รักศิกาญจน์เดินออกจากห้องทำงาน แล้วตรงเข้าครัวด้วยท่าทีเร่งรีบ เพราะคุยงานค้างอยู่ แต่ติดต่อคนในบ้านไม่ได้เลย ปกติบัวบาน ผู้เป็นเสมือนต้นห้องของคุณท่านก็จะรออยู่หน้าประตู แค่สั่นกระดิ่งก็จะเข้าไปแล้ว คราวนี้ไม่มี หรืออาจจะเป็นเพราะเธออยู่ในนั้นนานหลายชั่วโมง คนในบ้านเลยไม่อยากอยู่กวนก็เป็นได้
“คุณปานคะ”
เข้ามาในครัวได้ ก็เห็นผู้จัดการนั่งขาไขว้กันเล่นมือถืออยู่อย่างสบายใจ คนอื่นๆ ก็นั่งกินอะไรอยู่บนโต๊ะ เดาว่าน่าจะเป็นเมนูเดียวกับเจ้านายแน่ๆ เพราะนิ่มกำลังง่วนอยู่หน้าเตา
“....”
“คุณท่านให้มาบอก ว่าช่วยจัดมื้อเย็นขึ้นไปออฟฟิศแทนค่ะ เพราะยังคุยกันไม่เสร็จ”
เรียกแล้วปานชีวันไม่ได้เอ่ยอะไร แค่เงยหน้าจากจอมาหาเท่านั้น รักศิกาญจน์เลยถ่ายทอดคำขอคุณท่านมาเกือบทั้งท่อน
“ปกติคุณท่านไม่เคยกินข้าวในออฟฟิศนี่ ต้องมีคนคอยเสนอนั่นนี่แน่ๆ”
ปานชีวันเอ่ยลอยๆ ราวกับไม่ได้คุยกับใครด้วยซ้ำ
“ใช่ เพราะคุณท่านไม่อยากให้กลิ่นติดห้อง ไม่รู้ว่าความคิดใครกันแน่นะ” นิ่มหันมาพูดลอยๆ อีกคน
“จัดโต๊ะไว้เกือบเสร็จแล้วด้วย เหลือแค่ลงอาหาร ก็ต้องย้ายอีก เปลืองพลังงานคนในบ้านเปล่าๆ” ปานชีวันพูดลอยๆ อีก
“สรุปคือจะไม่ย้ายใช่มั้ยคะ น้องรักจะได้ไปเรียนคุณท่านแบบนี้ ทุกคำ”
เรื่องจัดการคนในบ้านมันง่ายนิดเดียวถ้าจะทำ เพราะอาการปั้นปึ่งใส่เธอ มีตั้งแต่คุณท่านเริ่มให้เข้ามาตรวจเช็กทุกอย่างในบ้านอย่างละเอียดแล้ว แต่ไม่อยากใส่ใจ
“ฉันให้น้องรักมาทำงานเป็นเลขาส่วนตัว ดูแลและเป็นหูเป็นตาแทนฉันทุกเรื่อง ประสานงานกับบริษัทและมูลนิธิก็ใช่ แล้วยังทำโปรเจ็กต์ SR ด้วย มันเป็นงานที่หนักและจุกจิกมาก ดังนั้น ถ้าน้องรักบอกให้ใครช่วยทำอะไร ฉันอยากให้ทุกคนคิดว่าฉันสั่งด้วยตัวเอง ขอให้รีบให้ความร่วมมือ ทุกคนเข้าใจมั้ย”
และตัวผู้จัดการบ้านก็เริ่มแสดงท่าทีปั้นปึ่งหนักข้อขึ้น นับตั้งแต่คุณท่านเรียกประชุมเดือนก่อน หลังจากเธอรายงานเรื่องคนในบ้านใช้ของอย่างฟุ่มเฟือยไป
มันเป็นอะไรที่รู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะต้องเกิด แม่เตือนตั้งแต่ตัดสินใจจะมาช่วยงานคุณท่านแล้ว ก็แม่อยู่บ้านนี้มาก่อน ย่อมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ใครเป็นยังไง ส่วนเธอนั้นอยู่ถึงอายุสิบขวบ
พอคุณท่านหย่า ไม่กี่วันก็พาสามีใหม่เข้าบ้าน เป็นเหตุให้ลูกชายหาเรื่องทะเลาะกับแม่ แล้วหนีไปเรียนต่อที่อเมริกาและไม่กลับเข้ามาอยู่บ้านอีกเลยกระทั่งตอนนี้
ส่วนแม่ก็พาเธอขอย้ายออกไปอยู่ข้างนอกหลังจากนั้นไม่กี่วัน ตอนอยู่เธอก็ไม่ค่อยได้คลุกคลีกับคนในบ้านมากนัก เพราะไปโรงเรียนตั้งแต่เช้า ตอนเย็นกลับมาก็จะทำการบ้านอยู่ในห้อง
ซึ่งอยู่ห่างจากห้องคุณท่านไม่มาก เลยไม่ค่อยได้สุงสิงกับใครนัก บางทีคุณท่านก็จะเรียกไปช่วยทำนั่นนี่เล็กๆ น้อยๆ เช่นขัดเครื่องเพชร จัดเสื้อผ้าไว้ไปงาน
“เอ้าพวกเรา เลขาคนโปรดสั่งยังไง ก็ทำตามนั้นแล้วกัน ขืนไม่ทำ เดี๋ยวได้ถูกไล่ออกพอดี งานยิ่งหายากๆ อยู่” ปานชีวันหันไปหาทุกคนในครัว
“ก็ต้องอย่างนั้นล่ะคุณปาน ทำไงได้ เป็นขี้ข้าเขานี่ เจ้านายจะสั่งให้ทำอะไรก็ต้องไม่ขัด ว่าแต่เจ้านายสั่งจริงหรือเปล่าล่ะ ไม่ใช่มีคนสาระแนจัดแจงเองหรอกนะ”
นิ่มต่อคำ ขณะคนแกงในหม้อไปด้วย
“จริงไม่จริง ก็อย่าไปตั้งป้อมเลยนะนิ่ม คนกำลังขึ้นหม้อ เกิดคาบไปฟ้องคุณท่านขึ้นมา คุณท่านก็ไม่เอาไว้หรอกนะ ถึงจะทำงานมานานตั้งแต่รุ่นไหนๆ ก็ช่าง ไปๆ แยกย้ายทำงาน”
ปานชีวันกำลังจะเดินออกจากครัว แต่รักศิกาญจน์ขวางไว้
“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณปาน เราต้องทำความเข้าใจกันหน่อยค่ะ” แล้วส่งเสียงนุ่มๆ แต่หน้านั้นเรียบตึง บ่งบอกให้รู้ว่า
ฉันไม่ยอม
“มีอะไร”
“คุณปานทำงานกับคุณท่านมานาน ไม่ทราบจริงๆ เหรอคะ ว่าถ้าคุณท่านทำงานติดพันแล้วไม่อยากลุกไปไหน เรื่องที่ไลน์มาแล้วไม่ตอบ กับเรื่องที่ไม่มีใครคอยรอรับใช้อยู่หน้าห้องนี่ น้องรักยังไม่ได้บอกคุณท่านด้วยซ้ำนะคะ
“เหรอ”
“ใช่ค่ะ ที่เดินออกมาตามถึงครัว น้องรักก็แกล้งบอกว่าจะมาเอาของในรถ ทั้งๆ ที่น้องรักยังคุยงานอยู่ และไม่ควรหนีออกมาด้วย กลับเข้าไปก็จะต้องถูกคุณท่านเอ็ด แต่น้องรักก็ทำ เพื่อให้ทุกอย่างราบรื่น ถ้าขืนคุณปานยังเป็นแกนนำคนในบ้านต่อต้านน้องรักอยู่อย่างนี้ เรื่องไม่ดี เรื่องไม่ควรที่น้องรักรู้และเห็นกับตัว คงจะต้องเรียนให้คุณท่านทราบจริงๆ และหมดเปลือกแล้วล่ะ”
“เรื่องอะไรที่ว่าไม่ดี”
“ก็ไปคิดเอาเองสิคะ แล้วน้องรักจะบอกให้รู้นะคะ ว่าที่คุณท่านคาดคั้นจากน้องรักได้น่ะ แค่ครึ่งเดียวหรืออาจจะแค่เสี้ยวเดียวเองนะคะ”
“เรื่องขี้ฟ้องถนัดนี่ ขนาดคุณปั่นยังตั้งฉายาให้เลย”
“จะคิดยังไงก็ช่างค่ะ ถ้าไม่อยากให้มีปัญหา ก็ช่วยทำตามที่น้องรักบอกด้วยแล้วกันค่ะ ไม่งั้นถึงคุณท่านแน่ เข้าใจตรงกันนะคะ”
ยิ้มเย็นๆ ให้แล้วก็เดินออกจากครัวไปทันที เมื่ออดทนใช้ไม้อ่อนมานานแต่ไม่ชอบกัน ก็ต้องโต้ตอบด้วยอะไรแข็งๆ บ้างล่ะ กลัวอะไร อย่างมากก็หางานใหม่เท่านั้น
“จะไปไหนยัยแคระ”
แต่เดินมาได้ไม่กี่ก้าว ก็ต้องหันไปหาเจ้าของเสียงเข้มๆ ที่ยืนกอดอกมองมาหน้านิ่งๆ ทั้งที่กำลังอารมณ์ขุ่นมัวอยู่ แต่ก็จำต้องไหว้ แล้วเอ่ย
“ไปทำงานต่อค่ะ”
“คุณแม่ล่ะ”
“อยู่ออฟฟิศค่ะ คุณปั่นจะไปหามั้ยคะ”
“แหงสิ ก็ฉันมาหาคุณแม่นี่ แล้วเธอคิดว่าฉันจะมาหาใครล่ะ”
“ก็คุณท่านไงคะ เชิญค่ะ”
มือบางผายออกไป แล้วเดินหนีทันที เพราะเมื่อกี้อุตส่าห์ถามดีๆ ดันถูกตอกกลับมาแบบกวนๆ
ยิ่งกำลังอารมณ์บูดๆ อยู่นะ มันน่าจัดอีกสักคนมั้ย อีคุมปั่นนี่
“ฉันเห็นรถนายนิคจอดอยู่ แล้วตอนนี้อยู่ไหนล่ะ” ขณะเดินไปด้วยกัน อาชาก็ไม่วายส่งเสียงห้วนๆ ไปหา
“ออฟฟิศค่ะ”
“ทำอะไรอยู่”
“กำลังคุยกันเรื่อง SR ค่ะ”
จะคุยอะไรกันอีกนักหนา เขาจำได้ว่าครั้งก่อนก็คุยจนดึกดื่น ได้ข้อสรุปไปแล้วนี่นา สงสัยจะหาทางซื้อเวลาเพื่อหาทางยัยแคระน่ะสิคุณแม่