จุดเริ่มต้น

4630 คำ
“จองตั๋วไปเชียงรายให้ผม ผมจะไปสอนให้เขารู้ ว่ารักคือการให้...ให้ผมแค่คนเดียว มันเป็นยังไง”  นั่นเป็นประโยคสุดท้าย ก่อนที่คนพูดจะกดตัดสาย ปล่อยทิ้งให้คนทางนี้ยืนนิ่งค้างเติ่ง ก่อนจะลดมือถือลง เลิกคิ้วมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับกำลังมองเจ้าของเสียง ผู้ซึ่งเป็นคนไข้ประจำของตน กว้างขวาง ศิริไพศาล ช่างหุนหันพันแล่น บางทีจิตแพทย์อย่างเขาก็ตามแทบไม่ทัน งานหมั้นพ่วงงานแต่งระหว่างคนไข้ของเขา ซึ่งเป็นถึงลูกชายตระกูลผู้ดีใหม่ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับพันล้าน กับลูกสาวตระกูลผู้ดีเก่า นามสกุลสืบทอดจากรั้ววัง หัวเรือใหญ่เป็นถึงนายพลศิษย์เก่าจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ สุภาพบุรุษสามพราน เป็นอันต้องยกเลิก ส่วนสาเหตุนั้นคนเพิ่งกลับจากศึกษาดูงานยังไม่แน่ใจนัก รู้แค่ว่าคนไม่ใช่ ยังไงก็ไม่รัก ส่วนคนที่รัก กลับหนีเตลิดให้ต้องตามหา จิตแพทย์หนุ่มไหวไหล่ ก่อนหมุนกายเดินไปทางเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วเครื่องบิน เพื่อจัดการจองที่นั่งไปเชียงรายให้คนไข้สุดหล่อตามคำสั่ง พูดคุยกับพนักงานไม่นานก็มีเสียงหนึ่งร้องทัก “สมูธตี้สตรอเบอร์รี่” จิตแพทย์หนุ่มหันขวับไปทันที แม้ไม่มีชื่อตัวเองอยู่ในนั้น แต่คำเรียกขานนี้เขาจำมันได้ดี มีแค่คนๆ เดียวที่เรียกเขาแบบนั้น “อะไรครับ เอสเปสโซ่สองช็อต” เขาล้อเลียนอีกฝ่ายด้วยนามเรียกขานที่ใช้เรียกกันเมื่อสมัยยังเรียนแพทย์ด้วยกัน อีกฝ่ายหัวเราะร่วนด้วยเสียงชวนหลงใหล รูปร่างสูงใหญ่ในชุดเชิ้ตขาว พับแขนเสื้อขึ้นลวกๆ กับกางเกงแสล็คสีดำนั้นก็ชวนมองไม่น้อย “ยังจำได้อยู่อีกเหรอ?” ใครคนนั้นเอ่ยถาม สองมือซุกในกระเป๋ากางเกง เอียงกายพิงเคาน์เตอร์ขณะมองจิตแพทย์หนุ่มคนคุ้นเคย “ก็ถ้าคุณจำผมได้ ผมก็จำคุณได้” หมอหนุ่มหน้าตึงเล็กน้อย ก่อนจะหันไปยื่นบัตรเครดิตให้กับพนักงานขายตั๋ว “เดี๋ยวนี้ตะวันถูกลดความสำคัญกลายเป็นคำว่าคุณไปแล้วเหรอภูมิ?” คนถูกเรียกชื่อเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีหัวใจกระตุก มือไม้สั่นเทาไปไม่เป็น กระทั่งรับตั๋วเครื่องบนกับบัตรเครดิตมาถือไว้ มือก็ยังสั่นระริกไม่หาย แต่ก็ตีหน้ากวนๆ ภายใต้แว่นตากรอบดำ แสร้งทำเป็นว่าไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับน้ำเสียงกระเง้ากระงอดของอีกฝ่าย ทั้งๆ ที่ตอนนี้หัวใจมันถูกบีบอัดจนเจ็บหน่วงไปหมดแล้ว “ไม่ตอบด้วย” คนสูงกว่าเบะปาก แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรอีก ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปถือวิสาสะอ่านไฟล์ทบินที่พิมพ์อยู่บนตั๋วในมืออีกคน “ไปเชียงรายทำไม?” “ยุ่งน่า” สะบัดมือ เบือนหน้าไม่สบอารมณ์ไปทางอื่น “ภาคภูมิ” “ทำไม? ตะวัน” คนสองคนมองตากัน คนหนึ่งให้ความรู้สึกเหมือนกำลังฟาดฟัน ส่วนอีกคนกลับมองด้วยความรู้สึกอ่อนใจ “ยอกย้อนเก่งไม่มีใครเกินจริงๆ” ชายหนุ่มร่างสูงส่ายหน้า ยอมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ มุมปากระบายยิ้มจางๆ “ไม่เจอกันนาน สบายดีหรือเปล่า?” ภาคภูมิหลิ่วตา เบือนหน้าไปทางอื่น “ก็ดีกว่าสามปีที่แล้ว แล้วก็ดูเหมือนจะดีขึ้นตามลำดับ” “......” “อาการอกเดาะไม่เจ็บแล้ว คิดว่ารอยแผลคงกำลังผสานเป็นอย่างดี” ตอบคำถามด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว ฝากฝังคำประชดประชันใส่อีกฝ่ายอย่างจงใจ อดีตคนเคยรักกัน ทิ้งให้เขาต้องอยู่กับคำถามที่ว่าทำไมถึงได้เลิกกันไปนานเกือบสามปี ทั้งๆ ที่ไม่เคยทำอะไรให้ มาวันนี้จะให้ญาติดี คุยดีกันได้ยังไง “ภูมิ” “อย่าเรียกได้ไหมตะวัน อย่าทำเหมือนว่าระหว่างเราไม่เคยมีเรื่องกัน อย่าให้ภูมิต้องโมโห อย่าให้ต้องกลับไปเจ็บอย่างไร้เหตุผลอีกเลย” ภาคภูมิหมดความอดทน เผลอพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแข็งขึง สุดท้ายตวัดสายตาขุ่นใส่ ก่อนจะเดินจากไปทันที “จะไปไหน? เกทอยู่ทั้งนั้นนะ” ตะวันวิ่งตามหลัง ไม่ได้อยากทักท้วงเรื่องปลายทางของการเดินทาง หากแต่ต้องการพูดคุยกับอีกฝ่ายให้รู้เรื่อง “บอกแล้วว่าอย่ายุ่ง กลับไปใช้ชีวิตของตัวเองเหอะ” “ภูมิ” ชายหนุ่มถูกอีกฝ่ายสะบัดแขน พลันฝีเท้าก็หยุดชะงักตาม มองตามแผ่นหลังบางที่เดินห่างไปเรื่อยๆ “ผมรู้ว่าผมผิด! ผมแค่อยากบอกว่าผมกลับมาแล้ว ผมเลิกกับเขาแล้ว!” คนเดินหนีหยุดฝีเท้า หลังได้ยินคำบอกเล่าจากปากอดีตคนเคยรัก มันไม่มีความยินดีปรีดาเกิดขึ้นเลยสักนิด ซ้ำกลับยังรู้สึกแย่ต่ออีกฝ่ายมากขึ้นอีกด้วย ภาคภูมิหมุนกายกลับไปเผชิญหน้าตะวันที่ยืนห่างกันไปหลายเมตร ท่ามกลางผู้คนเดินขวักไขว่ในสนามบิน มีเพียงใครคนนี้ที่ทำให้เขาเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด เจ็บปวดทนทุกข์ทรมานมาถึงสามปี “บอกเพื่ออะไรเหรอ?” “...เผื่อว่าเราจะได้กลับมาคุยกันอีกครั้ง” “ในฐานะอะไร?” “ผม...” อีกฝ่ายดูลังเลละล้าละลัง แต่ก็ยอมสารภาพออกมาหมดเปลือก “คิดถึงแต่คุณ ไม่มีใครเข้าใจผมได้เท่าคุณอีกแล้ว คุณให้โอกาสผมอีกสักครั้งนะ” ภาคภูมิแค่นหัวเราะ พร้อมกับบ่ายหน้ามองไปทางอื่นอย่างเหลืออด ก่อนจะเดินปรี่เข้าไปหาตะวัน ยืนประชิดในระยะหน้าแทบแนบหน้า สุดท้ายกระชากแว่นสายตาออกเพื่อให้อีกฝ่ายสบตาตัวเองได้ชัดขึ้น แม้ว่าจะทำให้ทัศนะวิสัยของตัวเองจะแย่ลงก็ตาม แค่อยากให้อีกฝ่ายเห็นแววตาที่สะท้อนความรู้สึกทั้งหมดของเขาก็เท่านั้น คนอย่างภาคภูมิ พุฒินารากร อาชีพจิตแพทย์ อายุ 32 ใกล้ 33...จะไม่มีวันโง่ ถูกทิ้งซ้ำสอง!! “รู้ไหมตะวัน ว่าผมเกลียดคนแบบไหนมากที่สุด” “......” “คนขี้โกหก กะล่อนปลิ้นปล้อน ผมยังพอทำใจยอมรับได้ แต่กับคนจิตใจโลเล ไม่มีความมั่นคงให้กับคนรักเนี่ย ผมเกลียดเข้ากระดูกดำ! และที่ผ่านมา คุณก็เป็นแบบนั้น คุณทำลายความไว้วางใจที่ผมมีให้โดยการไปมีคนอื่น ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยทำอะไรผิดเลยด้วยซ้ำ! สามปีนะตะวัน สามปีที่เราขาดการติดต่อ คุณหายไปมีความสุข ในขณะที่ปล่อยให้ผมจมอยู่กับความทุกข์ ไม่มีแม้แต่คำปลอบใจ ไม่มีแม้แต่การถามไถ่” “ผมขอโทษ ผมกลับมาเพื่อเปลี่ยนแปลง ภูมิเชื่อผมสิ ว่าผมจะดีขึ้น จะมั่นคงต่อคุณ” “คุณเป็นทุกข์ แล้วคุณถึงค่อยกลับมาหาผม คุณเห็นผมเป็นของตายอย่างนั้นเหรอ?” จิตแพทย์หนุ่มครานี้หมดมาดทะเล้นขี้เล่น นัยน์ตาใสวาววามคลอหน่วย อีกนิดเดียวที่หยาดน้ำตาจะผุดร่วง ถ้าไม่ติดว่าเริ่มมีผู้คนหันมาให้ความสนใจ มองพวกเขาที่เริ่มทะเลาะกันแรงขึ้น น้ำตาคงไหลรินออกมาแล้ว “ผมเปล่า ผมแค่คิดว่าไม่มีใครเข้าใจผมได้มากเท่าคุณอีกแล้ว ให้โอกาสผมเถอะนะภูมิ” ชายหนุ่มคว้ามือขาวมากอบกุมไว้ หากแต่ถูกเจ้าของสะบัดออกในทันที “ปล่อย! บอกไว้ก่อนว่านี่ผมใจดีมากแค่ไหนแล้ว เห็นแก่มิตรภาพที่เราสร้างร่วมกันมาตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา ไม่อย่างนั้น ป่านนี้ผมต่อยคุณร่วงต่อหน้าคนเป็นพันไปแล้ว” “คุณไม่ได้รักผมแล้วเหรอ?” “อย่างี่เง่าน่าตะวัน คุณจากไปโดยไม่หันหลังกลับมาเหลียวแล คุณคิดว่าผมจะยังอาลัยอาวรณ์คุณจนถึงตอนนี้อยู่อีกเหรอ?” “อะไรทำให้คุณใจแข็งได้ขนาดนี้?” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ไม่คิดว่าคนเคยรักกัน เข้าใจกันจะไม่ยอมอ่อนโอนให้ถึงเพียงนี้ ภาคภูมิที่เขารู้จัก เป็นผู้ชายขี้เล่น ขี้อ้อน ไม่เคยโกรธกับอะไร หากเรื่องนั้นไม่สุดความอดทนจริงๆ Rrrr… ในขณะที่ได้แต่จ้องตากันอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ของภาคภูมิก็ดังขึ้น จิตแพทย์หนุ่มถือโอกาสนี้ละออกมาจากบทสนทนาชวนเวียนหัว หมุนกายกดรับโทรศัพท์ “คุณอยู่ที่ไหน?” คนปลายสายคือคนไข้ของเขา คนที่สั่งให้เขาจองตั๋วเครื่องบินเพื่อไปตามหาคนรัก “ผมอยู่ที่ประตู 11” ภาคภูมิรอฟังคนปลายสาย ได้ยินเสียงวิ่งอย่างร้อนรน กับเสียงประกาศเรียกจากสายการบินต่างๆ ดังเล็ดลอดออกมา ซึ่งเป็นเสียงเดียวกันกับที่เขายืนอยู่ “ผมเจอคุณแล้ว” ภาคภูมิวางสาย หลังเหลียวมองหาใครอีกคน เห็นกว้างขวางวิ่งเข้ามาใกล้ก็ยื่นตั๋วเครื่องบินให้อีกฝ่ายพลางพยายามฝืนยิ้มให้ “โชคดีนะครับคุณกว้าง ผมเอาใจช่วย คุณสุดที่รักจะต้องยอมรับคำขอโทษจากคุณ แล้วก็พร้อมจะให้อภัยคุณแน่ๆ” “ขอบคุณนะหมอ ผมจะรีบทำให้เขากลับมาเป็นของผม เตรียมตัวเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวได้เลย” สีหน้าอีกฝ่ายดูร้อนรน แต่ก็มีความตื่นเต้นอยู่ในที ประกายความหวังที่แผ่กระจายออกมา ทำเอาหมอหนุ่มรู้สึกหัวใจพองโตตามไปด้วย “ผมจะขัดสีฉวีวรรณรอเลยครับ อย่าช้าล่ะ สู้ๆ” กว้างขวางก้มอ่านไฟล์ทบินไปเชียงราย ซึ่งเขาจะต้องขึ้นเครื่องในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า อ่านไปรอยยิ้มก็ผุดพรายออกมา ในสมองวาดฝันถึงสิ่งที่จะทำเมื่อไปถึงที่นั่น วางแผนว่าจะทำอย่างให้เพื่อให้ได้คนรักกลับคืนสู่หัวใจ ทว่าฉับพลันเมื่อเหลือบสายตามองคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า กลับต้องหยุดความคิดนั้นทั้งหมด “เป็นอะไรหรือเปล่า? ทำไมตาแดงๆ” ไม่ถามเปล่า ยังยื่นมือเข้าไปจับต้องใบหน้าของหมอหนุ่ม เพราะคุ้นเคย เป็นเหมือนพี่ชาย ถึงได้ไม่รู้สึกขัดเขิน คิดอะไรเกินเลย แต่แล้วมือแกร่งกลับถูกกระชากออกจากฝีมือของใครอีกคนอย่างรุนแรง “ไอ้นี่เหรอที่ทำให้คุณเปลี่ยนไป?” ตะวันยังไม่ได้กลับ ยังยืนมองท่าทีคนสองคนที่ดูสนิทสนมกันเกินพอดี จึงเข้าใจผิดไปกันใหญ่ คิดว่าที่ภาคภูมิใจแข็งนั้นเป็นเพราะคนตัวสูงรูปหล่อตรงหน้า กว้างขวางขมวดคิ้ว หันมาถามคำอธิบายจากหมอหนุ่ม “อย่าไปสนใจเลยคุณกว้าง รีบไปเช็คอินแล้วเข้าเกทเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันเอา” เห็นท่าทีไม่เป็นมิตรของตะวัน กว้างขวางไม่อาจปล่อยวางได้ “เขาเป็นใคร?” ภาคภูมิหลบเลี่ยง ดุนดันแผ่นหลังกว้างให้ออกเดิน “ไปเถอะน่า ตรงนี้ผมจัดการเอง” กว้างขวางละล้าละลัง เพราะเป็นห่วงภาคภูมิ แต่กับคนสำคัญของหัวใจ เขาก็ไม่อาจปล่อยวางได้เช่นกัน เขาจำใจยอมล่าถอย แต่ก่อนจาก เขาหันมาพูดกับหมอหนุ่มเป็นครั้งสุดท้าย “มีอะไรโทรหาผมนะ ถึงหมอจะไม่เคยเล่าอะไรให้ผมฟังก็เถอะ แต่ผมพร้อมจะอยู่เคียงข้างหมอเสมอ ผมจะไม่ยอมให้คนของผมเป็นอะไรแน่” พูดไปด้วย ตวัดสายตามองชายหนุ่มแปลกหน้าไปด้วย “คุณไม่ใช่เจ้าของผมนะ ขี้ตู่จริงๆ ใครได้ยินเข้าอาจจะเข้าใจผิดได้ รีบไปเลย คุณสุดที่รักรออยู่” กว้างขวางถูกผลักหนักเข้าก็จำยอม หันมามองอย่างเป็นห่วง พลางเดินห่างออกไปเรื่อยๆ เมื่อลับหลังร่างสูงใหญ่ไปแล้ว ตะวันคว้าแขนภาคภูมิให้หันมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง “ตอนนี้ผมรู้แล้วล่ะ ว่าอะไรที่ทำให้คุณใจแข็งกับผม” ภาคภูมิกระชากแขนตัวเองออกห่าง ก่อนจะจ้องเขม็งมองคนตรงหน้าอย่างกล้าหาญ “คุณแน่ใจนะ ว่าคุณคิดถูก? แต่ก็ช่างเถอะ...คุณจะคิดอะไร นั่นมันก็เรื่องของคุณ เราไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว ผมก็ไม่จำเป็นจะต้องอธิบายอะไรให้คุณฟังอีก” เขาบ่ายเบี่ยงเลี่ยงจะคุย พยายามเดินหนีอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกไล่ตาม แถมยังถูกจับไม้จับมือ กระชากลากถูพาไปยังลานจอดรถ “ปล่อยตะวัน! ผมหมดความอดทนแล้วนะเว้ย!” หมอหนุ่มสะบัดแขนออกจากการจับกุมอีกครั้ง สีหน้าเดือดดาล เลือดกายสูบฉีดจนใบหน้า ใบหูแดงก่ำผิดปกติ “ผมกลับมาหาคุณแล้วนะภูมิ เรากลับมารักกันเหมือนเดิมเถอะนะ” ตะวันวิงวอนอย่างหมดมาด “ไม่ตะวัน! ไม่มีอีกแล้ว โอกาสที่คุณร้องขอ ถ้าคุณรักผมจริง คุณจะไม่มีวันทิ้งผมไปมีคนอื่น คุณทำกับผมเหมือนคนไร้ค่า เหมือนของที่คุณกินแล้วก็ทิ้ง คุณทำให้ผมเจ็บปวดทรมานจนแทบกระอัก ผมจะไม่มีวันกลับไปเป็นแบบนั้นอีก จากนี้ไปผมจะใช้ชีวิตอยู่บนความเชื่อของตัวเอง ผมรอคอยได้...” “......” นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองคนตรงหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง ตั้งใจจะพูดกับอีกฝ่ายครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย “ผมเชื่อว่าสักวันจะมีคนที่รักผมจริงๆ รักแบบมั่นคง ผมรอคอยคนๆ นั้นได้”  “......” “นอกจากหัวใจที่โลเล...ผมรู้ว่ามีอีกเรื่องหนึ่งที่คุณรับไม่ได้เกี่ยวกับตัวผม” คนสองคนต่างรู้ดีว่ากำลังพูดถึงอะไร วินาทีหนึ่งคนฟังเหลือบสายตามองยังช่วงท้องของคนพูด “ซึ่งถ้าคุณรับไม่ได้ แน่นอนว่าชาตินี้ทั้งชาติเราก็ไม่มีวันได้ลงเอยกัน เลิกกันไปมีชีวิตของตัวเองเสียตั้งแต่ตอนนี้ มันดีที่สุดแล้วตะวัน” ภาคภูมิเสียงสั่น เมื่อนึกถึงคำพูดในอดีตของชายหนุ่มที่มีให้กับเขา หลังรับรู้ว่าร่างกายของเขาไม่เหมือนกับร่างกายผู้ชายทั่วไป ซึ่งเขาจำได้ขึ้นใจ และนำมาพูดซ้ำอีกครั้ง เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่เคยลืม มือขาวลูบหน้าท้องตัวเองแผ่วเบา “ผมไม่ใช่ตัวประหลาด ผมเป็นคนพิเศษ”  “ภูมิ...ผมขอโทษ” ชายหนุ่มนิ่วหน้า ยืนมือเข้าไปใกล้ หวังจับต้องอีกฝ่ายเพื่อปลอบประโลม ความรู้สึกถาโถมล้นทะลัก ยิ่งได้กลับมาเจอหน้า ความผิดที่เคยได้กระทำไว้ก็ยิ่งส่งผลให้รู้สึกผิดเป็นทวีคูณ ทว่าภาคภูมิกลับส่ายหน้า ชักเท้าถอยหลัง เขาไม่สามารถกลับไปหาอดีตอันเจ็บปวดได้อีกแล้ว เขาไม่เคยลืมแม้แต่วันเดียว ว่าได้ถูกคนรักฝากฝังคำพูดทำร้ายหัวใจมากขนาดไหน “คอยดูนะตะวัน ผมจะตามหาใครคนนั้น คนที่คิดว่าผมเป็นคนพิเศษ ยอมรับในสิ่งที่ผมเป็นได้ และรักผมอย่างมั่นคง” ต้องมีสิ ต้องมีสักคนที่รักในสิ่งเขาเป็น “ไม่! ผมไม่ยอม ผมลาออกจากงานที่อังกฤษเพื่อกลับมาหาคุณ ผมจะไม่ยอมให้คุณเป็นของคนอื่น” ตะวันดื้อด้าน ทวงหาสิทธิ์ที่ควรได้กลับคืนอย่างเอาแต่ใจ ไม่ได้สำนึกผิด มีแต่ความอยากได้ภาคภูมิให้หันมาสนใจและรักใคร่เขาเหมือนอย่างเคย ภาคภูมิเป็นคนรักฝังใจ ต้องเป็นเขา...เป็นเขาที่อีกฝ่ายจะรักไปตลอดชีวิตสิ! “อย่างี่เง่าได้ไหม ตะวัน!” คนสองคนยื้อแย่งกันเหมือนเด็กๆ ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายทะเลาะกันอย่างบ้าคลั่ง กระทั่งคนอายุมากกว่าไม่กี่เดือนอย่างตะวันจะใช้แรงทั้งหมดที่มี ผลักภาคภูมิให้กระเด็น แว่นตากรอบดำร่วงหล่นลงพื้น แผ่นหลังกระแทกประตูรถคันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ตรงนั้น มือขาวข้างหนึ่งฟาดเข้ากับกระจกมองข้าง แรงผลักส่งผลให้มันหักคามือ ความจุกเสียดแล่นปลาบไปทั่วอก ภาคภูมิไอโขลก หอบหายใจ ตะวันย่างสามขุมเหยียบแว่นตาจนกระจกแตกละเอียด ปรี่เข้าไปหมายกระชากอีกฝ่ายให้ไปที่รถตน คืนนี้พวกเขาจะต้องปรับความเข้าใจกันใหม่ เขาเชื่อว่าถ้าได้พูดคุยกันอย่างมีเหตุผลและนานมากกว่านี้ คนตรงหน้าจะต้องโอนอ่อนต่อเขาอย่างแน่นอน ทว่าจังหวะที่มือจับต้นแขนคนตัวบางไว้ได้ กลับเป็นวินาทีเดียวกับที่มีมือใครอีกคนเข้ามากระชากข้อมือเขาออก ทำเอาร่างสูงเซถอยหลังไปหลายก้าว “คุณเป็นใคร อย่ามายุ่ง!” ตะวันมองหน้าอีกฝ่ายก่อนตั้งท่าจะเข้าไปเอาเรื่อง “คุณ! ช่วยผมด้วย!” ภาคภูมิเงยหน้าหรี่ม่านตามองใครคนหนึ่งซึ่งยืนในระยะไม่กี่เมตร แต่ด้วยสายตาสั้นถึงเจ็ดร้อยก็ไม่อาจมองได้ชัดว่าเขาคนนั้นเป็นใคร แต่ในเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเข้ามาช่วยด้วยไมตรีจิต ก็รีบปรี่เข้าไปหลบอยู่ด้านหลัง “เขาไม่ยอม ก็ปล่อยเขาไป” ชายคนนั้นเอ่ยเสียงเรียบ “คุณเป็นคนนอก ไม่เข้าใจเรื่องของผมกับเขาหรอก” ตะวันกดเสียงต่ำ พยายามใจเย็นอย่างถึงที่สุด “ผมก็ไม่ได้อยากยุ่งหรอกนะ แต่รถที่คุณทำกระจกมองข้างพังนั่นมันรถผม” “......” ตะวันมองตามนิ้วที่ชี้ไปยังกระจกมองข้างของรถที่หักจนห้อยต่องแต่ง “จะเอาเท่าไหร่ ผมจะจ่ายให้เดี๋ยวนี้” “ไม่ต้อง เพราะคนที่ต้องชดใช้ไม่ใช่คุณ” ชายหนุ่มคว้าข้อมือภาคภูมิที่ยืนเหมือนคนตาบอด เดินนำทาง ลากให้คนในมือขึ้นรถของตัวเอง ก่อนจะวกกลับมาผลักอกตะวันให้ถอยห่าง “อีกอย่างผมไม่ใช่คนนอก หมอปากมากคนนี้ผมรู้จัก” พูดจบก็ใช้จังหวะที่อีกฝ่ายมึนงงก้าวขึ้นรถ ปิดประตูแล้วขับรถออกไปทันที ////////// “คุณรู้จักผมด้วยเหรอ? จะว่าไปเสียงคุณก็คุ้นๆ อยู่เหมือนกันนะ” หมอหนุ่มเอ่ยขึ้น หลังถูกพาออกมาจากสนามบินได้สักพักแล้ว “คุณนี่เป็นตัวปัญหาจริงๆ นะ เจอกันทีไรมีแต่เรื่องให้ต้องช่วยตลอด” ชายหนุ่มหันไปมองคนที่นั่งทำตาเลื่อนลอยออกไปไกล พอไม่มีแว่นแล้ว ภาคภูมิก็ดูอ่อนวัยขึ้นเยอะ หากไม่รู้จัก เขาคงคิดว่าเพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยมาหมาดๆ แน่ ภาคภูมิหรี่ตาพลางใช้ความคิด น้ำเสียงกับคำพูดเจ็บๆ นี่น้อยคนในชีวิตจะพูดใส่เขาแบบนี้ ฉับพลันสมองก็นึกถึงใครคนหนึ่ง ไม่มีใครอีกแล้วที่จะปากหมากับคนไม่คุ้นเคยได้อย่างนี้ “คุณชยางกูร!” “เออ รู้จักชื่อจริงผมด้วยเหรอ?” “ก็...รู้จากคุณสุดที่รักน่ะ” เปล่าหรอก...เขาโกหก เขารู้ชื่อจริงอีกฝ่ายก็เพราะเมื่อหลายปีก่อน เขาช่วยกว้างขวางสืบประวัติคนรอบกายของคุณสุดที่รักต่างหาก อีกฝ่ายถอนหายใจ ไม่ได้ติดใจอะไร “แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น หมอติงต๊องอย่างคุณนี่มีเรื่องกับเขาเป็นด้วยเหรอ?” “ปากหมาได้โล่” “ว่าไงนะ?” “เปล่า! เขาก็แค่คนงี่เง่าที่มาตามตื้อผมเท่านั้นแหละ เลิกกันไปตั้งสามปีละ เพิ่งจะกลับมาขอคืนนี้ คุณรู้ไหมว่าเขาทิ้งผมไปคบกับนางแบบลูกครึ่งไทย-อังกฤษ สูงยาวเข่าดี หน้าสวยสไตล์ฝรั่งแหละ คบกันแบบลับๆ ก่อนผมจับได้ตั้งหลายเดือนแน่ะ เออ! คุณจำวันที่เราเจอกันที่เขาใหญ่ได้หรือเปล่า นั่นล่ะคือวันที่ผมรู้ ผมนะ...” “เดี๋ยวๆ ผมไม่ได้อยากรู้รายละเอียดขนาดนั้น...ใครอยากฟังวะ” ท้ายประโยคพึมพำในลำคอ คิ้วขมวดมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ เขาไม่ชอบคนพูดมากเท่าไหร่นัก ยิ่งฟังก็ยิ่งรำคาญ ไม่ใช่เรื่องที่อยู่ในความสนใจเขาเลยสักนิด แม้น้ำเสียงท้ายประโยคจะเบาแค่ไหน ทว่านั่งกันอยู่ในรถแค่สองคน มีเหรอที่หมอหนุ่มจะไม่ได้ยิน “เออ!! ใช่ซี้ คุณไม่ฟังเรื่องของใครหรอก นอกจากคุณสุดที่รักน่ะ คุณมันคนใจแคบจริงๆ ผมเจอเรื่องร้ายๆ มานะ แทนที่จะปลอบใจ ไม่ก็รับฟังสักหน่อยก็ยังดี...นี่อะไร ว่าเอาๆ” ภาคภูมินั่งตัวตรง กอดอก เชิดหน้าไปทางกระจกด้านข้าง ชยางกูรเสสายตามองคนทำตัวเป็นเด็กแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า “แก่แล้วนะ ทำแบบนี้คิดว่าน่ารักเหรอ?” ถ้าไม่ขาว ปากไม่จิ้มลิ้ม เขาจะด่าว่าขี้เหร่ให้ เมื่อถูกเหยียดหยันใส่มากเข้า ภาคภูมิถึงกับหน้าแดงก่ำ ความโมโหแล่นปราด สะบัดหน้าหันมาหาคนขับรถหน้าหล่อแต่ปากหมาอย่างขุ่นเคือง “จอดเลยคุณ ผมจะลงตรงนี้” “......” ชยางกูรอมยิ้ม กลั้นขำ “จอด เดี๋ยว นี้ ผม จะ ลง!!” “แน่ใจ?” “แน่ใจสิ ผมเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น” คนฟังเลิกคิ้ว หยักริมฝีปาก พยักหน้า ก่อนจะยอมทำตามคำสั่ง เบรกรถกะทันหัน จนยืนกรานจะลงตัวแทบพุ่งทะลุกระจก “อ่ะ ลงไปได้ละ” เขาออกปากไล่คนอวดดี ไม่มีใจรั้งเลยสักนิด มองเห็นคนๆ นี้เป็นเพียงแค่ตัวตลกที่พูดเจื้อยแจ้ว เหมือนนกขุนทองที่ขยับปากพูดได้ทั้งวันไม่ยอมหยุด ก็แค่คนโชคร้ายที่เจอแต่เรื่องแย่ๆ แต่ยังทำตัวตลกโปกฮาเหมือนไม่มีเรื่องให้ต้องเจ็บช้ำ หลายปีมานี้ เขาเจอกับหมอเพี้ยนคนนี้นับครั้งได้ แต่ทุกครั้งที่ได้เจอ กลับมีแต่เรื่องโชคร้ายเกิดขึ้นอยู่เสมอ แต่เจ้าตัวกลับเพิกเฉย ทำเหมือนทองไม่รู้ร้อน ไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง จะเรียกว่าเข้มแข็งก็คงไม่ผิดนัก เมื่อถูกไล่ คนสายตาสั้นก็ไม่คิดจะอยู่ลับริมฝีปากกับชยางกูรอีก เปิดประตูรถ แล้วก้าวออกไปด้วยความมั่นใจ ก่อนจะปิดประตูใส่เจ้าของอย่างรุนแรง ชยางกูรลดกระจก เฝ้ามองคนยืนเหงื่อแตก ละล้าละลังด้วยนัยน์ตาเลื่อนลอยอยู่ชั่วครู่ “แน่ใจนะว่าไม่ให้ไปส่ง ไปเองได้เหรอจากตรงนี้” “ไม่ครับ คุณไม่ต้องห่วงผม ผมไปเองได้” “ผมไม่ได้ห่วงคุณ” เจ็บลึก... “แต่ตรงนี้มันอันตราย” ถ้าคนสายตาสั้นไร้แว่นรู้ว่าที่นี่คือที่ไหน คงไม่หยิ่งผยองปากดีอย่างนี้แน่ ปิ๊น! เสียงแตรรถดังขึ้นเป็นระยะ ภาคภูมิไม่รู้เพราะมองไม่เห็น ว่าที่นี่คือที่ไหน เลยได้แต่ยืนทื่ออยู่ตรงนั้น คิดเอาไว้ว่าจะโทรเรียกแท็กซี่ให้มารับ แต่รอให้คนปากหมานี่ขับไปเสียก่อน เดี๋ยวเสียฟอร์ม “ขึ้นมาเถอะคุณ ผมไม่แกล้งแล้ว” รถราวิ่งไวจนน่ากลัว ชยางกูรเรียกให้หมอหนุ่มขึ้นรถอย่างยอมแพ้ “ผมบอกว่าไม่เป็นไรไง คุณไปเถอะ” “ดื้อว่ะ หัวรั้นฉิบหาย” คนตัวสูงพึมพำ พลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมามอง อีกไม่ถึงสองชั่วโมง เขาจะต้องเดินทางไปภูเก็ต เพื่อไปทำหน้าที่ช่วยออกแบบภายในให้กับโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโครงการยักษ์ใหญ่ที่กำลังจะเปิดเฟสใหม่ “ตรงนี้มันอันตราย ขึ้นมา เดี๋ยวผมจะไปส่ง” “......” ความอดทนของชยางกูรมีน้อยใครๆ ก็รู้ เขาไม่ใช่คนที่จะยอมทนให้กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง หรือกับเรื่องที่ไม่สำคัญในชีวิต เขาเป็นคนหัวร้อน ใจร้อนง่าย ยิ่งกับคนงี่เง่าพูดไม่รู้เรื่อง เขายิ่งไม่อยากทน “ถ้างั้นก็ตามใจ เป็นอะไรขึ้นมา อย่ามาโทษกันทีหลังก็แล้วกัน” ในเมื่อไม่ยอมขึ้นรถ ทั้งๆ ที่ยอมอ่อนข้อให้ ก็สุดจะรั้งแล้วล่ะ ว่าที่สถาปนิกหนุ่มผิวเข้ม ใบหน้าหล่อเหลาระดับเดือนมหาวิทยาลัยใส่เกียร์ เหยียบคันเร่ง ขับจากไปทันที ทิ้งไว้ให้ภาคภูมิยืนอยู่ตรงนั้น ด้วยสายตาที่มองเห็นแทบจะเป็นศูนย์ ระยะห่างเพียงไม่กี่ก้าว สีสันในม่านตาก็เหมือนกับภาพวาดสีน้ำเลือนๆ จึงทำให้ชายหนุ่มร่างบางไม่อาจรู้ว่าตนกำลังยืนอยู่บนถนนยกระดับ ไม่ต่างอะไรกับทางด่วนเลยสักนิด ปิ๊นนน! เสียงบีบแตรทำให้หมอหนุ่มเตลิด มองซ้ายมองขวา จังหวะหนึ่งควานมือออกไปข้างหน้า ก่อนจะก้าวเดินทีละก้าว “เชี้ย ลืมถามว่าอยู่ส่วนไหนของกรุงเทพ” ภาคภูมิสบถ ก่อนจะล้วงเอามือถือขึ้นมากด “เชี้ย...มองไม่เห็น” จะกดเบอร์หาแท็กซี่ได้อย่างไร ในเมื่อตามองไม่เห็นแม้แต่มือของตัวเอง ยกหน้าจอขึ้นมาแทบจะชิดก็แล้ว แต่ก็เห็นตัวอักษรได้เพียงแค่ลางๆ “โบก ต้องโบกแท็กซี่” เพราะทัศนวิสัยเกือบเป็นศูนย์ ทำให้หมอหนุ่มไม่รู้ระยะที่ตนยืนอยู่กับถนนเลนแรก หรี่ม่านตามองไกลๆ เห็นภาพรถคันหนึ่งแล่นเข้ามาใกล้ สีเหลืองเขียวลางเลือนแต่ก็เข้าใจได้ว่าเป็นแท็กซี่อย่างแน่นอน เขาดีใจยกมือโบก เผลอก้าวเข้าไปใกล้ถนนอีกก้าวหนึ่ง ปิ๊นนน!!! แท็กซี่คันนั้นตกใจเมื่อเห็นคนที่ไม่น่าจะมายืนอยู่บนทางยกระดับนี้ได้ เดินทะเร่อทะร่าเข้ามาใกล้ ด้วยความเร็ว คิดว่าคงเบรกไม่ทันแน่ จึงกดแตรไล่เสียงดังสนั่น จังหวะนั้นเองที่หมอหนุ่มถูกกระชากตัวจากคนด้านหลัง ร่างทั้งร่างเซล้มกระแทกใส่ร่างใครอีกคนเข้าอย่างจัง “เป็นอะไรหรือเปล่า?!” เสียงเข้มดุดัน สีหน้าแตกตื่น มองคนบนร่างด้วยความตกใจ “ผม...มองไม่เห็น” “เกือบโดนรถชนแล้วรู้ตัวหรือเปล่า!!” ชยางกูรกระชากเสียงใส่ ถ้าเขามาไม่ทัน หมอตัวบางคนนี้คงไม่รอดแน่ หลังจากทำทีเป็นขับรถออกห่าง เขาได้แต่เหลือบมองการกระทำของภาคภูมิ ไม่คิดว่าหมอหนุ่มในคราบเด็กเนิร์ดจะมองไม่เห็นถึงขั้นก้าวขาเข้าไปในถนน มองไม่เห็นด้วยซ้ำว่ารถกำลังจะพุ่งเข้ามาชนตัวเอง ใครคนนี้มาพร้อมกับความโชคร้ายจริงๆ นอกจากโชคร้าย ยังดวงซวย ห่วยแตกอย่างฉุดไม่อยู่อีกด้วย แต่ความโชคร้ายที่เกิดขึ้นกับภาคภูมิเมื่อครู่นั้น ชยางกูรจะไม่สนใจเลย ถ้ามันไม่เกิดจากฝีมือของเขา ครั้งนี้เป็นความผิดของเขา ซึ่งเขาต้องรับผิดชอบ “เกือบไปแล้ว” ภาคภูมิยังตกอยู่ในภาวะช็อค จึงพึมพำอยู่คนเดียว คนพิเศษอย่างเขา ถ้าตายไป ใครสักคนบนโลกต้องเสียดายและเสียใจแน่ๆ ฉับพลันที่คิดเช่นนั้น มือบางเผลอไผลลูบที่หน้าท้องของตัวเอง ชยางกูรขมวดคิ้วมองคนบนกายที่ทำตัวยุกยิก นัยน์ตาเลื่อนลอย ริมฝีปากกระจับสวยขมุบขมิบ “บริกรรมคาถาเหรอ?” ภาคภูมิชะงัก เหมือนได้สติหลังได้ยินคำพูดไม่เข้าหูของอีกฝ่าย แถมยังเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังนอนอยู่บนร่างของชยางกูร เขาหน้าเหวอ ก่อนจะรีบยันกายลุกขึ้นยืน “ลูบท้องทำไม?” “ป...เปล่า ผมแค่หิว คุณต้องรับผิดชอบผมเลยนะ” ชยางกูรถอนหายใจ ลอบมองริมฝีปากจิ้มลิ้มสีแดงฉ่ำโดยไม่รู้ตัว “เออ ผมจะรับผิดชอบคุณ พาไปหาอะไรกิน แล้วจะไปส่งกลับบ้าน” เขาพูดพลางก้มมองนาฬิกาบนข้อมือ คงต้องซื้อตั๋วใหม่ “รับผิดชอบแน่นะ ผมไม่ชอบคนไม่แน่นอนนะ ไปให้สุด แล้วหยุดที่สุกี้” คำพูดของภาคภูมิ ทำเอาคนหัวร้อนขำพรืด ส่ายหน้าคลายหัวคิ้ว มองคนตรงหน้าด้วยความขบขำ “อือ รับผิดชอบ ผมก็ไม่ใช่คนชอบพูดเล่น พูดคำไหนคำนั้น”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม