บทที่ 8 งานใหม่
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยฉัน”
เสียงหวานของน้ำค้างกล่าวขอบคุณสาลี่ พร้อมกับรับชาร้อน
มาดื่ม
“ ไม่เป็นไรหรอก แต่มาที่นี่อยากได้งานจริง ๆ ใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
เรียวปากเล็กตอบ พลางพยักหน้าเบา ๆ
“ไหนขอดูเรซูเม่หน่อยสิ”
สาลี่ถาม เพราะว่าตอนนี้ยังหาคนที่จะมาเป็นเลขาแทนเธอไม่ได้มันทำให้เธอหัวเสียแต่เช้า
“นี่ค่ะ”
น้ำค้างยื่นเอกสารด้านข้างส่งให้ แล้วนั่งจิบชาต่อไป ทางด้านสาลี่รับเอกสารในมือเล็ก จากนั้นกวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถามน้ำค้างว่า
“ยังเรียนไม่จบใช่ไหม”
“ค่ะ ดรอปเรียนไว้ 1 ปี”
“ทำไมถึงลาออกจากงานเก่าล่ะ”
“ฉันจะพูดตามความจริงนะคะ คุณยายของฉันป่วยต้องใช้เงินเยอะค่ะ อีกอย่างตอนนี้ฉันพลาดท้องโดยไม่ได้ตั้งใจ มีปัญหาเรื่องสุขภาพ งานเก่าจึงไม่สามารถทำได้เป็นระยะเวลานาน ๆ ค่ะ”
“ประสบการณ์เกี่ยวกับงานนี้ก็ไม่มีนี่”
“ค่ะ ไม่มีค่ะ เท่าที่ฉันลองยื่นสมัครได้ยินมาว่ายินดีรับคนไม่มีประสบการณ์และไม่จำกัดวุฒิการศึกษานะคะ”
“ก็จริง ทำไมถึงออกมาทำงานเอง แล้วแฟนไปไหน ทำไมถึงปล่อยให้เธอออกมาหางานทำทั้ง ๆ ที่ยังท้อง”
คนตัวเล็กเม้มเรียวปากเข้าหากันแน่น แม้ว่ามันจะน่าอายแค่ไหนเธอก็เลือกที่จะพูดความจริง
“เพราะฉันทำงานที่บาร์ แล้วพลาดเดินเข้าห้องผิดโดยไม่ได้ตั้งใจค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นไม่รู้ว่าพ่อเด็กเป็นใครอย่างนั้นเหรอ”
สาลี่เลิกคิ้วถามน้ำค้าง แสดงว่าตอนนี้หญิงสาวตรงหน้าได้กลายเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ในใจกลับนึกสงสาร แต่งานที่บริษัทนั้นไม่สามารถรับคนส่งเดชได้ เพราะไม่ใช่บริษัทการกุศล
“ค่ะ”
เสียงหวานตอบเสียงแผ่ว
“ฉันสงสารอยากให้เธอมาทำงานนะ แต่บอกฉันหน่อยสิ ว่าเธอมีข้อดีอะไร ทำไมฉันต้องรับเข้าทำงาน”
“ค่ะ หากฉันได้ทำงานที่นี่ แน่นอนอย่างแรกที่ต้องมีคือความรับผิดชอบ ฉันเป็นคนหัวไว และมีความอดทนสูงค่ะ ไม่ว่างานจะหนักแค่ไหน ฉันมั่นใจว่าฉันทำได้ ถึงตอนนี้ฉันจะท้องอยู่ แต่จะไม่ให้มีผลกระทบต่อการทำงานแน่นอนค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นลองมาเป็นผู้ช่วยสักเดือนสิ ถ้าผ่านฉันจะให้เธอบรรจุเป็นพนักงานประจำ”
“จริงเหรอคะ”
“ลองไหมล่ะ เรื่องเงินเดือนฉันให้ครึ่งหนึ่งของเงินเดือนของฉันก่อน หากเธอทำงานได้ตามที่ฉันต้องการ อาจจะปรับให้เท่ากับฉันก็ได้”
“ตกลงค่ะ”
“พร้อมทำงานวันไหนล่ะ พรุ่งนี้ได้ไหม”
“ได้ค่ะ”
เรียวปากสีหวานคลี่ยิ้มกว้าง โค้งศีรษะเพื่อขอบคุณสาลี่ยกใหญ่ แม้ว่าชีวิตจะเจอแต่โชคร้าย แต่การที่ได้งานใหม่ สำหรับน้ำค้างแล้วนับว่าเป็นโชคดีอย่างหนึ่ง อย่างน้อยฟ้าก็ไม่ตาบอดให้หญิงสาวโชคร้ายไปตลอด
“ถ้าอย่างนั้นกลับบ้านไปพักผ่อนได้แล้ว เจอกันพรุ่งนี้”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
น้ำค้างเอ่ยคำขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกไปขึ้นรถ เพื่อไปทำงานที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งต่อ เนื่องจากที่นี่เป็นที่เดียวยังไม่ได้ลาออก และคิดว่าจะทำวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว
อีกด้านของยี่หวา
ยี่หวาเดินสาวเท้ามาหยุดที่หน้าห้องของสาลี่ เลขาของบริษัทด้วยอาการที่ร้อนรนใจ เพราะกลัวว่าหมิงเผิงจะแอบมีคนในใจแล้วจริง ๆ
ทันทีที่มือเรียวของสาลี่กำลังจะเอื้อมไปเปิดประตูเข้าไปข้างใน ทว่าประตูกลับเปิดออกมาพอดี ใบหน้าเนียนของหญิงสาวตรงหน้ากลับดูคุ้นตาสำหรับยี่หวา ไม่นานภาพในหัวในโรงพยาบาลกลับผุดขึ้นมา ผู้หญิงตรงหน้าคือผู้หญิงที่ยืนเหม่ออยู่โรงพยาบาล ซึ่งเป็นสาเหตุให้เธอไม่ทันได้คุยกับหมิงเผิง
แม้ความหงุดหงิดจะแทรกเข้ามาอีกครั้ง แต่ยี่หว่าก็ไม่อยากจะหาเรื่องกับน้ำค้างที่อยู่ตรงหน้า เพราะตอนนี้เรื่องของหมิงเผิงสำคัญกว่า
“พี่สาลี่คะ ตอนบ่ายมีประชุม ทำไมประธานยังไม่มาอีก ตอนนี้ใกล้พักเที่ยงแล้ว หากไม่มาจะไม่ทันเอานะคะ”
ยี่หวาเลือกถามคำถามอื่นแทนคำถามส่วนตัว โดยเอาเรื่องการประชุมมาอ้างเพื่ออยากรู้คำตอบว่าหมิงเผิงอยู่ที่ไหนกันแน่
“เห็นบอกจะไปธุระน่ะ ก็อีกตั้ง 1 ชั่วโมงครึ่งไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวคงมาแหละ”
สาลี่ตอบไปที ความจริงเธอรู้ว่าหมิงเผิงไปที่ไหน แต่เรื่องส่วนตัวของเขา จะพูดมากไม่ได้ นอกจากเรื่องงานแล้ว เธอไม่สนใจอย่างอื่น
“อย่างนั้นเหรอคะ แล้วผู้หญิงคนเมื่อกี้ใครคะ มาทำอะไร”
“พนักงานใหม่น่ะ มาช่วยงานฉัน ชื่อน้ำค้างมั้ง”
“น้ำค้างเหรอคะ?”
เรียวปากเคลือบลิปสติกสีแดงสดเม้มเข้าหากันแน่น คนที่หมิงเผิงตามหาชื่อน้ำค้าง พนักงานใหม่ยังจะชื่อน้ำค้างอีก มันจะบังเอิญเกินไปหรือเปล่า
“ใช่ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็มาทำงานเป็นวันแรกแล้วแหละ”
สาลี่ตอบ มือพลางจัดเรียงเอกสาร ที่จะใช้ประชุมในตอนบ่าย และเตรียมหัวข้อสำหรับให้ประธานได้พูดชี้แจงในการประชุม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามยี่หวาว่า
“แล้วมีอะไรอีกไหม ทำไมถึงเข้ามา”
สาลี่ถามเสียงเรียบ เดิมทีเธอไม่ได้ชอบยี่หวาอยู่แล้ว เพราะเธอทำงานไม่รอบคอบสักเท่าไหร่ แต่ได้เป็นถึงผู้จัดการ เนื่องจากใช้เส้นสายในการไต่เต้า ไม่ใช่เพราะความสามารถของตัวเอง
“เอ่อ ตอนกลางวันไปทานข้าวด้วยกันไหมคะ”
“ไม่ล่ะ ฉันกินที่นี่แหละ ฉันต้องเตรียมเอกสารเยอะ”
สาลี่ปฏิเสธทันควัน เธอพูดตรงและเป็นความจริงทั้งหมด ทว่ามันทำให้ยี่หวาหน้าเจื่อนไปชั่วขณะ
“โอเคค่ะ สู้ ๆ นะคะ ถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อนนะคะ”
หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อน พร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง จากนั้นหมุนตัวกลับไปอีกทาง เพียงชั่วพริบตาใบหน้าสวยหวานที่ฉีกยิ้มกว้างกลับหุบยิ้มลงทันใด
“ฉันก็ไม่ได้อยากกินข้าวกับแกนักหรอก ฉันมาชวนเพราะอยากเข้าใกล้พี่หมิงเผิงเท่านั้นแหละ”
ยี่หวาพึมพำเบา ๆ ก่อนจะเดินสะบัดก้นออกไป ด้วยท่าทางที่หงุดหงิด
ส่วนสาลี่ก็รับรู้ได้ถึงการกระทำของยี่หวาได้แต่ส่ายหัวเบา ๆ ก่อนจะพูดออกมาว่า
“ฉันก็อยากจะดีกับเธอนะ แต่ท่าทางเธอนะ ไม่น่าดีด้วยสักเท่าไหร่”