ตอนที่ 1.1 โชคชะตาเล่นตลก

4385 คำ
รถเก๋งสีดำเลี้ยวเข้าจอดในซองอย่างพอดิบพอดี หลังไต่ระดับทางลาดขึ้นมายังลานจอดรถชั้นที่สามของห้างสรรพสินค้า ด้วยสไตล์การขับรถสุดห้าวและการเบรกจอดกะทันหันนี้ เล่นเอาคนนั่งมาด้วยถึงกับพุ่งถลา กายบางกระแทกใส่คอนโซลหน้าเข้าอย่างจัง “เคยมีคนบอกคุณไหม ว่าคุณขับรถได้แย่มาก” หมอหนุ่มแดกดัน เอามือคลำหน้าผากป้อยๆ พร้อมกับตวัดสายตาพร่าเบลอมองเจ้าของรถ ชายหนุ่มร่างสูง หน้าตาคมคายปรายสายตามองอีกฝ่าย เห็นหน้าผากขาวขึ้นสีแดงเรื่อเป็นรอยป้าน ก็เกิดความรู้สึกพึงพอใจอยู่ไม่น้อย สาเหตุของการขับรถแย่ดังที่หมอหนุ่มบริภาษนั้น มันเป็นเพราะเขาอยากแกล้งคนพูดมากกว่า เพราะตั้งแต่ขับรถจนมาถึงที่นี่ ไอ้หมอหน้าละอ่อนคนนี้ยังไม่หยุดขยับปากเลยสักวินาที รู้ไหมว่าเขารำคาญจนแทบอยากโยนร่างคนพูดมากลงกลางทางเสียให้รู้แล้วรู้รอด ส่วนไอ้รอยแดงนี่ ถือว่าเป็นค่าชดใช้ที่ทำเขาหนวกหู ปวดสมองก็แล้วกัน “หมาตัดหน้า ไม่เห็นเหรอ?” เขาเอ่ยเสียงเรียบ ส่วนคนฟังยังคงคลำหน้าผากไม่ยอมหยุด พร้อมกับกวาดสายตามองหาสัตว์สี่ขาที่ชายหนุ่มอ้างถึง       ทั้งเหลียวซ้าย แลขวา มองไกลด้วยสายตาอันฝ้าฟางลางเลือน ก็ไม่เห็นว่าจะมีเจ้าสิ่งมีชีวิตที่ชยางกูรพูดถึงสักกะตัว จะว่าไป...หมาที่ไหนจะมาอยู่ในที่จอดรถห้างชั้นสูงๆ แบบนี้? ไม่ใช่แล้วล่ะ...เขากำลังถูกกลั่นแกล้งแน่ๆ! คิดคลางแคลงใจถึงเจตนาที่แท้จริงได้ไม่นาน ก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อถูกคนขับรถกระชากเสียง กล่าวด้วยวาจาอันไร้ซึ่งการถนอมน้ำใจใส่ “จะไปได้ยัง ผมมีเวลาไม่มากนะ ยิ่งกับคนไม่สำคัญ ยิ่งไม่มีเวลาให้”     ชยางกูรฉุนเฉียว เพราะเสียเวลาให้กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ให้กับคนไม่คุ้นเคยมามากเกินไปแล้ว  พูดจบก็เปิดประตูรถออกไปทันที ภาคภูมิลอบเบ้หน้าใส่เจ้าของรถ “คนสำคัญๆ ทำอย่างกับผมอยากเป็นคนสำคัญของคุณงั้นแหละ ถ้าไม่หิว แว่นไม่แตก จ้างให้ ผมไม่มากับคุณหรอก คนอะไร อายุยังน้อยอยู่แท้ๆ กลับทำตัวแก่ ขี้บ่น แถมยังนิสัยโหดร้ายอีก!” คนตัวขาวออกมาจากรถ หากแต่เดินไปได้แค่สองก้าวก็หยุดฝีเท้าไว้เพียงเท่านั้น ด้วยสายตาพร่าเบลอ และเหตุการณ์น่ากลัวเมื่อครู่ ทำให้หมอหนุ่มไม่กล้าที่จะเดินทะเร่อทะร่าไปไหนได้อย่างใจอยากอีกแล้ว ยอมรับว่ามันยังใจสั่นไม่หาย “ลีลาอะไรนักหนาเนี่ยคุณ เวลาผมเป็นเงินเป็นทองนะ ยังมีธุระอีกมากมายที่ผมต้องไปจัดการ”  ชยางกูรเดินกลับมาหาภาคภูมิ พลางมองอีกฝ่ายอย่างหาเรื่อง หลังเห็นหมอหนุ่มยืนนิ่ง ไม่ยอมข้ามทางรถวิ่งเส้นเล็กๆ มาสักที “ผมรู้แล้ว คุณไม่ต้องพูดมากให้เจ็บคอหรอก แต่คือสายตาผมสั้นมาก ไม่มีแว่น ผมแทบมองไม่เห็นอะไรเลย” ได้ยินอย่างนั้น คนฟังถึงได้รับรู้ เขาลืมไปเสียสนิทว่าหมอหนุ่มหน้าละอ่อนนี่มันสายตาสั้น แถมแว่นยังโดนเหยียบซะเละ ไม่มีให้ใส่แบบนี้คงอึดอัดและ    ลำบากแย่ “นี่กี่นิ้ว?” ว่าที่สถาปนิกหนุ่มชูมือขึ้นมาสองนิ้ว พร้อมส่ายไปมาตรงหน้าเรียวเล็ก ภาคภูมิถอนหายใจ เม้มปากใส่คนตรงหน้า “ผมสายตาสั้นนะคุณ ไม่ได้ตาบอด!” เอามือท้าวเอว ตีสีหน้าระอา ก่อนจะชี้ไปที่มือคนกวนส้นตรงหน้า “สาม!” “หึ ไม่ไหวแล้วล่ะ” “ใช่ไง! ผมหิวจนไม่ไหวแล้วล่ะ” “สายตาคุณเนี่ยไม่ไหว! ไม่ต้องพูดมากแล้ว ตามมานี่” พูดจบก็รั้งมืออีกคนให้ออกเดินไปพร้อมกัน คนสายตาไม่ดีถูกกระชากลากถูอย่างไร้ซึ่งความใส่ใจ อย่าว่าแต่ทะนุถนอมเลย แค่จะจับกระชับให้พอดียังไม่ได้   ทุกช่วงจังหวะขณะเดิน มือคนแก่กว่าเหมือนถูกคีมเหล็กบีบไว้แน่น รู้สึกเจ็บจนทนไม่ได้ก็ร้องโอดครวญให้รับรู้ ทว่าอีกฝ่ายกลับเมินเฉย ไม่มีหันมาเหลียวแลเลยสักนิด  จุดหมายปลายทางไม่ใช่ร้านสุกี้ตามที่อีกฝ่ายวาดหวัง หากแต่เป็นร้านตัดแว่น เมื่อเข้ามาถึง ชยางกูรเหวี่ยงหมอหนุ่มนั่งลงตรงเก้าอี้หมุน ก่อนจะบอกให้พนักงานจัดการวัดสายตา รอประมาณครึ่งชั่วโมง แว่นสายตาอันใหม่ก็ทำเสร็จเรียบร้อย พนักงานยื่นให้ชยางกูรเป็นคนแรก เพื่อเช็คสภาพแทนคนสายตาสั้น สถาปนิกหนุ่มรับมาตรวจสอบ แต่เขาไม่รู้ว่าแว่นสายตาเชยๆ             ความสวยงามอยู่ตรงไหน แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่ามันดีหรือไม่ดียังไง เลยได้แต่ครางตอบรับพนักงานที่เอาแต่ถามว่าสวยถูกใจหรือไม่ไปแบบส่งๆ ก็เท่านั้น แว่นตากรอบพลาสติก ดูแล้วก็ธรรมดาทั่วไป ไม่ได้สลักสำคัญต่อเขา เอียงซ้ายเอียงขวาดูไม่กี่วินาทีก็หันไปหาใครอีกคน ชายหนุ่มร่างสูงโน้มกายเข้าไปใกล้ ถือวิสาสะสวม         ให้เพราะไม่ต้องการเสียเวลา  ขาแว่นตาอันใหม่ค่อยๆ เลื่อนเข้ากรอบหน้าจนคล้องไว้ที่ใบหู ความพร่าเบลอเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยความชัดเจน นัยน์ตาใสแจ๋วกะพริบปริบๆ สะท้อนมอง    คนใบหน้าดุดันที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด “เป็นไง?”  พลันชั่วขณะที่หัวใจของคนมองเกิดสั่นอย่างไร้ซึ่งสาเหตุ เลือดกายสูบฉีดไหลเวียนร้อนวูบวาบไปทั่ว ครั้งสุดท้ายที่ได้พบกับคนๆ นี้ คือเมื่อสองปีที่แล้ว ตอนเขาไปสัมมนาที่    เขาใหญ่ ในขณะที่อีกฝ่ายไปด้วยสาเหตุอันใดก็ไม่ทราบได้ คืนสุดท้ายเขาจับได้ว่าแฟนตัวเองซึ่งก็คือตะวัน แอบไปมีคนอื่น แถมยังปกปิดเป็นความลับมาร่วมปี       เมื่อความจริงถูกเปิดเผย วินาทีนั้นเขาเหมือนคนเสียศูนย์ เหมือนโลกทั้งใบพังทลาย ที่สุดของอารมณ์จึงพาตัวเองไปอยู่ที่ๆ คนพลุกพล่านอย่างคอนเสิร์ตใจกลางเขาใหญ่ หวังช่วยให้บรรยากาศและแอลกอฮอล์ทำให้ลืมใครคนนั้น กระทั่งได้พบกับเขาคนนี้ จำได้ว่าชยางกูรในวันนั้น ไม่ได้ดู...ดีเหมือนวันนี้ เสี้ยววินาทีที่ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่ง จนกระทั่งหมอหนุ่มทนสบสู้สายตาคมคายตรงหน้าไม่ไหว ถึงได้เป็นฝ่ายเบือนหนีก่อน  “ก...ก็ชัดดี” ริมฝีปากอมยิ้มหน่อยๆ “ขอบคุณนะ” “ขอบคุณอะไร?” คนฟังขมวดคิ้ว พร้อมกับแบมือมาตรงหน้า “เอาเงินมาสิ รีบจ่าย จะได้รีบไปกินข้าว” “เอ้า...” ภาคภูมิหน้าม้าน แหงนมองคนตัวสูง ก่อนจะควานมือหากระเป๋าเงินในกางเกง ทว่าคลำทั้งกระเป๋าหน้า ทั้งกระเป๋าหลัง กลับไม่มีสิ่งที่ต้องการอยู่ในนั้น “เชี่ย...ลืมไว้ที่เคาน์เตอร์ขายตั๋ว” เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวางมันเอาไว้ตอนที่ไปซื้อตั๋วเครื่องบินให้กว้างขวาง จากนั้นตะวันก็โผล่มา ดึงความสนใจไปทั้งหมด แว่นสายตาอันใหม่สวมอยู่บนหน้าขาวที่ยามนี้ซีดลงถนัดตา ใบหน้าเจื่อน ช้อนมองคนอายุน้อยกว่า ชยางกูรยืนกอดอก พร้อมกับถอนหายใจแล้วส่ายหน้าเบาๆ อย่างคนรู้ทัน ก่อนจะล้วงกระเป๋าเงิน หยิบเครดิตการ์ดออกมาแล้วยื่นให้พนักงาน “อ...เอาไว้ผมใช้คืนให้วันหลังนะ” “ช่างเหอะ ยังไงเราก็คงไม่ได้เจอกันอีก ถือว่าผมดวงซวยที่เจอคุณ            ก็แล้วกัน” คำพูดแสนร้าย ทำให้คนฟังถึงกับหน้าเสีย “คุณก็...ผมไม่ใช่ตัวซวยซะหน่อย ถ้าเจอกันอีกครั้ง ผมจะเอาเงินให้ แล้วก็เลี้ยงข้าวคุณคืนสองมื้อเลยเอ้า!” ชยางกูรเบือนสายตาไปทางอื่น ไม่ได้ให้ความสนใจคนที่พูดเจื้อยแจ้วเลยสักนิด ในขณะเดียวกันนั้นเองพนักงานคนเดิมก็กลับมา พร้อมกับยื่นถุงใส่กล่องแว่นพร้อมใบเสร็จและบัตรเครดิตคืนให้ ชายหนุ่มรับไว้เพียงบัตรเครดิต แล้วเดินออกไปนอกร้านทันที คนนั่งอยู่ที่เดิมหุบรอยยิ้มจางๆ พลางทอดสายตามองแผ่นหลังกว้างที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ ภาคภูมิเป็นคนเก่ง และภูมิใจกับตัวเองเสมอ นอกจากตะวันแล้ว ก็ไม่มีใครเคยบั่นทอนความรู้สึกของเขาได้อีก เพราะมีเกราะป้องกัน นั่นคือความสดใสที่มีมาตั้งแต่เกิด ซึ่งเกิดขึ้นจากสภาพแวดล้อมรอบกาย เขามีครอบครัวที่อบอุ่น มีเพื่อนที่ดีและเข้าใจ สิ่งเหล่านี้ได้หลอมรวมหมอหนุ่มให้กลายมาเป็นพลังงานด้านบวก ให้แก่ตัวเอง และผู้อื่นตลอดมา แต่กับคนๆ นี้ เขาคงเป็นได้แค่พลังงานด้านบวก...ที่น่ารำคาญ /// “เป็นอะไร?” ว่าที่สถาปนิกหนุ่มเอ่ยขึ้น หลังเห็นคนเพิ่งได้แว่นตาใหม่สงบปากสงบคำผิดปกติ ขณะก้มเลือกอาหารในเมนู พนักงานสาวเห็นชายหนุ่มรูปหล่อชะงัก จึงหันไปมองตามบ้าง “อยากกินอะไรก็สั่งสิ” “ถ้าผมสั่ง...เดี๋ยวผมค่อยเลี้ยงคุณคืนนะ” “สั่งๆ ไปเหอะน่า อย่ามากเรื่อง” ปากหมาได้โล่...ไอ้หมาบ้าเอ๊ย ภาคภูมิเม้มริมฝีปาก กำเมนูแน่น ขบกัดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่เข้าใจว่าทำไมชยางกูรถึงเอาแต่พูดจาไม่ดีใส่เขา เท่าที่จำได้ก็ไม่เคยไปทำให้อีกฝ่ายเจ็บช้ำน้ำใจ นอกจากทำกระจกมองข้างรถพังเท่านั้นนี่นา แต่ด้วยความหิวโหย ท้องไส้บิดม้วนแทบเป็นเกลียว เขาจึงเลือกเก็บความคับข้องเอาไว้ก่อน จะว่าใส่เขาอย่างไร ก็ไม่สามารถเข้าไปถึงหัวใจชั้นในสุดของภาคภูมิได้หรอก! “งั้นผมไม่เรื่องมากก็แล้วกัน...” คนหน้าใสเอ่ย ก่อนสูดลมหายใจเข้า แล้วหันไปสั่งอาหารกับพนักงาน “เอาคริสตัลไข่ปลา สาหร่ายทรงเครื่อง ลูกชิ้นเจ้าทะเล เป็ดย่างชุดใหญ่ เต้าหู้ไข่สองถาด หัวปลาสดสาม เนื้อกุ้งสดสี่ ชุดเห็ดนานาชาติ    ชุดผักเพื่อสุขภาพ คะน้าน้ำมันหอย เนื้อสไลด์นำเข้า เต้าหู้เนื้อปลา อ่อ! แล้วก็      ข้าวหน้าหมูแดงด้วยนะครับ แค่นี้ก่อนครับ ถ้าไม่อิ่มเดี๋ยวค่อยสั่งใหม่ ฮี่ฮี่” พนักงานอมยิ้มใส่คนสั่งที่ทำหน้ายุกยิก เอียงคอไปมา ดูอารมณ์ดีเกินใคร พร้อมกับส่งลิสต์อาหารเข้าห้องครัว ก่อนจะเก็บเมนูแล้วเดินจากไป “กินอย่างกับเผื่อใคร ตัวก็มีแค่นี้ ถ้าไม่ใช่ผู้ชาย ผมก็นึกว่าคุณกำลังท้อง เลยกินเผื่อลูก” ภาคภูมิชะงัก “อ...อะไรกันคุณ ผมไม่ได้กินเยอะซะหน่อย ก็สั่งมาเผื่อคุณด้วยนี่นา” นี่เขากินเยอะตรงไหน อีกอย่าง...เขาไม่ได้ท้องซะหน่อย หลังจากสั่งอาหารไปไม่นาน เมนูทุกอย่างก็มาวางอยู่บนโต๊ะ หมอหนุ่ม     ผู้หิวโหยตาใสแจ๋ว มือสั่นเป็นเจ้าเข้า รีบจับตะเกียบเตรียมคีบทุกสิ่งลงหม้อต้ม ฉับพลันที่นึกขึ้นได้ว่ามื้อนี้เขามาตัวเปล่า อีกทั้งยังมีเจ้ามือเลี้ยงอยู่เบื้องหน้า คนคิดจะมีมารยาทจึงเหลือบตามองเป็นเชิงขออนุญาต ชยางกูรพรูลมหายใจ ก่อนจะ   พยักหน้าให้คนแก่กว่า เมื่อได้รับท่าทางเชิงอนุญาต หมอหนุ่มก็รีบจัดการเททุกอย่างลงในหม้อแทบทันที ยี่สิบนาทีผ่านไป เพลิงความหิวกระหายก็ดับวอด อาหารตรงหน้าพร่องลงจนเหลือเพียงแค่เศษเล็กเศษน้อย ของส่วนใหญ่เข้าไปอยู่ในท้องหมอหนุ่มเสียมากกว่าเจ้าภาพ คนอิ่มท้องแต่เงินทองยังอยู่ครบ นั่งเอนกายกับกระจกขุ่นซึ่งเป็นฉากกั้นระหว่างโต๊ะ พลางลูบท้องป้อยๆ ใบหน้าขาวยามนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มอิ่มเอม ไม่วายนึกถึงคนเลี้ยง เลยเด้งตัวลุกขึ้นนั่งหลังตรง พลางกำมือซ้าย ใช้มือขวากอบกุม ไหว้ปรกๆ แบบวัฒนธรรมจีน “ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ ขอให้เจ้าภาพจงเจริญ อายุยืนนาน หมื่นๆ ปี” ดวงตาสวยเรียวรี ริมฝีปากฉีกยิ้มกว้าง เจ้าของคำพูดไม่รู้ตัว ว่ามีคราบน้ำจิ้มเลอะอยู่ตรงข้างแก้ม ชยางกูรขบขันในใจ มองไปมองมา คนตรงหน้าดูเหมือนเจ้าเด็กตี๋บนฉลากซอสปรุงรสซะงั้น “ตลกละ ผมไม่ใช่อากงคุณนะ ที่จะมาอวยพรแบบนี้” เขาตำหนิไม่จริงจัง พลางยื่นบัตรเครดิตให้พนักงาน คนอารมณ์ดีหุบยิ้มฉับ แม่งทำอะไรไม่เคยจะถูกใจเลยจริงๆ “อายุเท่าไหร่แล้ว กินเลอะไปถึงแก้ม” ชยางกูรพยักเพยิดหน้า มองแก้มใสที่มีคราบน้ำจิ้มติดอยู่ ภาคภูมิรีบตะครุบจับแก้ม ก่อนจะคลำไปมา “ตรงไหนเหรอ?” “ตรงนั้น” “ตรงไหนเล่า?” ชยางกูรนึกรำคาญเมื่อเห็นอีกฝ่ายเช็ดไม่ถูกจุดสักที การกระทำไปไวเท่ากับคำพูด มือแกร่งคว้าทิชชู่บนโต๊ะ ก่อนโน้มกายเข้าไปหาคนนั่งฝั่งตรงข้าม แนบกระดาษลงบนแก้มนิ่ม ถูไถมันไม่ออมแรงนัก “มูมมามอย่างกับเด็กๆ” ในขณะนั้นเอง ก็มีใครคนหนึ่งโผล่เข้ามาแทรกเหตุการณ์ถึงเนื้อถึงตัว ใครคนนั้นทิ้งกายนั่งเคียงข้างเพื่อนซี้ ภาพเหตุการณ์ถูกบันทึกในสมอง และถูกตีความไปไกลมาก คนมาใหม่ถึงกับส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้คนรูปหล่อตัวสูงอย่างมีเลศนัย “ไอ้ชะ! ไหนว่าไปภูเก็ตวะ ไอ้ห่านี่ มีนัดก็ไม่บอก” “เอ้าไอ้เจมส์ มึงมาได้ไงวะ?” ชยางกูรชักมือกลับ ทรุดตัวนั่งลงที่เดิม มองเพื่อนสนิทอย่างแปลกใจ “เตี่ยใช้ให้มาซื้อของ ว่าไง...โกหกกูว่าไปภูเก็ต ที่แท้...ก็นัดกับเด็กใหม่มาแดกข้าว” “ไอ้ห่านี่ ไม่ใช่!” คนถูกแซวปฏิเสธเสียงแข็ง ก่อนจะมองตามสายตาเจมส์ไปหยุดอยู่ตรงมนุษย์หน้าตาจิ้มลิ้ม ไอ้หมอนั่นยิ้มให้เพื่อนเขา นัยน์ตาใสซื่อเป็นมิตร ไม่มีทีท่าขวยเขินเลยสักนิด ถ้าเป็นหมา...เขายกให้เป็นโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ หมาขนพลิ้วที่ชอบส่ายหาง ดุ๊กดิ๊ก หูลู่พร้อมเล่นตลอดเวลา และใจดีแม้แต่กับคนแปลกหน้า! “สวัสดีครับ ผมเจมส์ เจมส์มาร์ ถุย! ไม่ใช่ครับ ผมเจมส์ ทินกร เพื่อนซี้ไอ้ชะครับ ส่วนคุณ...” “สวัสดีครับ ผมภาคภูมิ เป็น...” มาถึงตรงนี้ หมอหนุ่มได้แต่ลากเสียง      นึกหาความสัมพันธ์ระหว่างกันไม่เจอ วินาทีหนึ่งเหลือบมองชยางกูร เรา...ไม่ได้เป็นอะไรกันเลยนี่หว่า ท่าทีติดขัดเหมือนคนมีพิรุธ ยิ่งทำให้เจมส์คนล่ำเข้าใจผิดไปยกใหญ่ มองทั้งสองคนสลับไปมา “อะ อะ  อะแหนะๆ” “อะแหนะพ่อง! นี่...” ชยางกูรอึกอัก มองสบหมอหนุ่มตัวขาว ด้วยเพราะเขาเองก็ไม่รู้จะจำกัดสถานะอีกฝ่ายอย่างไรดี “อะๆๆ กูไม่ถามละก็ได้ บางทีคนบางคนก็ไม่จำเป็นต้องมีสถานะก็ได้เนอะ” “เนอะเหี้ยไร” ชยางกูรมองค้อน หากแต่ถูกเพื่อนซี้เบรกเอาไว้ “แล้วไหนว่าจะไปภูเก็ต ทำไมถึงมานั่งแดกสุกี้กับคนไม่มีคำจำกัด      ความได้?” “เรื่องมันยาว สรุปสั้นๆ ว่ามีตัวป่วน ทำให้กูต้องยกเลิกเที่ยวบิน” พูดจบก็เสตามองคนที่เขาเรียกว่าตัวป่วน ภาคภูมิชะงักมือที่กำลังเช็ดแก้ม พลางเหลือบตามองคนตัวสูงกับเพื่อนซี้ของเขา “นี่คุณมีบิน...แต่ผมทำให้คุณต้องแคนเซิลงั้นเหรอ?” ชยางกูรถอนหายใจ ส่ายหน้าไปมา ยัง...ยังไม่รู้ตัวอีก “เฮ้ย! ผมขอโทษนะ เดี๋ยวผมใช้คืนให้” ภาคภูมิร้อนรน นี่เขาทำให้คนตรงหน้าเสียเวลามามากแค่ไหนแล้วเนี่ย ถึงว่าโดนด่าเอาๆ ที่แท้ก็พลาดอะไรหลายๆ อย่างไปนี่เอง “คุณใช้คืนให้ผมไม่ได้หรอก” “ทำไมล่ะ เดี๋ยวถ้าผมกลับห้องได้แล้ว ก็จะรีบติดต่อค*****นให้คุณไง” “ผมไม่ได้หมายถึงเงิน” “......” “ผมหมายถึงเวลา” เงินที่เสียไปไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับเขา เวลากับคำมั่นต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเขา เขาต้องเสียเวลาให้กับคนไม่รู้จักในเรื่องไม่เป็นเรื่องยังไม่เท่าไหร่ แต่กลับต้องผิดคำสัญญากับทีมงานที่ภูเก็ต ซึ่งนัดหมายพบปะพูดคุยงานกันในค่ำวันนี้นี่สิถือเป็นเรื่องไม่น่าให้อภัย น้ำเสียงคุกรุ่น พร้อมกับสีหน้าพร้อมเอาเรื่อง ทำให้เพื่อนซี้อย่างเจมส์ต้องรีบยับยั้งสถานการณ์มาคุเอาไว้ “อ...เออ! ไหนๆ มึงก็ยังไม่ไป งั้นมึงก็ไปงานเลี้ยงอำลาคืนนี้ได้ดิวะ” เมื่อถูกดึงสติ ชยางกูรก็หันมาครุ่นคิด จริงๆ แล้ววันนี้เป็นวันที่พวกเด็กปี 1-3 คณะสถาปัตย์ตั้งใจจัดงานเลี้ยงส่งให้พวกรุ่นพี่ปี 4 ก่อนไปฝึกงานอย่างพวกเขา แต่เขาติดคุยงานออกแบบที่ภูเก็ต จึงทำให้ต้องยกเลิก ตอนแรกเพื่อนพ้องในกลุ่มรู้เข้า ก็พากันโวยวายใหญ่ บอกว่าคนไม่ครบองค์ อีกเกือบปีกว่าที่พวกเราชาวสถาปัตย์จะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ใจจริงเขานึกเสียดายอยู่เหมือนกัน แอบใจหายที่ต้องจากลาเพื่อนๆ ไปโดยที่ไม่ได้ล่ำลา แต่มาวันนี้ กลับมีตัวซวยเข้ามาเปลี่ยนแปลงตารางชีวิต ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว คงไม่มีอะไรต้องปฏิเสธ “เออ ไปก็ไป” พูดยังไม่ทันจบดี เสียงมือถือของคนนั่งตรงข้ามก็ดังขึ้น หมอหนุ่มจ้องมองเบอร์แปลก ก่อนจะขอตัวเดินออกจากโต๊ะ แล้วกดรับสายยังหน้าร้าน “ครับ” “ภูมิ ตะวันเอง” “ตะวัน...” ไม่ต้องเสียเวลาให้มากความ เมื่อได้ยินว่าคนปลายสายเป็นใคร หมอหนุ่มก็เตรียมจะกดวาง ทว่ามือบางกลับต้องหยุดชะงักกลางอากาศ หลังเสียงอีกฝ่ายร้อนรนดังเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน “เดี๋ยวๆๆ ภูมิ ผมมีเรื่องสำคัญอยากจะพูดด้วย” เจ้าของชื่อกรอกสายตา “ถ้าจะบอกว่าอยากกลับมาขอคืนดี แล้วก็พร้อมแก้ตัวทุกอย่างล่ะก็        พอเหอะตะวัน ผมไม่อยากฟัง” “ไม่ใช่อย่างนั้น คือตะวันอยากขอร้องให้ภูมิช่วยทำงานแทนหน่อย” “งาน?” นัยน์ตาใสกระตุก คิ้วเรียวขมวดมุ่น หน้าชาเล็กน้อยที่การโทรมาครั้งนี้ของอดีตคนรัก ไม่ใช่เรื่องขอคืนดีอย่างที่เข้าใจ “งานอะไรของคุณ?” “ภูมิจำพี่ธนภพได้ไหม รุ่นพี่คณะบริหารที่เป็นพี่เทคของตะวัน” ภาคภูมินึกย้อนอดีต ไม่นานก็จำได้ ธนภพ สมบูรณ์สุข เป็นพี่เทคนอกสายรหัสและนอกคณะที่แรกเริ่มเดิมที บังเอิญนั่งโต๊ะข้างกันตอนไปสังสรรค์ผ่อนคลายกันที่ร้านเหล้า รุ่นพี่ของพวกเขาก็รู้จักกันด้วยอีกทางหนึ่ง คุยกันไปคุยกันมาก็เกิด    ถูกคอ หลังจากนั้น เลยนัดกินเหล้า กินข้าวกันด้วยกันบ่อยๆ และธนภพคนนี้...ยังเป็นคนสำคัญที่ทำให้เขาและตะวันรู้ใจตัวเองอีกด้วย จากสถานะเพื่อนสนิทที่ต่างฝ่ายต่างไม่กล้าสารภาพความรู้สึก ก็กลายมาเป็นคนรู้ใจที่รักกันมากในช่วงเวลาหนึ่ง “จำได้” จำได้สิ คนที่ทำให้เขาสมหวังในเรื่องรักเป็นครั้งแรก “ตอนนี้พี่ภพกำลังมีปัญหา ภรรยาของเขาเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้ลูกชายของเขากำลังเข้าสู่ภาวะเสี่ยงจะเป็นโรคซึมเศร้าเนื่องจากสูญเสียแม่ไปอย่างกะทันหัน พี่ภพเลยมาขอร้องให้ตะวันไปช่วยรักษาลูกชายของเขา” “ก็ไปสิ ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง” “ตะวัน...” ชายหนุ่มเงียบไปอึดใจหนึ่ง เขาไม่อยากบอกถึงสาเหตุที่ไปรักษาลูกชายให้พี่ชายคนนั้นไม่ได้ เพราะรู้ว่าถ้าบอกไปตรงๆ ภาคภูมิจะต้องเจ็บ... แต่สุดท้ายก็จำต้องพูดออกไป “ตะวันต้องกลับอังกฤษด่วน เจสขู่จะฆ่าตัวตาย” “...คนรักของคุณน่ะเหรอ” “ผมเลิกกับเขาแล้วจริงๆ นะภูมิ แต่เขาคงฝยังรับมันไม่ได้ ผมไม่อยากเป็นฆาตกรทางอ้อม ผมจำเป็นต้องรีบไปคุยกับเขาให้รู้เรื่อง” นัยน์ตาคนฟังสะท้านไหว เจ็บปวดหัวใจยามอดีตคนรักที่เอาจริงๆ ก็ยังตัดใจได้ไม่ขาด ให้ความสำคัญกับใครคนนั้นมากกว่า ไหนว่าเลิกแล้ว คนเลิกกันไม่มีเยื่อใยหลงเหลือให้เห็นแบบนี้หรอก “แล้วทำไมผมต้องช่วย” “ภูมิ...” ตะวันเสียงอ่อน “พี่ภพคือผู้มีพระคุณสำหรับตะวัน” “......” “เขาคือคนที่ทำให้ตะวันเจอกับรักที่มีความสุขที่สุด” “......” คำตอบของตะวัน เล่นเอาหัวใจคนฟังกวัดแกว่ง ภาคภูมิเองก็คิดเห็นเป็นเช่นนั้นอยู่ในใจ “ขอร้องล่ะภูมิ พี่ภพกำลังแย่ เพิ่งเสียภรรยาไปว่าเจ็บปวดแล้ว ยิ่งเห็น     ลูกชายคนเดียวกำลังจะถูกโรคซึมเศร้าทำลายคงเจ็บเพิ่มอีกร้อยเท่า มีภูมิคนเดียวที่รู้จัก แล้วก็คุ้นเคยกับเขาเท่าๆ กับตะวัน” “จิตแพทย์ในไทยมีเยอะแยะ ทำไมพี่ภพไม่พาลูกของเขาไปหา” “พวกเขาออกจากเกาะไม่ได้” “ว่าไงนะ?” “พี่ภพมีธุรกิจโรงแรมอยู่บนเกาะกลางทะเล ลูกชายของเขาเกิดกลัวน้ำ     แค่เห็นทะเลก็สติแตก เรื่องลงเรือเดินทางขึ้นฝั่งคงไม่ต้องพูดถึง สาเหตุที่กลัวน้ำ    กลัวทะเลก็เพราะแม่ของเขาช่วยชีวิตเขาเอาไว้ขณะเล่นน้ำ แล้วระหว่างนั้นเกิดเป็นลมชักจนทำให้จมน้ำเสียชีวิต มันเป็นเรื่องฝังใจที่เด็กคนนั้นข้ามผ่านไปไม่ได้” “......” ได้ฟังเรื่องราวคร่าวๆ แล้ว หัวใจคนฟังก็เต็มไปด้วยความสังเวช           ความสงสารที่มีต่อรุ่นพี่สะท้อนอยู่เต็มอก เขาลังเล...เขาชังตะวัน แต่เขาเห็นใจพี่ภพ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบไปนาน ตะวันจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ถ้าภูมิช่วย ตะวันจะไม่มายุ่งกับชีวิตภูมิอีก จะทำตามความต้องการของภูมิทุกอย่างเลย” แม้สิ่งที่พูด ฟังดูเหมือนพร้อมจะปล่อยวางและจากไป แต่หากคิดดูให้ดีอีกหลายตลบ จิตแพทย์หนุ่มมือดีกำลังใช้เรื่องนี้เป็นข้อต่อรองและถือเป็นการเดิมพัน เพื่อยื้อเวลาให้ภาคภูมิ ยังคงอยู่ในวงโคจรภายใต้จักรวาลของตะวัน “ถ้าผมช่วย คุณจะทำตามความต้องการของผมทุกอย่างจริงๆ เหรอ?”  “ใช่ ภาคภูมิสั่งให้ไปตาย ตะวันก็จะไป” ชายหนุ่มหลอกล่อด้วยน้ำเสียง   เว้าวอน สุดอับจนหนทาง “เห็นบุญคุณของพี่ภพสำคัญมากถึงขั้นยอมลามือจากผมขนาดนั้นเชียว?” “บอกแล้วว่าพี่เขามีบุญคุณ อีกอย่างเด็กคนนั้นก็ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน” “เป็นคนดีเกินไปแล้วตะวัน” “ไม่เรียกคุณแล้วเหรอ?” “ผมจะเรียกอะไรก็ได้ถ้าผมต้องการ” “ครับ ตะวันยอมให้ภาคภูมิคนเดียว” “ผมเกลียดคุณ” ภาคภูมิเกลียดตะวันที่เป็นแบบนี้ เกลียดตะวันที่ขี้อ้อน พูดดี ทำดี ชอบช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอ หากตัดเรื่องทิ้งเขาไปรักคนอื่น ตะวันก็คือผู้ชายแสนดี     คนหนึ่ง เป็นนายแพทย์ที่เห็นความสุขส่วนรวมมาก่อนส่วนตนเสมอ “แต่ตะวันรักภูมินะ” คนฟังถึงกับกระแอมไอ เปลี่ยนเรื่องแทบทันที “ส่งข้อมูลทุกอย่าง พร้อมทั้งวิธีการเดินทางไปที่เกาะนั่นมาให้ผม เห็นเป็น   พี่ภพนะ ผมถึงช่วยคุณ” “จริงนะ! โอเคเลย เดี๋ยวจะส่งข้อมูลไปให้ทางอีเมล์ เอาไว้ผมจัดการเรื่องของผมทางโน้นเสร็จเมื่อไหร่ จะรีบกลับมาหาคุณทันที” “ใครอยากให้กลับมา พอช่วยพี่ภพสำเร็จ เราถือว่าจบกัน ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้ติดต่อกัน” ภาคภูมิไม่รอฟังคำออดอ้อนใดใดจากตะวันอีก เขากดวางสายทันที ก่อนลดมือลง นัยน์ตาสุกใสมองเครื่องมือสื่อสาร ความรู้สึกสับสนปนเปตีรวนอยู่ในนั้น จะว่ารู้สึกแย่ต่อตะวันมันก็ใช่ แต่จะว่ารู้สึกดีที่ใครคนนี้กลับมาก็คงปฏิเสธได้ไม่เต็มปาก ยิ่งมาสารภาพความผิดบาปอย่างหมดเปลือก และมาขอคืนดีอย่างหมดท่าแล้ว คนเคยรักกันมาเกือบสิบปี มีเหรอหัวใจจะไม่โอนอ่อน แม้ไม่ถึงขนาดขี้ผึ้งลนไฟก็ตาม “ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมมันแบบนี้ไง ถึงได้โดนหลอกใช้เป็นคนโง่อยู่อย่างนี้” เสียงทุ้มต่ำของใครคนหนึ่งดังแทรกขึ้น หมอหนุ่มสะดุ้ง ตวัดใบหน้าหันไปมองคนปรามาสตนอย่างเอาเรื่อง “ผมไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมอะไร? แล้วมาแอบฟังคนเขาคุยโทรศัพท์อย่างนี้ คงไม่รู้จักมารยาทสินะ” “คนมีมารยาท เขาก็ไม่มายืนขวางทางออก คุยโทรศัพท์เสียงดังแบบนี้เหมือนกัน” หมอหนุ่มหน้าตึง หลังสำรวจตัวเองแล้ว ก็พบว่ากำลังยืนขวางทางเข้าออกอยู่จริงๆ เขารีบเปลี่ยนเรื่องหน้าเฉย “แล้วอะไรคือคนโง่ไม่ทราบ” “ก็จะใครซะอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่...คนที่ยอมทำตามคำขอร้องของคนรักเก่า     เมื่อกี้ทะเลาะกันจะเป็นจะตาย ตอนนี้โทรคุยกันได้หน้าตาเฉย รู้งี้ผมไม่ช่วยคุณไว้ก็ดี ปล่อยให้ไปกับไอ้หมอนั่นก็สิ้นเรื่อง ป่านนี้คงจบกันที่เตียงแล้วละมั้ง” “หยาบคาย” ภาคภูมิประเมินคนสูงกว่าผ่านม่านตาหรี่เล็ก “ปากดีแบบนี้คงไม่เคยรักใครมากๆ สินะ ถึงได้ไม่รู้ว่าการรักใครสักคน มันไม่ได้หมดรักกันได้ง่ายๆ ถ้าขืนคุณยังพูดจาหมาๆ แบบนี้ใส่คนอื่นล่ะก็ ชาตินี้ทั้งชาติคงไม่เจอใครที่รักคุณจริงหรอก!”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม