8

2416 คำ
          “เก็บของให้น้องทีกล้วย”           เข้าบ้านแล้วก็ได้ยินเสียงบิดาสั่งกับพี่เลี้ยงตนเองอย่างนั้น ปลายฝนหันขวับไปมองท่าน ถามรัวเร็วลิ้นแทบพันกัน “อ้าว อ้าว ไหนคุณพ่อบอกว่าจะอยู่ที่นี่สองอาทิตย์ยังไงล่ะคะ”           “ไม่อยู่!” นิรันดร์บอกเสียงขรึม “เราจะไม่มาที่นี่อีก พ่อจะขายมันทิ้ง”           “คุณพ่อ!” ปลายฝนเรียกบิดาด้วยน้ำเสียงตกใจ ไม่รู้ว่าเมื่อครู่คุยอะไรกับพ่อของภูผาจนอารมณ์ขึ้นได้ขนาดนี้ พ่อของภูก็เห็นยิ้มแย้มดีนี่นา           กล้วยยืนมองนายของตนอยู่ห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วง ขาสั่นกล้า ๆ กลัว ๆ ว่าเดี๋ยวพ่อลูกคู่นี้จะเปิดสนามรบกันอีกหรือไม่ วินาทีนั้นเองก็มีรถยนต์คันแปลกตาเลี้ยวเข้ามาจอดในบริเวณบ้านเสียก่อน นิรันดร์ขมวดคิ้วหน่อยหนึ่ง เดินเลยออกไปเมียงมองดู ว่าคนมาเยือนเป็นใคร           หวังว่าจะไม่ใช่คนจากบ้านหมอตี๋นั่นหรอกนะ           พอเห็นคนมาเยือนลงจากรถ แววตาของเขาพลันสงบนิ่งลง           หันไปสั่งกล้วยพี่เลี้ยงของบุตรสาว “กล้วยพาน้องเข้าห้องไปเก็บของไป” แล้วค่อยเลื่อนสายตาไปมองที่ปลายฝน “พ่อขอคุยกับลุงเดสักครู่ก่อน เราค่อยออกเดินทางกัน”           “ลูกไม่...” ปลายฝนอ้าปากแย้งไม่ทันจบดี คนเป็นพ่อก็ตัดบทขึ้น เพราะรู้ว่าแม่ตัวแสบของเขาจะต้องค้านหัวชนฝาแน่ ก็ในเมื่อไอ้เด็กเวรนั่น บ้านมันอยู่ใกล้แค่นี้ ลูกของเขายิ่งอยากอยู่นี่ประไร เกินงามจริง ๆ ตีได้จะตีให้ขาลายเลยคอยดู           “ลูกไม่กลับก็ได้ แต่เดี๋ยวพอเปิดเทอมใหม่ ลูกก็เตรียมย้ายเข้าโรงเรียนประจำเลยแล้วกัน พ่อจะติดต่อซิสเตอร์ปราณีที่โรงเรียนเก่าของแม่เราให้”           ปลายฝนยืนนิ่ง มองบิดาด้วยแววตาตัดพ้อ ยกขาจะกระทืบเท้าเพราะขัดใจ ก็ถูกคนเป็นพ่อชี้มือลงที่ของขาตนเองเสียก่อน           “ถ้าลูกกระทืบเท้า พ่อจะเปลี่ยนพี่เลี้ยงคนใหม่ให้ลูก บางทีอาจารย์ฝ่ายปกครองเก่าที่เคยกรอกใบสมัครทิ้งเอาไว้คราวก่อน น่าจะเหมาะเป็นพี่เลี้ยงของลูกพ่อมากกว่าพี่กล้วย ลูกว่าไหม”           ได้ยินมาตรการดัดหลังของบิดา ปลายฝนได้แต่ฮึ่ม ๆ ในคอ วางเท้าลงพื้นไม่กล้ากระทืบเท้าระบายอารมณ์ แล้วเดินกลับเข้าห้องของตัวเองทันที ปล่อยให้บิดาลงไปต้อนรับผู้มาเยือนที่ว่านั้น ‘เดชาพล’ เป็นรุ่นพี่ที่ตอนนี้กำลังลุ้นตำแหน่งใหญ่ในกรมตำรวจอยู่ ทางนั้นแวะมาหาเพราะรู้ว่านิรันดร์ซื้อที่ สร้างบ้านพักตากอากาศเอาไว้ และก็กำลังอยู่ในช่วงพักร้อน ไม่รู้ว่าทราบได้อย่างไรว่าเขาอยู่ที่นี่ คนคนนี้หูผีจมูกมดจริง ๆ พอลงไปถึงที่รถแล้วก็ออกปากทักทายรุ่นพี่ขึ้นก่อนตามมารยาท           “สวัสดีครับท่านรองเด ลมอะไรหอบพี่มาที่นี่ได้ล่ะครับ”           “ไงรันดร์ คิดจะย้ายบ้านมาแถวนี้ ไม่บอกไม่กล่าวกันเลยนะ”           เดชาพลทักทายกลับ เดินเข้าไปสวมกอดตามประสาคนสนิทสนมกัน แล้วชักชวนให้เข้าบ้าน สอบถามสารทุกข์สุกดิบเพื่อนรุ่นน้องที่ลาออกจากราชการไปกว่าสิบห้าปีพอเป็นพิธีแล้ว ก็ค่อยเข้าเรื่องกันหลังจากนั้น อันที่จริงเดชาพลมีข่าวแจ้งให้รุ่นน้องรับทราบ ทั้งคู่คุยกันหน้าตาเคร่งเครียดอยู่นานร่วมชั่วโมง ก็ค่อยนัดแนะกันอีกในวันถัดไปจากนั้น           ปลายฝนเดินเข้าห้องของตัวเองด้วยอาการหงุดหงิด ไม่พอใจ           หยิบโทรศัพท์สำรองขึ้นส่งข้อความหาภูผา บอกเขาว่าตนถูกบิดาบังคับอีกแล้ว และกำลังเก็บของจะกลับบ้าน พอดีกับที่กล้วยเอาน้ำมาให้นายน้อยตนเอง ยืนเคาะประตูเรียก จึงรีบเก็บเครื่องมือสื่อสารซุกซ่อนไว้ที่ใต้หมอน ออดอ้อน ฟ้องกับทางนั้นต่อ อย่างต้องการหาพวกพ้อง           “พี่กล้วยดูคุณพ่อสิ เผด็จการที่สุดเลย เดี๋ยวก็บังคับให้ฝนมาพออารมณ์ไม่ดีก็บังคับให้ฝนกลับ อะไรก็ไม่รู้ ฝนเบื่อที่สุดเลยค่ะ”           “โถ ทูนหัวของพี่กล้วย ไม่เบื่อคุณพ่อนะคะ มาค่ะ ให้พี่กล้วยช่วยเก็บของดีกว่า คุณพ่ออาจมีงานด่วนก็ได้ค่ะ เลยให้กลับกันวันนี้”           “คุณพ่อจะมีงานอะไรด่วนคะ”           เด็กสาวบ่นแล้วก็นั่งหน้าตูมอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้กล้วยลงมือเก็บข้าวของของตนเองต่อไป กล้วยเลยชวนนายน้อยของตนคุยไปพลางจัดของไปพลาง ไม่นานก็เรียบร้อย กล้วยแวบไปดู เห็นว่าแขกของนิรันดร์ลากลับแล้ว เลยพากันลากกระเป๋าออกมาจากในห้อง ปลายฝนเดินหน้ามุ่ยตรงมาถึงที่พ่อยืนรอ ก็ได้ยินเสียงท่านบอกขึ้น           “เอาของไปเก็บก่อน”           เด็กสาวนิ่งไป เงยหน้ามองที่พ่อ ถามกลับอย่างงง ๆ “อะไรนะคะ”           “เราจะยังไม่กลับตอนนี้”           นิรันดร์บอกด้วยสีหน้าที่ดูไม่สบอารมณ์นัก แล้วเลี่ยงไปรินเครื่องดื่มที่มินิบาร์ใกล้ ๆ ปลายฝนเหลือบตามองพี่เลี้ยง ส่งสัญญาณถามทางนั้นทำนองว่า คุณพ่อเป็นอะไร ร้องออกมาเบา ๆ คำหนึ่ง            “อ้าว”           เขาเห็น เขาได้ยินทั้งหมดนั่น ส่งคำถามผ่านขอบแก้วในมือ “หรือลูกจะกลับ”           “ไม่ค่ะ ลูกยังไม่กลับ”           ปลายฝนยิ้มจนตาหยี ดีใจจนลืมไปว่าก่อนหน้านี้งอนกับพ่ออยู่ พุ่งตัวเข้ามากอดเอวท่านแน่น ๆ ทีหนึ่งพร้อมกับบอก “รักคุณพ่อที่สุดของที่สุดที่สุดในโลกเลยค่ะ ถึงคุณพ่อจะขี้เหวี่ยงขี้วีน โมโหแบบไม่มีเหตุผลก็เหอะ”           นิรันดร์ขมวดคิ้วนิดเดียว แล้วก็ยิ้มปนขันออกมา จะแกล้งบ่นลูกคืนเสียหน่อยที่มาว่าเขาแบบนั้น แต่แม่ตัวดีรีบคลายแขนที่กอด แล้วดิ่งไปลากกระเป๋าตรงไปยังห้องนอน นิรันดร์มองแล้วก็ถึงนึกได้ บอกตามหลังลูกไป           “พร้อมจะไปเที่ยวแถวนี้กับพ่อหรือยัง”           “พร้อมค่ะ” ปลายฝนตอบรับบิดาแล้ว วิ่งกลับห้อง กดล็อคประตูเสร็จสรรพ ล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความส่งหาภูผา บอกว่าบิดาของตนเปลี่ยนใจ ยังไม่กลับตอนนี้ จะเป็นด้วยสาเหตุอะไร เธอก็สุดจะรู้ได้ รู้แต่ว่าดีทั้งนั้นที่จะได้มีเวลาอยู่ใกล้กันกับภูผาให้นานกว่านี้อีกหน่อย   “พ่อไม่ว่า หากภูจะคบหาเพื่อนผู้หญิงบ้าง แต่อย่าให้มีผลกับเรื่องการเรียนเด็ดขาด”           ภูผาหลบตาบิดา มองจ้องที่พื้นนิ่ง เมื่อรับประทานอาหารเย็นด้วยกันเรียบร้อยแล้ว และย้ายมานั่งคุยกันต่อในห้องนั่งเล่นของบ้าน ที่นานทีจะอยู่พร้อมหน้าสามคน พ่อ แม่ ลูก ตอบรับสั้น ๆ กลับไป “ครับ คุณพ่อ”           “อย่าทำตัวให้เป็นปัญหาแบบลูกชายอากำธร พ่อไม่ชอบ ภูน่าจะจำได้นะ”           เด็กหนุ่มพยักหน้าเบา ๆ เป็นคำตอบ คนเป็นพ่อจึงตบบ่าบอก “รับปากพ่อแล้วก็อย่าให้ผิดคำพูด”           นายแพทย์พิริยะสอบถามภูผาเรื่องแข่งขันวิชาการที่กำลังจะไปแข่ง คุยกันเรื่องแนวทางข้อสอบ และย้ำเรื่องหนังสืออ่านนอกเวลาที่ต้องอ่านเพิ่มเติม ก่อนตบท้ายด้วยเรื่องของเด็กสาวคนนั้นอีกครู่ใหญ่ ถึงได้ออกปากให้บุตรชายกลับห้อง อ่านหนังสือต่ออีกหน่อย รอจนภูผาลุกขึ้นไปแล้ว ขิมแขค่อยชวนคุยต่อจากนั้น     “ไม่เห็นคุณโทรมาบอกก่อนเลยนะคะว่าจะกลับวันนี้”           “ปกติ...ไม่เห็นคุณถามแบบนี้เลยนี่ มีอะไรที่ผมต้องรู้ แต่คุณยังไม่รายงานผมหรือเปล่าขิมแข”           ผู้เป็นสามีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ย้อนกลับคำถามของเธอ ตาจ้องมาราวกับจะจับพิรุธ ขิมแขกลั้นลมหายใจตัวเองโดยไม่รู้ตัว ละสายตาที่มองเขา เมินไปทางอื่นแทน หัวใจเต้นเร็วกว่าเดิม ปลายมือเย็น ฝ่ามือเริ่มชื้นเหงื่อ นายแพทย์พิริยะมองอากัปกิริยาของเธออยู่ตลอดเห็นแบบนั้น ก็ค่อยผุดรอยยิ้มจาง ๆ ตรงมุมปาก ทว่าไม่ใช่รอยยิ้มอย่างคนใจดีนัก ลุกขึ้นเดินเข้ามาโอบไหล่บอบบางของเธอเบาๆ บอกด้วยถ้อยคำราวกับเป็นห่วงเป็นใยอีกฝ่ายเสียเต็มประดา แต่แท้ที่จริงแล้ว ใครเล่าจะรู้ถึงเหตุผลที่มีอยู่ในใจลึก ๆ ของนายแพทย์พิริยะ           “เป็นอะไรไปขิม ทำไมต้องทำท่ากลัวผมขนาดนั้นด้วย ที่ผมถาม ก็เพราะไม่อยากให้คุณกับตาภูออกไปไหนมาไหนกันตามลำพังสองคน อย่างน้อยจะไปก็ควรบอกใครบ้าง แล้วดูซิ นี่ไปเป็นลมเป็นแล้งกลับมาอีก นี่ผมเป็นห่วงคุณนะ...รู้ไหม” พิริยะยกมืออีกข้างดันศีรษะของเธอเข้ามาซบที่อกเขา ขิมแขกลั้นลมหายใจ ยอมตามแรงของเขาไป หูได้ยินเขาบอกอีกประโยค “เหนื่อยไหม ต้องดูแลภูผาด้วย ดูแลงานใน P.House ด้วย ผมก็ไม่ค่อยได้อยู่ ต้องไป ๆ มา ๆ แบบนี้ตลอด ยังไงก็ต้องขอบคุณคุณมากเลยนะขิมแข”           ขืนยิ้มบาง ๆ ให้นายแพทย์พิริยะ แล้วดึงตัวออกจากอ้อมกอดของเขาเบา ๆ แต่แรงจากอีกฝ่ายแข็งขึงไม่ยอมให้ผละจากง่าย ๆ จึงเอ่ยตอบกลับเขา           “ไม่เหนื่อยเท่าไรหรอกค่ะ ขิมก็ทำแบบนี้มาตลอด” ตั้งแต่เริ่มฟื้นตัวจากป่วยหนักด้วยไข้เลือดออกครานั้น จะว่าไป ต้องขอบคุณภูผาและงานในคลินิกต่างหาก ที่ทำให้เธอไม่รู้สึกอ้างว้าง ว้าเหว่อย่างที่เป็นเมื่อตอนหายป่วยใหม่ แล้วถามนายแพทย์พิริยะกลับ           “คราวนี้คุณอยู่นานไหมคะ”           เพราะนายแพทย์พิริยะต้องปฏิบัติงานหน้าที่หลักที่โรงพยาบาลในกรุงเทพ โดยมีสถานพักฟื้นผู้ป่วยแห่งนี้เป็นกิจการรองจากตรงส่วนนั้น ภารกิจรัดตัวขนาดนี้ น้อยครั้งนักที่นายแพทย์พิริยะจะกลับมา หากมาก็มาประเดี๋ยวประด๋าว ห้าหกชั่วโมง หรือบางทีก็สิบกว่าชั่วโมงเท่านั้น ไม่เคยต้องค้างข้ามคืนข้ามวันเลยสักครั้งเดียว           “เสร็จธุระ ผมก็กลับ”           ธุระของเขา คงเป็นในส่วนของตัวอาคารด้านหลัง แล้วลองคุยกับเขาดู เรื่องของบุตรชาย “คุณไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกเลย ขิมว่าบางที บางเรื่องแกก็ต้องการคุณนะคะ”           พิริยะยิ้มแปลก ถามเธอกลับ “แล้วคุณล่ะ ไม่ต้องการผมบ้างหรือ”           ขิมแขนิ่งไป เพราะไม่รู้จะตอบคำตอบแบบไหนกลับไปดี           เพราะถ้าให้ตอบกันตามความจริงแล้วก็ไม่เลย เธอคิดถึงเขาน้อยครั้งมาก ออกจะโล่งใจด้วยซ้ำที่เขาไม่อยู่ที่นี่ นายแพทย์พิริยะขยับตัวเบียดเธอมากกว่าเดิม ใบหน้าเขาเคลื่อนลงใกล้จนเธอเริ่มอึดอัด เบี่ยงหน้าหลบ แล้วถึงได้รู้สึกว่ามือของทางนั้นรั้งต้นคอเธอเอาไว้ ปลายนิ้วของเขาออกแรงกดที่ผิวของเธอ มันแรงมาก แรงจนเธอขมวดคิ้วแน่น มองเขากลับด้วยสายตางุนงงไม่เข้าใจ ว่าทำไมเขาจะต้องทำแบบนี้กับเธอ วินาทีนั้นเธอเห็นแววตาของนายแพทย์พิริยะวาบขึ้นราวกับโกรธใครมาสักร้อยชาติพันชาติอย่างไรอย่างนั้น ก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว หลายครั้งแล้วที่เขาใช้สายตาแบบนั้นมองเธอ รวมถึงการพลั้งมือ หนักมือ ออกแรงคล้ายเมื่อครู่นี้ด้วย เป็นจังหวะเดียวกันกับที่มีเสียงระเบิดตูมทางหม้อแปลงของรีสอร์ต พร้อมกับไฟที่ดับพรึ่บลงมา ขิมแขนิ่งในทันที เพราะไฟทั่วบริเวณดับพร้อมกันหมด แว่วเสียงสบถจากนายแพทย์พิริยะ ก่อนที่เขาจะปล่อยมือจากต้นคอของเธอ เอ่ยถามน้ำเสียงโทนเดิม ติดจะหงุดหงิดอยู่เล็กน้อย “ไฟดับบ่อยไหมขิม” “ไม่ค่อยบ่อยหรอกค่ะ นี่เพิ่งเห็นดับวันนี้เองตั้งแต่ต้นปีมา” พลันนั้นเองที่มีเสียงเรียกจากหน้าบ้าน เป็นชาติชาย บุตรของนายขาว นัยว่านายขาวเป็นคนเก่าคนแก่ที่คอยรับใช้ดูแลนายแพทย์พิริยะที่นี่ ส่วนชาติชายคือคนสนิทของนายแพทย์พิริยะ อีกทั้งยังคอยขับรถให้นายแพทย์พิริยะอีกด้วย “มีไฟฉายติดมือมาไหมชาติ” “มีครับคุณหมอ” “ดี” นายแพทย์พิริยะเอ่ยชมคำเดียวด้วยน้ำเสียงพอใจ ก็ออกไปหาคนสนิทของตน โดยทิ้งให้เธอนั่งจมอยู่ในความมืดอยู่คนเดียว โดยไม่พูดอะไรกับเธออีกเลย ไม่เคยมีการแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยอย่างจริงใจจริงจัง แม้ปากจะพูดว่าห่วง แต่เธอรู้สึกว่านายแพทย์พิริยะต้องการคุมเธอกับภูผาให้อยู่ในอาณาบริเวณของตัวเองเพียงเท่านั้น ไม่มีคำพูดปลอบประโลมที่ฟังแล้วสบายใจหรืออบอุ่น บางทีก็ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง เมื่อต้องเจอการแสดงออกของสามีแบบนี้ซ้ำ ๆ แต่ขิมแขก็ไม่เคยปริปากบ่น เรียกร้องใด ๆ จากเขา           และทันทีที่นายแพทย์พิริยะจากไป บรรยากาศอึดอัดเหล่านั้นก็ค่อยคลายตัวลง ขิมแขถอนใจยาวด้วยความโล่งอก มือควานเอาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมาเปิดโหมดไฟฉาย แล้วตรงไปหาภูผาที่ห้อง เมื่อต้องใกล้ชิดกับชายผู้เป็นสามีเธอจะอึดอัดทุกทีไป ขิมแขไม่รู้สึกผูกพันกับเขาสักนิด ทั้ง ๆ ที่เธอได้ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของเขา           ปัดความคิดพวกนั้นทิ้ง เมื่อเดินมาหยุดตรงหน้าห้องของภูผา พอดีกับที่ไฟสว่างขึ้น เคาะประตู เรียกคนในนั้น แล้วเปิดเข้าไปดู คุยด้วยครู่เดียว เตือนให้พักผ่อน ดีกว่าคร่ำเคร่งกับตำราจนมากเกิน ค่อยกลับห้องพัก ปิดขังตัวเองเอาไว้ในนั้น ผ่านไปอีกวันด้วยความรู้สึกคล้ายกับกำลังตามหาอะไรสักอย่าง เหมือนสิ่งนั้นเคยมี แล้วก็หายออกไปจากชีวิตของเธอ ที่บอกไม่ได้ว่าคืออะไร สิ่งใด หรือใคร...           
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม