กวีบทที่ ๑ น้ำย่อมไหลตามกระแส [1]
"เหวอ!! น..นายท่าน!! ได้โปรดข้าน้อย..ข้าน้อยผิดไปแล้วขอนายท่านโปรดเมตตาข้าน้อยด้วย!"
ชายแก่ท่าทางลนลาน คุกเข่าคลานหมอบกับพื้นด้วยท่าทางหวาดกลัวต่อชายผู้ยืนอยู่เบื้องหน้า ใบหน้างามหยดย้อยแต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่ภายในหม่นหมองเน่าเปื่อยเหมือนกับจิตใจของเจ้าของใบหน้าที่กำลังยิ้มเย้ยนั่น
"ให้อภัยหรือ? ให้ข้าให้อภัยเจ้าผู้ทรยศงั้นหรือ? หึหึ..."
ใบหน้าจ้องมองชายที่กำลังอ้อนวอนด้วยท่าทางสมเพชเวทนาเปี่ยมสุขพลางเอ่ยถามขึ้นเพื่อไตร่ตรองคำอ้อนวอนนั่น แต่ล้วนแล้ว นิสัยใจของของเขาผู้นี้ คงจะมีเพียงคำตอบเดียวที่เลือกขึ้นมาเป็นอย่างแรก
"ได้โปรดนายท่าน ข้าน้อย... ข้าน้อยเพียงแค่ทำแบบนั้นเพราะตั้งใจจะช่วยครอบครัวของข้า... ฮึก พวกเขากำลังลำบากข้าถึง... แต่..แต่ข้ามิได้ตั้งใจจะทำร้ายท่านเลยแม้แต่น้อยนะขอรับ"
"หื้ม? ครอบครัว?"
"อึก..."
ชายแก่กระตุกตัวสั่นเมื่อเสียงที่เอ่ยนั่นกำลังแสดงท่าทางตั้งคำถามอย่างไม่สบอารมณ์นัก
"ไหนเจ้าบอกข้าว่า ครอบครัวของเจ้าถูกคนในตระกูลหลินฆ่าตายหมดสิ้นแล้วนี่? ไยถึงเอ่ยว่าช่วยครอบครัว?"
".....น..นายท่านเฉินจือหาน! ได้โปรด! ข้า...ข้ามิได้มีเจตนาคิดปองร้ายต่อท่าน ข้าสาบาน ข้าสาบาน!! ได้โปรด!!"
ชายแก่ไร้ทางออก ได้แต่ก้มลงคว้าเข้าที่ขาของผู้เป็นนาย กอดไว้แน่นอ้อนวอนร้องขอความเมตตาจากนายของตนเอง น้ำตาไหลรินลงมาอย่างยากที่จะหยุดยั้ง แต่ใบหน้าของเฉินจือหานกลับมิใช่เช่นนั้นเลย
"ทันทีที่เจ้ากล้าทรยศข้า แสดงว่าเจ้าเตรียมตัวตายมาเสียอย่างดี ไยข้าจักไม่ตอบสนองความต้องการของเจ้ากันเล่า?"
"เอ๊ะ? น..นายท่าน ม..ไม่..ด..ได้โปรดเถิด! อึก อั๊ก!!! อ๊าก!!"
เสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างน่าสยดสยอง ร่างนอนหมอบกับพื้นค่อยๆ ลอยขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าซีดเผือดพร้อมกับมือของตนเองที่กำลังกำคอของตนเหมือนมีอะไรบางอย่างมารัดคอไว้เสียแน่น เฉินจือหานจ้องมองชายตรงหน้าที่กำลังทรมานอย่างสุขสมขณะอีกฝ่ายสีผิวเริ่มเหี่ยวย่นซีดเซียว สีตาขาวโพลนแต่กายยังมีวิญญาณอยู่ เสียงร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวดค่อยๆ แผ่วลงเรื่อยๆ ไอหมอกหนาสีดำไหลลอยออกจากร่างเหี่ยวย่นเข้าสู่ร่างของอีกฝ่ายราวกับดูดกลืนพลังชีวิตจนเกลี้ยง ก่อนที่จะมีแสงสว่างกลมสีขาวสดบริสุทธิ์หลุดออกมาจากร่างชราก่อนสิ้นใจ
".... ทั้งที่บอกว่ารับใช้ข้าเยี่ยงทาสแต่ดวงวิญญาณกลับสีใสบริสุทธิ์ ใสจนน่าคลื่นไส้..."
เขาเอ่ยขึ้นสั้นๆ ริมฝีปากจรดลงบนดวงแก้วกลมสีขาวเรืองรอง ก่อนกินดวงแก้วนั่นเข้าสู่ร่างกาย
"สกุลหลิน.... ไม่ว่ายังไงก็มักจะเข้ามาสอดแนมข้าเสมอ หึ... แต่อีกไม่นานหรอก... ประเดี๋ยวพวกเจ้าก็ใกล้สิ้น.. ข้าจะกินวิญญาณพวกเจ้าให้หมดทั้งสกุลเอาให้เท่ากับสิ่งที่พวกเจ้าแย่งชิงมาจากข้า หึหึ ฮ่า ฮ่า ฮ่า!"
...
"หลีเหว่ย.. หลีเหว่ย!!"
"เหวอ!!! อึก.. อะไรของพวกนายเนี่ย! เรียกเบาๆ ไม่ได้หรือไง คนกำลังหลับเพลินๆ"
สีหน้างัวเงียถูกปลุกขึ้นจากการหลับ ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ ห้องถึงได้รู้ว่าตัวเองยังคงอยู่ในหอสมุดใจกลางเมือง
"ปลุกนายเป็นชาติแล้วไม่ยอมตื่นเองนี่! พวกเรามาหาข้อมูลนะ ไม่ใช่ให้มานั่งหลับ"
"จ้าๆ ขอโทษครับ แล้ว..พวกนายอ่านอะไรกันล่ะ?"
ชายหนุ่มชะโงกหน้ามองเหล่าเพื่อนของตัวเองที่กำลังนั่งอ่านหนังสือจดลงสมุด เพื่อหาข้อมูลไว้ศึกษาในการวิจัยที่จำเป็น
"กลไกราคา ส่วนเจ้านั่นอ่านทฤษฎีการคํานวณ"
"อะไรกัน อ่านอะไรไม่เห็นบันเทิงเลย"
"งั้นแกก็ไปหาอะไรที่มันบันเทิงมาอ่านแล้วเงียบๆ เซ่! อ่ะ นี่!"
เพื่อนของเขายื่นหนังสือเล่มหนาส่งมาให้
"อ่านนี่แล้วมาเล่าให้ฉันฟังสิ เล่าให้ละเอียดไม่เอาเล่าแบบส่งเดช"
"อะไร? นิทานกระต่ายกับเต่าหรอ?"
"แกอยากตายไหมล่ะหลีเหว่ย?"
"จ้าๆ ขอโทษ ว่าแต่ หนังสืออะไรล่ะ..."
เขาจ้องมองหนังสือเล่มหนา ที่บันทึกเรื่องราวเรื่องเล่าของสงครามเลือดเมื่อหลายพันปีก่อน แต่แล้วก็หลุดหัวเราะออกมาเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องตลกเหลวไหลซะมากกว่า
"ฮิฮิ เอาจริง? จะให้ฉันอ่านเรื่องนี้จริงดิ มันก็แค่เรื่องแต่งที่โด่งดังสมัยก่อน มีความจริงแค่5เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นเป็นเรื่องแต่งที่ทำให้เรื่องมันดูสนุกก็แค่นั้นเอง"
"ถ้านายจะมาพูดแค่นี้ก็กลับบ้านไปเถอะ คนเขาจะอ่านหนังสือ"
"อ้าๆ รู้แล้วๆ ฮิฮิ ฉันเคยอ่านเรื่องนี้แล้ว แต่ก็จำไม่ค่อยได้เยอะหรอกนะ รู้แค่ว่าตอนจบของสงครามเลือด ตระกูลชื่อดังทั้ง5 ตระกูลต้องห้ำหั่นต่อสู้กับแม่ทัพมารนามว่าเฉินจือหาน ต้องเสียสละสมาชิกของคนในตระกูลไปนับร้อยนับพันชีวิต สงครามก็จบลง โดยที่แม่ทัพมารถูกสังหาร ตัดหัวเสียบประจาน แต่ตระกูลที่เหลือรอดมีเพียงสองตระกูลคือ ตระกูลหลินและตระกูลโจว แล้วต่อมาตระกูลหลินคิดก่อกบฏแต่ไม่สำเร็จและถูกสังหารหมู่ในที่สุดจนเหลือเพียงตระกูลโจวที่ยังอยู่รอดจนถึงตอนนี้"
"เอาจริงๆนะ ถ้าแม่ทัพมารอะไรนั่นไม่ก่อสงครามเรื่องพวกนี้ก็คงไม่เกิด บ้านเมืองคงสงบสุขกว่านี้เยอะ" เพื่อคนหนึ่งออกความเห็น
"อะไรกันพวกนาย ไม่ตั้งใจอ่านหนังสือแต่มาฟังฉันเล่าเนี่ยนะ แล้วก็มาด่าฉันว่าไม่สนใจอ่านหนังสือ? บ้าแล้ว"
"ก็นายนั่นล่ะ เล่าให้อยากฟัง ไปๆ อ่านต่อ อีกไม่นานก็จะมืดแล้ว หอสมุดปิดแล้วนี่แหละจะเป็นเรื่องแย่" ทั้งสามคนเริ่มกลับมาเข้าสู่โหมดตั้งใจกันอีกครั้ง
'กริ้ง.... กริ้ง..'
"อ่ะ.." หลีเหว่ยหันมองไปตามเสียงของกระดิ่งด้วยท่าทางฉงน
"อะไรหรอ?" เพื่อนในกลุ่มเอ่ยปากทักขึ้นกับท่าทางของเขาที่ดูเหม่อไปเล็กน้อย
"ฉัน..คิดว่าได้ยินเสียงกระดิ่ง"
"กระดิ่ง? ในนี้มีใครเขาสั่นกระดิ่งกันเล่า เงียบออกจะตาย หูนายเพี้ยนหรือไง? อ่านหนังสือกันได้แล้วจะได้รีบกลับบ้าน"
ใบหน้าจ้องมองหาที่มาของเสียงอย่างไม่ละสายตา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เจอเจ้าของเสียงกระดิ่งที่ว่านั่นเลยสักนิด หลีเหว่ยหันกลับมาสนใจบนโต๊ะของตัวเองอีกครั้งแล้วถอนหายใจเบาๆ
"คิดไปเอง..มั้ง"
...
"ท่านเฉินจือหาน น้ำสำหรับอาบได้เตรียมไว้ให้ท่านแล้วเจ้าค่ะ"
"....อย่าให้ใครเข้ามาตอนที่ข้ากำลังบำเพ็ญ"
ใบหน้านิ่งเรียบเดินตรงเข้ามายังด้านในห้องที่มีบ่ออาบน้ำขนาดใหญ่ ไฟจากตะเกียงจุดเปล่งแสงสีส้มนวลรอบบริเวร ฝีเท้าย่างก้าวเดินลงไปในบ่อแช่ที่ควันพวยพุ่งจากไอร้อนมายังจุดกึ่งกลางของบ่อ ยกมือขึ้นปัดเป่าแสงไฟรอบๆ ให้เปร่งเป็นสีม่วง พลางสูดลมหายใจรวบรวมญาณของตนเองให้เป็นหนึ่ง
".....ท่านเฉินจือหาน"
"...เฉินจือหาน!!! "
"อึก!" เปลือกตาลืมขึ้นกวาดตามองไปรอบๆ "ผู้ใดบังอาจมารบกวนข้า!"
ต่อให้เปร่งเสียงเอ่ยถามออกไป แต่กลับไม่มีใครกล่าวขานตอบรับ สีหน้าหงุดหงิดคลายกังวลพลางกลับมานั่งตั้งญาณของตนเองใหม่ เหงื่อเริ่มไหลซึม ร่างกายกลับรู้สึกหนักอึ้ง
"เฉินจือหาน!! เจ้าตัวอัปยศ!!"
"อึก!! ข้าถามว่าใครกัน!!! " แววตาโมโหร้ายผุดขึ้น จ้องมองไปรอบๆ อย่างไม่สบอารมณ์นัก
"เฉินจือหานสมควรตาย!!" เสียงนั่นยังคงดังก้อง แต่กลับไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้นเลยแม้แต่น้อย
"อึก บ้าเอ้ย..."
"เฉินจือหาน เฉินจือหาน เฉินจือหาน!! ช่วยด้วย ท่านเฉินจือหานโปรดไว้ชีวิตข้า! ท่านเฉินจือหาน!!"