“นักการทูตเหรอ”
“ค่ะ”
“อื๊ม หวังสูงดีนี่ ระวังตกลงมาขาหักล่ะ”
“สรุปคุณจะไปหาคุณท่านมั้ยคะ ท่านไม่สบาย อยากเจอคุณ ท่านบอกว่าคุณไม่ไปหามาหลายเดือนแล้ว โทรมาหาก็ไม่รับ หรือรับแล้วก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมไปหาท่าน หรือนัดแล้วก็เงียบไปเฉยๆ คุณท่านอยากเจอคุณจริงๆ นะคะ ช่วยไปหาท่านหน่อยเถอะค่ะ ถ้าคุณไม่ไป ฉันจะนั่งเฝ้าอยู่ที่นี่ จนกว่าคุณจะไปค่ะ”
เพื่อกันไม่ให้เขาแทรกอีก เลยร่ายยาวรวดเดียว
“ทุ่มเทดีนี่ ได้ค่าจ้างเท่าไหร่ หรือด้วยอะไรล่ะ” นักบริหารหนุ่มใหญ่กระตุกยิ้ม
“เปล่าค่ะ ฉันแค่สงสารคุณท่านเท่านั้น ท่านคิดถึงคุณนะคะ”
“รู้ได้ยังไง” ตาก็หรี่มองเด็กสาวตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ
“รู้ก็แล้วกันค่ะ สรุปคุณจะไปมั้ยคะ”
“มาขอร้อง ก็ต้องพูดหวานๆ แล้วก็ยิ้มสวยๆ สิ ไม่ใช่หน้าบึ้งๆ เสียงห้วนๆ ใส่ฉัน”
“นี่เป็นเสียงปกติ แล้วก็หน้าปกติค่ะ”
“งั้นก็ยิ้มหน่อยสิ” คนถูกบังคับจำใจฉีกยิ้มให้อย่างเลี่ยงไม่ได้
“นี่ยิ้มแล้วเหรอ”
“ค่ะ”
“ขนาดยิ้มยังหน้าเหมือนตูดลิงอยู่เลย จะหาแฟนได้เหรอยัยแคระ”
อาชาดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว จนคนถูกหาว่าหน้าตูดลิงตั้งตัวไม่ทัน ต้องรีบลุกขึ้นตาม ทั้งที่เมื่อกี้กำลังจะสวนกลับอยู่แล้ว
“คุณจะไปไหนคะ?”
“ก็จะไปหาคุณแม่ไง เธอรับหน้าที่มาลากฉันไม่ใช่เหรอ หรือจะนั่งอยู่ตรงนี้ต่อล่ะ ฉันจะได้นั่งทำงานบ้าง”
“ไม่ค่ะ”
“เก็บของให้ด้วย ฉันไม่กลับมาละ”
เจ้าของห้องปรายตามองลงโต๊ะ กระเป๋าในลิ้นชักถูกเอามาวางไว้ คนถูกใช้ไม่มีทางเลือก แล้วเดินต้อยๆ ตามออกไปหน้าห้อง
“พี่ตุ่มช่วยยกเลิกประชุมบ่ายนี้ กับนัดกินมื้อเย็นให้ผมด้วยนะครับ”
“ทั้งหมดเหรอคะ”
“ครับ”
“ค่ะ”
“ตามรถให้ผมด้วย”
“ค่ะ”
รักศิกาญจน์ไหว้ราตรีแทบไม่ทัน เพราะท่านประธานก้าวอาดๆ จะถึงลิฟต์อยู่แล้ว
“ให้มันเร็วๆ หน่อยสิยัยแคระ ฉันมีเวลาน้อยนะ”
“ค่ะ”
ถึงจะไม่ชอบใจในสรรพนามที่เขาเรียกยังไง แต่ก็จำต้องรีบก้าวเข้าไปอยู่ในห้องแคบๆ กับเขา เวลามันช่างเดินไปช้าจริงๆ ทั้งที่ตอนขึ้นมาก็ว่าแป๊บเดียวเอง
“แล้วจะไปไหนล่ะนั่น” อาชาส่งเสียงห้วนๆ ให้คนยื่นกระเป๋าใส่มือแล้วเดินไป
“ธุระค่ะ”
“ธุระอะไร”
“ส่วนตัวค่ะ”
“เธอมาตามฉัน แล้วจะชิ่งเหรอ?”
“คุณจะไปแล้ว ก็หมดเรื่องของฉันค่ะ”
“แล้วรู้เหรอว่าฉันจะไปไหน”
“ไปหาคุณท่านไม่ใช่เหรอคะ”
“ถ้าเธอไม่ไปด้วย ฉันจะไปที่อื่น”
“เอ๊า”
“ไม่อ๊งไม่เอ๊าล่ะ รถเธอจอดไว้ไหน”
“ไม่มีค่ะ”
“หมายความว่าไง”
“ก็ไม่มีรถ ฉันมาแท็กซี่ค่ะ”
“งั้นขึ้นมา”
“เอ่อ”
“ถ้าไม่ขึ้น ฉันจะไปที่อื่นนะ เอาไง”
“ก็ได้ค่ะ”
“ก็แค่นั้น” อาชาจ้องคนกำลังเดินไปเปิดประตูหน้า
“มานั่งในนี้” เลยบุ้ยหน้าไปหาเบาะหลังแทน
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะนั่งกับ...เอ่อ...คุณ...”
รักศิกาญจน์มองเข้าไปหาคนนั่งอยู่หลังพวงมาลัย ว่าวันนี้ใครกันเป็นเบ๊ให้เขา ไม่ได้เจอกันสิบกว่าปี เลยจำไม่ได้ว่าใครกันแน่ ระหว่างสิรภพกับชลกร
“สิรภพครับ”
หนุ่มในสูทเรียบกริบตอบเสียงนุ่มๆ กลับมา และแน่นอนว่าเขากำลังงงเช่นกันว่าสาวสวยใสและหน้าหวานๆ คนนี้เป็นใคร จะว่าคุ้นก็ไม่ใช่ จะว่าเคยเห็นก็ไม่เชิง
“ฉันจะนั่งกับคุณระค่ะ”
“แต่ฉันไม่อนุญาต มานั่งกับฉันเดี๋ยวนี้เลย!”
“ไม่เอาค่ะ ฉันจะนั่งกับคุณระ”
“จะมาดีๆ หรือให้ฉันไปอุ้มเอามาทุ่มใส่เบาะเหมือนเมื่อก่อนแทน”
“ก็ได้ค่ะ”
คนอยากนั่งหน้าเลยจำต้องเปลี่ยนที่อย่างเสียไม่ได้
“ห้ามพูดอะไรนะ ฉันจะพักสายตา”
เสียงห้วนๆ ดังขึ้น นั่นทำเอาอีกคนเคือง ในใจก็บ่นไปด้วย
“จะพักสายตา แล้วให้ฉันมานั่งตรงนี้เพื่อ? ”
รถยุโรปแบบเอ็มพีวี แล่นผ่านประตูเหล็กดัด มี รปภ. ยืนตะเบ๊ะให้อย่างแข็งขัน เมื่อรู้ว่านั่นเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลราชรักษ์ ระบบตรวจที่เคยมีอย่างเข้มข้น ก็จะลดลงแทบไม่หลงเหลืออะไร
พอรถจอดเทียบใต้หลังคาทรงโดมของคฤหาสน์สไตล์ม็องปาร์นาสแล้ว รักศิกาญจน์ก็งงกับคนที่เอาแต่นิ่งปิดตานิ่งๆ อยู่กับเบาะตั้งแต่รถออก ก็รีบดีดตัวขึ้นแบบไม่ต้องมีใครบอก
“ไหนล่ะคุณแม่”
เขายังคงส่งเสียงห้วนๆ ขณะผู้ช่วยขับไปหยุดกึกตรงโรงจอดแล้ว
“ตอนฉันออกไป ท่านนอนอยู่บนห้องค่ะ แต่ตอนนี้ไม่ทราบยังอยู่ที่เดิมหรือลงไปมารับน้ำชาในสวนค่ะ” ก็ไม่แน่ใจเลย เมื่อกี้ก็ว่าจะโทรหาแล้ว แต่กลัวจะรบกวน
“ถ้าป่วยก็ต้องนอนอยู่บนห้องสิ จะลงสวนได้เหรอ เว้นแต่ว่าเธอจะโกหกฉันเท่านั้น”
“ฉันจะโกหกคุณเพื่ออะไรล่ะคะ”
“จะไปรู้เหรอ คนบ้านนี้ไม่เคยมีใครพูดความจริงกับฉันสักคน”
อาชาอยากต่อออกไปจริงๆ ว่าแม้กระทั่งแม่ ก็โกหกเขาออกบ่อยไป โดยเฉพาะเรื่องเจ็บป่วย ขยันเอามาอ้างเสียจริง
“แล้วนั่นจะไปไหน”
ดวงตาคม จ้องอยู่กับคนแต่งตัวบ้านๆ แต่ดันกล้าบุกไปหาออฟฟิศหรูหราของเขา ช่างไม่เข้ากับสถานที่เสียจริง
“จะออกไปโบกแท็กซี่กลับบ้านค่ะ”
“ฉันอนุญาตแล้วเหรอ”
“ฉันขึ้นรถมากับคุณ จนถึงบ้านแล้ว ต้องรออะไรอีกล่ะคะ”
“ก็รอให้ฉันถามคุณแม่ก่อนไง ว่าใช้เธอไปหลอกฉันมา หรือว่าเธอวางแผนเอง”
“ฉันจะทำแบบนั้นทำไมล่ะคะ”
“เดี๋ยวก็รู้ นำไปสิ”
รักศิกาญจน์ขี้เกียจมีปัญหา เลยเดินนำไปยังลิฟต์
“บันได”
แต่ดันมีเสียงห้วนๆ ส่งมา นั่นทำให้ต้องเปลี่ยนทิศทางทันที ในใจก็ด่าตัวเองไปด้วย
ซวยละ ก้าวขอข้างไหนออกบ้านวะกู ถึงได้ต้องมาเจอนายห้วนนี่เข้า เซ็งๆๆๆ
สองเท้าก้าวฉับๆ ตามร่างสูงๆ ขึ้นแบบสบายๆ ต่อให้มีถึงห้าชั้น แต่คิดเหรอว่าคนอย่างรักศิกาญจน์จะกลัว ในเมื่อตอนเรียนอยู่อังกฤษ ก็เดิน วิ่ง แล้วก็ปั่นจักรยานเป็นประจำอยู่แล้ว
“คุณแม่อยู่ไหน”
พอมาถึงพื้นที่ส่วนตัวของแม่ทั้งชั้น อาชาก็ส่งเสียงห้วนๆ ให้สาวใช้ กำลังเข็นรถอุปกรณ์ทำความสะอาดออกมาจากห้องสุดท้ายของชั้น
“ในห้องนอนค่ะ”
อาชาพยักหน้าให้สาวใช้แทนคำขอบคุณ เอาจริงๆ เขาจำไม่ได้หรอก ว่าเด็กเมื่อกี้ชื่ออะไร ทำงานที่นี่นานแค่ไหน เพราะมีหลายคนเกิน รักศิกาญจน์เองก็จำไม่ได้ เลยแค่ยิ้ม แล้วเดินตามร่างสูงๆ ไป