“คุณปั่น มาแล้วเหรอคะ”
กดออดประตูแค่ครั้งเดียว บัวบาน ซึ่งเป็นคนรับใช้ใกล้ชิดหรือที่คนในบ้านมักจะเรียกให้ได้ยินว่าต้นห้องของแม่ก็เปิดรับและทักทายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มแล้ว
“ครับ”
บัวบานออกจากห้องไปแล้ว เขาก็เดินเข้าห้องที่จำไม่ได้ว่าเคยมาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แม่ไม่ได้นอนอยู่บนเตียงสีทองอร่าม ซึ่งเขาจำไม่ได้ว่าทองคำแท้หรือยังไง แต่ระดับแม่ ไม่มีทางจะใช้ของเก๊ และราคาเขาไม่อยากเดา รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นในห้องนี้ด้วย ล้วนแล้วแต่เป็นของเก่าแก่ มีที่มาหมด จนเขาไม่อยากจำ
“จะไปไหนยัยแคระ”
มือหนาคว้าข้อมือเล็กไว้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเจ้าของมือกำลังจะเดินหนี แทนที่จะตามเขาไป ปากก็เค้นเสียงหนักๆ แต่เบามาก
“กลับไงคะ”
รักศิกาญจน์เองก็เสียงเบามาก เพราะกลัวระดับเดซิเบลจะถึงหูคุณท่าน
“คิดว่าฉันจะปล่อยไปง่ายๆ เหรอ ในเมื่อฉันยังไม่รู้ว่าคุณแม่ส่งเธอไปลากฉันมานี่ หรือเธอคิดเองทำเอง”
“ฉันจะอยากลากคุณมาทำไมล่ะคะ”
ในเมื่อฉันเหม็นขี้หน้านายจะตายละ นิสัยไม่เคยเปลี่ยน เคยรังแกฉันยังไง เคยแกล้งฉันยังไง ก็ทำแบบนี้ตลอดๆ ฉันโตแล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆ เหมือนเมื่อก่อนนะ
“ก็อยากประจบคุณแม่ เพื่อเรียกคะแนนนิยมเพิ่มให้ตัวเองไงล่ะ พวกเธอถนัดไม่ใช่เหรอ”
“ปล่อย! ฉันจะกลับ”
“กล้าก้าวออกจากห้องนี้เมื่อไหร่ ฉันจะจูบเธออวดคุณแม่เลย เอามั้ยล่ะ”
เดี๋ยวเขกกบาลแยกเลย นั่นคือคำขู่เมื่อก่อนของเขาที่จะใช้กับยัยแคระ เด็กขี้ประจบคุณแม่ตลอด แต่ตอนนี้โตแล้ว เป็นสาวเต็มตัวแล้ว คำขู่เดิมๆ คงไม่ได้ผลหรอก มันต้องจูบนี่ล่ะ น่าจะได้ผลกว่า
ว่าแต่ แกจะจูบจริงเหรอวะ
“คุณนี่นะจะกล้าทำ”
จ้างให้ก็ไม่เชื่อ เอ๊ะ หรือว่าจะเชื่อดีวะ กล้าเสี่ยงเหรอ นายนี่ยิ่งขี้เหวี่ยงอยู่ด้วย
วัยทองเปล่าวะ
ใช่เหร๊อ
ก็นายนี่ขี้เหวี่ยงมาตั้งแต่วัยรุ่นละ คงไม่ใช่วัยทองร๊อก นิสัยเสียล้วนๆ
“มีอะไรที่ฉันไม่กล้าบ้างล่ะ เธอเคยเห็นฉันกลัวเหรอ ฮึ! หรืออยากลอง...” คนหน้าหล่อและสูงร้อยเก้าสิบห้า โน้มกายไปใกล้ๆ จนเกือบจะชิด ถ้าไม่เพราะคนหน้าหวานเอนหลังหนี
“คุณปั่น เข้ามาหรือยังคะ” ถ้าไม่มีเสียงนี้ดังขึ้น หน้าคงได้ชนกันไปแล้ว
“เด็กนี่ไปบอกผมว่าคุณแม่ให้ไปตาม เพราะป่วย งั้นเหรอครับ?”
อาชามองมารดา ขณะเดินไปยังชุดรับแขกสีทองอร่าม น้ำเสียงที่ใช้นั้นออกจะห้วนนิดๆ แต่ไม่เท่ากับเสียงที่ใช้กับคนที่เขาบุ้ยปากไปว่าเป็นเด็กนี่
“จ้ะ”
อาภัสสรา ราชรักษ์ กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่กับเดย์เบดสไตล์เจ้าหญิง สีทองอร่าม หรูหรา เข้ากับห้องอย่างลงตัว ตาก็จ้องมือลูก กำแขนเล็กๆ ของเด็กนี่ไม่วาง ในใจในความห่างเหินที่ลูกมีให้ ผ่านการเรียกตัวเองว่าผม แทนที่จะเป็นคุณปั่นเหมือนเมื่อก่อนนั้นมีตลอดไม่เคยเปลี่ยนเลย เพราะเหมือนลูกบอกเป็นนัยว่ายังโกรธแม่อยู่
“เป็นอะไรครับ?”
เหมือนลูกจะรู้ตัว เลยรีบปล่อยมือ ปากก็ถามไปอย่างนั้น รู้ทั้งรู้ว่าแม่ไม่ได้เป็นอะไร หรือถ้าเป็นก็คงจะแค่มีหวัดนิดๆ ปวดหัวหน่อยๆ เท่านั้น
“ไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่มีไข้หน่อยๆ เท่านั้นค่ะ”
นั่นไง กูว่าละ ลูกไม้เก่าๆ ของแม่
“ให้หมอมาตรวจหรือยังครับ” อีกครั้งที่ถามไปอย่างนั้น
“น้องรัก จะไปไหนจ๊ะนั่น มานั่งตรงนี้ เดี๋ยวคนจะยกของว่างมาแล้วจ้ะ”
ทันทีที่แม่เอ่ยขึ้น อาชาก็หันไปหาเด็กนี่ ที่เมื่อกี้ยังอยู่ไม่ห่างตัวอยู่เลย แต่ตอนนี้ดันกำลังจะเปิดประตูหนีอีกละ ถ้าไม่อยากในห้องแม่ จะเขกกบาลแยกเลย
เอ๊ะ
หรือจะจูบดีนะ
ต่อให้ไม่สวยขนาดที่เขาอยากจะจูบ แต่ก็ฝืนได้แหละ
“ไม่เป็นไรค่ะ น้องรักจะกลับเลยค่ะคุณท่าน”
“จะรีบไปไหน รอรับทานของว่างเป็นเพื่อนคุณท่านก่อนสิจ๊ะ”
“คุณท่านรับทานตามสบายเลยค่ะ น้องรักอยู่จะเกะกะเปล่าๆ ค่ะ”
“จะหนีเหรอ มาตรงนี้ ฉันจะได้จัดการเราด้วยเลย” อาชาส่งหน้าดุๆ แล้วตบมือลงชุดรับแขกข้างกาย
“มานั่งตรงนี้น้องรัก เรายังมีเรื่องต้องคุยกันอยู่”
เห็นเด็กทำท่าไม่เชื่อลูกชายตัวเองนัก อาภัสสราเลยกำชับอีกแรง เพราะท่าทีของลูกแบบนั้น มีหรือเด็กจะอยากเข้าใกล้
“ค่ะ”
รู้ว่าคุณท่านไม่ชอบให้ใครขัดใจ เลยต้องเดินไปหา พอถึงตรงขอบพรมสีทองของเก่าแก่ราคาหลายล้าน ก็คลานไปนั่งพับเพียบอยู่บนพื้น เพราะไม่อยากตีตัวเสมอผู้ใหญ่ และไม่อยากนั่งใกล้คนหน้าดุแหละ เหตุผลหลัก
“สรุปว่าคุณแม่ให้หมอมาดูอาการหรือยังครับ”
อาชาเลยหันไปหาแม่ เพราะเบื่อกับเด็กนี่ ที่ชอบขัดคำสั่งเขาตลอด ทั้งที่บอกให้มานั่งข้างบนแล้ว
“ไม่อยากอยู่ใกล้ๆ ฉันใช่มั้ย”
“เดี๋ยวๆ วันหลังจะแกล้งให้อยู่ติดๆ ฉันเลย ป่วนดีนัก ยัยแคระขี้ประจบ เดี๋ยวจะเจอจูบสั่งสอนสักหน่อยละ”
“ยังค่ะ”
“แล้วจะหายเหรอครับ”
รู้แหละว่าแม่ไม่ได้ป่วยอะไรมากมาย แค่เอาเป็นข้ออ้างเท่านั้น แต่ก็ยังฝืนถาม ทั้งที่ใจไม่อยาก แล้วยังเคืองด้วย เขาอุตส่าห์เลื่อนนัดสำคัญแบบเสียมารยาท ซึ่งไม่รู้หรอกว่าเลขาจะใช้เหตุผลไหนไปอ้าง ให้น่าเกลียดน้อยลงหน่อย
“กินยาวันสองวันเดี๋ยวก็หาย”
“แปลว่าไม่ได้เป็นอะไร หรือถ้าเป็นก็ไม่มากสินะครับ”
รักศิกาญจน์เคืองน้ำคำกับท่าทีของลูกชายที่มีต่อแม่ไม่น้อย ทั้งที่เมื่อก่อนตอนเป็นเด็กก็เห็นออกบ่อย และชาชินแล้ว แต่พอโตขึ้น ต่างคนต่างห่างกันไปหลายปี อะไรที่เคยชินเลยกลับมาเปลี่ยนเป็นไม่ชิน
“ถ้าไม่ได้เป็นอะไร หรือเป็นไม่มาก คุณปั่นก็จะไม่มาหาคุณแม่ใช่มั้ย”
“งานผมยุ่งนี่ครับ เพราะต้องสร้างความเป็นปึกแผ่นให้บริษัท จะได้มั่นใจว่ายืนด้วยลำแข้งของตัวเอง”
อาชาส่งเสียงห้วนๆ ใส่ ส่วนแม่ก็ถอนหายใจหนักๆ ด้วยความเสียใจ น้อยใจ กับสรรพนามที่ลูกแทนตัวเองว่าผม จากเมื่อก่อนจะเป็นคุณปั่น นั่นก็แปลว่าลูกยังคงโกรธหรืออาจจะเกลียดแม่ไม่เลิกอยู่ดี
“ต้องทำขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ต้องสิครับ แล้วผมก็ต้องยกเลิกถึงสามนัด เพื่อมาดูคุณแม่ เพราะยัยแคระไปบอกว่าป่วยหนัก”
“น้องรักบอกคุณปั่นแบบนั้นเหรอจ๊ะ”
อาภัสสราหันไปหายัยแคระของลูก ยังคงนั่งพับเพียบอยู่ แต่ประตูห้องก็มีเสียงออดดัง สักพักของว่างในสำรับก็ถูกจัดมา