหยิบกระดาษที่เขาจดเบอร์โทรศัพท์มาให้เธอ พลางครุ่นคิดอย่างหนัก ก่อนจะกดแป้นพิมพ์ตามตัวเลขบนกระดาษ แล้วกดโทรออกในที่สุด
“ฮัลโหล”
“…..พี่ป่าน”
“หนูรักเหรอ”
“ค่ะ”
“พี่นึกว่าจะไม่โทรมาหาพี่แล้วนะเนี่ย เห็นหายไปเลย”
“ก็หนูรักไม่ว่างนี่คะ”
“จ้ะ แล้วทำอะไรอยู่”
“กำลังจะนอนค่ะ”
“อื้ม งั้นพี่จะโทรหาหนูรักได้ไหม”
“ได้ค่ะ”
“จ้ะ งั้นพี่ทำงานก่อนนะ”
“ค่ะ”
หลังจากกิตติธรวางสายไป เพียงรักได้เกิดคำถามขึ้นในใจตัวเองว่าเขากำลังจีบเธอหรือไม่ แต่เธอคงคิดมากไปเอง ในเมื่อเขากำลังคบกับญาติของเธออยู่ เขาคงคุยเล่นกับเธอมากกว่า
คิดเพียงแค่นั้น หญิงสาวก็ล้มตัวลงนอน และปิดโคมไฟบนหัวเตียง เพียงไม่นานก็ผล็อยหลับไป
หลังจากนั้น กิตติธรก็โทรมาคุยกับเพียงรักทุกวัน จนวันปิดเทอมได้เวียนกลับมาอีกครั้ง เพียงรักเก็บเสื้อผ้าเพื่อไปอยู่ที่บ้านที่ต่างจังหวัดของเธอตามปกติ และบิดามารดาของเธอส่งเธอเอาไว้ แล้วก็เดินทางกลับเลย ไม่ได้อยู่ค้างกับเธอเหมือนทุกครั้ง
หลังจากมาที่นี่ เธอและกิตติธรแอบคุยกันตามปกติ แม้แต่เวลาเข้าไปเล่นกับปิ่นปักในบ้าน เธอกับกิตติธรก็ยังแอบสบตากันเวลาที่เจอกัน จนวันที่เป็นจุดเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็มาถึง
“ออกมาหาพี่หน่อยสิ”
“หาที่ไหน”
“ข้างหลัง เดินเข้ามาด้านใน เดี๋ยวพี่ออกไปทางประตูหลัง”
“โอเค”
หลังจากนัดแนะกันเรียบร้อย เพียงรักก็เดินออกจากบ้านไปอย่างเงียบเชียบ เดินเข้าไปทางหลังบ้าน ซึ่งยังมีบางส่วนที่เป็นป่าอยู่ เพราะยังไม่ได้ทำอะไร จึงปล่อยทิ้งเอาไว้แบบนั้น
เมื่อมาถึงเธอก็ตัวเกร็งเล็กน้อย เมื่อกิตติธรได้รวบเอวเธอไปกอดเอาไว้ก่อนจะหอมแก้มเธอ หญิงสาวเองก็คุยกับเขาจนหลงรักเขา จึงปล่อยให้เขาซุกไซร้จนเกือบจะเลยเถิด แต่ด้วยความตื่นกลัว ทำให้เธอผลักเขาออกพร้อมกับกรีดร้องออกมา
กิตติธรรับรู้ว่าหญิงสาวในอ้อมกอดเกิดอาการกลัว จึงสัมผัสได้ว่าเธอไม่เคยผ่านมือใคร เขาจึงยอมปล่อยเธอ ลูบศีรษะเพียงรักเบาๆ และบอกให้เธอกลับบ้าน
เพียงรักสีหน้าตื่นกลัว รวบรวมสติเดินกลับบ้าน พร้อมกับสำนึกได้ว่า เธอเกือบจะตกเป็นของเขา และเขาก็เป็นจูบแรกของเธอ
หลังจากวันนั้นมา เพียงรักก็ไม่ค่อยได้กลับมาที่นี่ มีกลับมาบ้าง แต่เมื่อเจอหน้ากิตติธร ทั้งเขาและเธอก็ไม่มีใครพูดอะไร ต่างฝ่ายต่างเงียบ ไม่พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ปล่อยให้มันจางลง และอยู่ในความทรงจำของทั้งสองคนเพียงแค่นั้น