ผู้ชายคนนี้ปากร้ายจริง
ขิมแขเหลือบตาลงสำรวจตัวเองอย่างรวดเร็ว เมื่อครู่เธอยืนแอ่นจริงหรือ พบว่าไม่จริงเสียหน่อย ก็นึกชังน้ำหน้าเขายิ่งนัก
และหากเธออยากจบ ก็ไม่ควรต่อปากต่อคำกับเขา
เพราะเธอผิดจริงที่ลุกล้ำเข้ามาในสถานที่ของเขา โดยไม่ได้รับอนุญาต
ขิมแขหมุนตัวจะจากไป ก็แว่วเสียงเขาดังมาอีก “ขอโทษสักคำไม่มีล่ะ ไร้มารยาททั้งแม่ทั้งลูก สงสัยจะเป็นกันทั้งตระกูล”
พื้นอารมณ์เดิมยังไม่นิ่ง พอถูกต่อว่าซ้ำก็ฉุนกึก ปรี้ดขึ้นในตอนนั้นเอง พร้อมอาการปวดหัวจี๊ด จู่ ๆ ขาของเธอก็อ่อนพับลง แล้วสติก็ดับวูบไป ราวกับใบไม้ร่วงหล่นลงจากกิ่ง นิรันดร์ยืนอยู่ไม่ไกล พอเห็นอย่างนั้นก็พุ่งตัว เข้ามารับโดยสัญชาตญาณ
“นี่ คุณ คุณ”
เขารับร่างของเธอเอาไว้ได้ทัน แล้วเขย่าด้วยเรี่ยวแรงระดับหนึ่ง เห็นว่าตัวอ่อนระทวย เลยช้อนขึ้นอุ้ม พาเข้าบ้านไปเสีย
เมื่อกี๊ยังทำท่าปากดีอยู่เลย ทำไมล้มง่ายนัก
หรือเป็นอีกลูกไม้ เอาไว้อ่อยผู้ชาย
พ่อม่ายหัวเราะหึเบา ๆ คิดอย่างหมิ่น ๆ เดี๋ยวจะดูว่าจับ ๆ แตะ ๆ แล้วจะฟื้นง่ายไหม
คิดอย่างนั้นแล้วก็ทำทีเป็นแตะเป็นตรวจไปทั่วเรือนร่างคร่าว ๆ ไล่จากศีรษะมาก่อน มือของเขาปาดขึ้นไปแถวไรผมข้างซ้าย แตะถูกรอยนูนใหญ่ใต้กลุ่มผม ข้างขมับ นิรันดร์ก็ให้ขมวดคิ้วหน่อยหนึ่ง เขม่นมองอย่างครุ่นคิด พบว่าแบบนี้เธอเป็นลมไปจริง ๆ ไม่ใช่แค่แกล้ง
นิ่งไปอึดใจเดียว จับร่างของขิมแขพลิกตะแคง ดึงชายเสื้อกำลังจะเปิดขึ้น ก็พอดีที่ปลายฝนเดินออกมาจากในห้องเสียก่อน เจ้าตัวเดินเร็ว ๆ เข้ามาหา พร้อมกับร้องถามบิดาไปพลาง
“ทำอะไรอยู่คะคุณพ่อ”
นิรันดร์เหลือบตามองบุตรสาว ขยับตัวบัง มือปัดชายเสื้อของขิมแขลงอย่างเดิม ยังไม่ทันได้ตอบอะไร ปลายฝนเดินเข้ามาจนใกล้ พอเห็นคนที่นอนบนโซฟาก็ถามด้วยสีหน้าฉงนเล็กน้อย
“คุณแม่ของภูนี่คะ คุณพ่อจะทำอะไรคุณแม่ภูหรือคะ”
จบคำถามบุตรสาว นิรันดร์ถึงกับสบถออกมาเบา ๆ คำหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ เขานี่หรือจะทำอะไรผู้หญิงคนนี้
“พ่อลงไปเดินเล่น เห็นเขายืนอยู่ที่สวนของบ้านเรา ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย ก็หมดสติเสียก่อน พ่อเลยพามาพักบนบ้านนี่ไงครับ”
ปลายฝนยกมือขึ้นลูบคางมนตนเองไปมา มองนิ่งที่พ่อตนเองสลับกับแม่ของภูผา ก่อนจะร้องออกมาเบา ๆ
“ตายแล้วคุณพ่อคะ คุณแม่ของภูหน้าซีดด้วยนะคะนั่น เดี๋ยวฝนโทรตามภูดีกว่าค่ะ”
นิรันดร์ฟังจบนึกเอะใจทันที อ้าปากจะถามว่าโทรตามมาทำไม ทำเหมือนกับยังติดต่อกันอยู่ตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่เขาสั่งห้ามไปแล้วนี่
แต่บุตรสาวตัวดีเดินหันหลังจากไปแล้ว ไม่ถึงห้านาที ปรากฏว่าภูผาปั่นจักรยานเข้ามาที่นี่อย่างว่องไว ก่อนจะโยนมันทิ้งวิ่งขึ้นมาบนบ้าน
ปลายฝนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ขยับลุกยืนบอกกับทางเด็กหนุ่ม
“คุณน้าเพิ่งฟื้นน่ะภู”
“คุณแม่เป็นยังไงบ้างครับ”
ภูผาเข้ามาดูอาการของมารดาด้วยสีหน้าเป็นกังวล พอดีกับที่ขิมแขเริ่มรู้สึกตัวแล้ว ก็ค่อยพยักหน้าเบา ๆ บอกว่าไม่เป็นอะไรมาก ออกแรงขยับตัวลุกขึ้นนั่งด้วยตนเอง
เจ้าถิ่นที่กอดอกมองดูอยู่ เอ่ยขึ้นด้วยวาจาวางอำนาจ ไม่เหมือนคนขันอาสาเลยสักนิดเดียว
“ฟื้นก็ดีแล้ว บ้านของพวกคุณอยู่ที่ไหน ผมจะไปส่ง”
“ไม่เป็นไร ฉันกับลูกกลับเองได้”
ขิมแขบอกจบ ลุกขึ้นยืนทันที แล้วก็เสียหลัก ดีที่นิรันดร์อยู่ใกล้ที่สุด เขาคว้าตัวเธอเอาไว้ทัน ส่ายหน้าอย่างเอือม อดบ่นไม่ได้
“ทำเป็นเก่ง ไปขึ้นรถ ผมจะไปส่ง”
ปลายฝนมองมาที่เธอแล้วลอบมองทางบิดาด้วยดวงตาเป็นประกาย คิดอะไรซุกซนในหัวครู่เดียว ปรี่เข้ามาประคองเสียเอง แล้วพากันลงไปยังรถที่จอดอยู่ด้านล่าง
นิรันดร์พาทั้งสองแม่ลูกขับไปส่งที่ Rehab and Nursing @ P.House ในเวลาต่อมา แล้วก็พบว่าห่างจากบ้านพักตากอากาศของเขาไม่ถึงสามกิโลเมตรดีด้วยซ้ำ
เป็นเขาที่ไม่รอบคอบเอง คราวที่ให้ลูกน้องหาข้อมูลก็ไม่ได้ดูด้วยว่าสองแม่ลูกนั่นพักอาศัยอยู่แถวไหน
โลกมันกลมขนาดนี้ได้อย่างไร
หากเขารู้ว่าคู่กรณีอยู่แถบนี้ ไม่มีทางเสียล่ะ ที่จะซื้อที่ผืนนี้ปลูกบ้านพักตากอากาศหลังงามให้ระคายใจ ยิ่งอยากอยู่ให้ไกล ๆ ที่ไหนได้ นี่ยิ่งใกล้ไปใหญ่ ใกล้เสียจนแทบหายใจรดต้นคอกันอยู่แล้ว
จอดรถได้ ก็พบร่างสูงเทียมกันกับเขาแต่ขาวกว่ามาก ยืนมองมาทางนี้ ภูผาเอื้อมมือไปจับจูงขิมแขลงรถ พร้อมทักทายชายที่ยืนมองด้วยน้ำเสียงกริ่งเกรงเล็กน้อย
“คุณพ่อ กลับมาเมื่อไรหรือครับ”
ชายที่ภูผาเรียกว่า ‘คุณพ่อ’ สำรวจนิรันดร์และปลายฝนอึดใจ ค่อยหันไปตอบคำถามของภูผาด้วยเสียงทุ้มนุ่มละมุนฟังดูสุภาพ
“พ่อเพิ่งมาถึงเมื่อครู่”
แล้วพินิจใบหน้าของขิมแข ก่อนจะตรงเข้าไปหาเธอ ถามด้วยสีหน้าแววตานิ่ง ๆ แบบที่คาดเดาอารมณ์ไม่ได้
“ออกไปไหนกันมาหรือ”
ภูผามองบิดาตัวเองที่มักกักตนกับมารดาให้อยู่แต่ในบริเวณบ้านเสมอ หากออกไปต้องรายงานให้คนสนิทของท่านทราบทุกครั้ง ก็รีบเข้ามายืนขนาบข้างขิมแข เอ่ยขึ้นคล้ายต้องการเบี่ยงเบนความสนใจ
“คุณแม่เป็นลมครับคุณพ่อ”
ได้ยินบุตรชายบอกแบบนั้น นายแพทย์พิริยะหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วขยับไปแตะหลังมือตัวเองที่หน้าผากและแก้มของขิมแขด้วยท่าทีคล้ายจะสุภาพ
นิรันดร์มองทั้งสองคนแล้ว ก็เมินไปทางอื่นด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูก มันขวางหูขวางตาชอบกล ขวางเสียจนไม่อยากเสียสายตามอง ในอกในใจของเขานี่ก็แปลก มันคันยิบ ๆ เหมือนถูกมดนับแสนนับล้านตัวกัดพร้อม ๆ กัน
ขิมแขยิ้มบาง ๆ ขยับตัวออกจากนายแพทย์พิริยะเล็กน้อย ตอบคำถามที่อีกฝ่ายถามก่อนหน้านี้ “พอดีออกไปวิ่งกับตาภูมา แล้วก็เลยวูบ หน้ามืดไปเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ”
ได้ยินขิมแขบอกว่าออกไปวิ่งมา และไม่ได้เป็นอะไรมาก นายแพทย์พิริยะจึงพยักหน้าเบา ๆ ทำนองว่าเข้าใจส่งให้ ก่อนเลื่อนสายตามองเลยไปทางนิรันดร์กับปลายฝนอีกครั้ง คล้ายต้องการให้คนของตนเองแนะนำว่าคนแปลกหน้าสองคนนี้ คือใคร
“เพื่อนของภูน่ะค่ะ เผอิญผ่านมาเจอพอดี เลยอาสามาส่งบ้าน”
นิรันดร์ชะงักเล็กน้อย มองมาทางเธอแล้วครุ่นคิดในใจว่าทำไมต้องโกหกว่าพวกเขาแค่ผ่านมาเจอเธอด้วย ก่อนถูกตัดความคิดด้วยเสียงสุภาพของนายแพทย์พิริยะ ทางนั้นยิ้มแล้วแนะนำตัวเองก่อน คล้ายอยากผูกมิตรกับเขา
“ผม นายแพทย์พิริยะครับ”
นิรันดร์ไม่ได้ยิ้มตอบ เพราะไม่ได้อยากผูกมิตรด้วยเท่าไรนัก แนะนำตัวเองตามมารยาทอย่างแกน ๆ
“นิรันดร์ อัศวหาญญ์วรกุล นี่ลูกสาวของผม ปลายฝน”
นายแพทย์พิริยะมองนิรันดร์อึ้งไปครู่ แล้วว่าขึ้นอย่างสุภาพ
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณนิรันดร์ อัศวหาญญ์วรกุล”
ภูผาและขิมแขขอพาปลายฝนไปเดินดูรอบ ๆ รีสอร์ต โดยทิ้งให้สองคุณพ่อได้สนทนากัน คล้อยหลังทั้งสามไปแล้ว นายแพทย์พิริยะถึงได้เอ่ยขึ้น
“เด็กสมัยนี้โตไวนะครับ ไม่เหมือนสมัยเรา พอโตไวขึ้นก็เริ่มเรียนรู้อะไร ๆ ไวขึ้น อย่างเรื่องเพศตรงข้ามนี่ยิ่งไวไปใหญ่ เราห้ามก็ยิ่งทำให้อยากขืน อยากฝืนออกจากกำแพงที่เราสร้างกักพวกเขาเอาไว้” นายแพทย์พิริยะกล่าวจบ หันมองนิรันดร์ แล้วก็ยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่เห็นแล้ว พ่อม่ายรู้สึกขวางหูขวางตาชอบกล
“แทนที่เราจะห้ามพวกเด็ก ๆ ผมว่าเราน่าจะให้แกได้รู้จักกัน ทำความสนิทสนมกัน แต่อยู่ภายใต้สายตาของพวกเรา พ่อแม่ไม่ดีกว่าหรือครับ หรือคุณนิรันดร์คิดเห็นอย่างไร แลกเปลี่ยนกันได้นะครับ ผมเคารพความคิดเห็นคนอื่นเสมอ”
ถุยเถอะ... นิรันดร์ผุดรอยยิ้มไม่สบอารมณ์ที่มุมปาก
กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา แววตาดำมืด ไม่หลงเหลือความเป็นมิตรอีกต่อไป “จำเป็นขนาดไหน ถึงต้องให้ลูกชายคุณมาทำความรู้จักกับลูกสาวของผม”
แล้วขยับตัวลุกขึ้นยืนทันที ไม่พอใจตั้งแต่อีกฝ่ายเกริ่นนำขึ้นมาแล้ว ใช่สิฝั่งของตนนั่นเป็นลูกชายนี่ มันจะไปทำความรู้จักกับใครที่ไหนไม่เสียหายเท่าลูกสาวของเขาหรอก
จังหวะนั้นเองที่ขิมแข ภูผาและปลายฝนเดินกลับมาที่โต๊ะพอดี
ขิมแขมองเห็นสีหน้าแววตาของชายทั้งคู่ก็รีบปรี่เข้าไปหา ยิ้มบาง ๆ เอ่ยขัด
“ปลายฝน หนูว่า หนูจะไปธุระกับคุณพ่อต่อใช่ไหมลูก”
“ใช่ค่ะคุณน้า ฝนลาเลยนะคะ สวัสดีค่ะ ไปนะภู บาย”
ปลายฝนดูอาการของบิดาออก รีบรับสมอ้างต่อจากขิมแขทันที ไหว้กราดไปทางนายแพทย์พิริยะด้วย แล้วเข้าไปจับแขนบิดา พาออกจากตรงนั้น กึ่ง ๆ ลากแขนบิดากลับรถที่จอดอยู่
ร่างสูงใหญ่เปี่ยมโทสะ หน้าตาแดงกล่ำเพราะโกรธสุดขีด ไม่มีทางที่เขาจะให้ลูกสาวไปทำความรู้จักกับผู้ชายคนอื่นซี้ซั้วไปทั่วแน่ ๆ ต่อให้พ่อมันเป็นหมอมาจากไหนก็ตามที ไม่มีทางโน้มน้าวความคิดของเขาได้ นิรันดร์ไม่มีทางยอมให้ลูกสาวของตัวเองเรียนรู้เพศตรงข้ามเด็ดขาด!