ระหว่างที่คนสองคนกอดกันกลมอยู่หน้าบ้าน ก็มีใครอีกคนเดินออกมาจากห้องนอน เจ้าของเสียงทุ้มต่ำมีผ้าเช็ดตัวคาดที่เอวเพียงผืนเดียว ปรากฏอยู่เบื้องหลังเด็กชายทานตะวัน วินาทีนั้นคนมาใหม่ถึงกับอ้าปากค้าง มองเรือนร่างกำยำเกาะพราวไปด้วยหยาดน้ำไม่วางตา
“คุณชยางกูร ส...สวัสดีครับ” หน่องรีบยืนขึ้นแล้วยกมือไหว้ลูกพี่ลูกน้องของคุณของขวัญ
ชยางกูรพยักหน้าให้คนอายุมากกว่าตนสี่ห้าปีอย่างคุ้นเคย ก่อนหันไปหาหลานชาย
“ว่าไง ไม่เห็นมีเสื้อผ้าของพ่อเลย น้าทิ้งกระเป๋าน้าไว้ตรงที่ก่อสร้างนู่น” เป็นความสะเพร่าของเขาแท้ๆ วาดรูปจนลืมของๆ ตัวเอง ป่านนี้คงเปียกชุ่มใช้งานไม่ได้แล้ว
“ที่นี่เป็นบ้านของน้องทานตะวันครับ ส่วนเสื้อผ้าของคุณภพอยู่ที่บ้านพักหลังโรงแรม”
“ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหรอ?” ชยางกูรมองหาคำตอบจากทั้งสองคน หน่องรีบอธิบายต่อ
“คือบ้านหลังนี้เป็นความประสงค์ของน้องทานตะวันที่อยากมาอยู่คนเดียว แต่คุณภพก็มานอนด้วยทุกคืนนะครับ แค่ช่วงกลางวันเท่านั้นที่เขาออกไปทำงาน น้องทานตะวันก็เก่งจะตาย อยู่คนเดียวได้สบายเลยเนอะ” หน่องย่อกายคุยเล่นกับเด็กชาย ทานตะวันยิ้มแล้วพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเงยมองคนเป็นน้า
“ทานตะวันอยู่ที่นั่นไม่ได้ อยู่บนนี้มันสงบกว่า เพราะคิดถึงแม่มากเกินไป บางทีเห็นหน้าพ่อภพก็นึกถึงแต่แม่ขวัญ”
ได้ยินอย่างนั้นชยางกูรก็พอทำความเข้าใจได้ ธนภพไม่ได้ละเลยลูก ยังคงทำหน้าที่พ่อได้ไม่ขาดตกบกพร่อง อีกอย่างทานตะวันก็เริ่มจะโตแล้ว อีกไม่กี่ปีก็สิบขวบ คงอยากมีเวลาเป็นของตัวเอง อยู่ใกล้โรงแรมวุ่นวายน้อยเสียที่ไหน
“อีกอย่าง...ที่คุณภพไม่ย้ายของทั้งหมดมาที่นี่ ก็เป็นเพราะรอคอยให้น้องทานตะวันกลับไปอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมน่ะครับ” หน่องเอ่ยพลางลูบศีรษะเด็กชายเบาๆ เจ้านายของเขาเชื่อว่าสักวันหนึ่งอันใกล้นี้ ลูกชายของเขาจะหายดี และกลับไปอยู่บ้านหลังนั้นด้วยกันดังเดิม
“เรื่องนี้เราต้องคุยกันอีกยาว อีกหน่อยถ้าทำใจได้แล้ว ทานตะวันจะต้องกลับไปเรียนหนังสือ” ชยางกูรกำชับ เตือนหลานชาย ก่อนจะปล่อยวางเรื่องเครียดไปชั่วคราว แล้วหันไปหาหน่อง “หน่องอยู่เป็นเพื่อนทานตะวันที่นี่ ผมจะเอารถไปเอาเสื้อผ้าพี่ภพ ที่โรงแรมมียาทาแก้ฟกช้ำไหม?”
“มีค่ะ เอ๊ย! มีครับ” พูดผิดพูดถูกเพราะโดนความหล่อเข้มกระแทกใจ จนกระทั่งชายหนุ่มแบมือขอกุญแจรถ หน่องเพิ่งรู้ตัวว่ามองน้องเจ้านายนานเกินไป เขารีบล้วงเอากุญแจรถยนต์ออกจากกางเกงแล้วยื่นให้
“รออยู่นี่นะ” ชยางกูรยีผมทานตะวัน ก่อนจะกลับเข้าไปในห้องเพื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ด้วยความจำเป็น เขาใส่กางเกงยีนส์และเสื้อยืดตัวเดิมอีกครั้ง
เขาเคยมาที่นี่ แม้ไม่บ่อยนัก แต่ก็พอจำที่ทางต่างๆ ได้ เชิงเขาตรงนี้ เป็นอีกฟากหนึ่งของเกาะ ต้องขับรถไปตามถนนในระยะทางเกือบห้ากิโลเมตรจากที่นี่ถึงจะไปโรงแรมหลักได้
รอยฟกช้ำเต็มหน้าท้องและสีข้างยังคงติดตาคนเป็นน้า ชยางกูรรีบขับรถลงเชิงเขาออกสู่ถนนสองเลนส์ ลัดเลาะไปตามทาง ด้านซ้ายคือท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ด้านขวาเป็นเนินเขามีป่าไม้รกทึบ
หลังพายุเคลื่อนตัวจากไป แสงอาทิตย์ยามอัสดงที่ขอบฟ้าก็เผยให้เห็น สีส้มนวลตาฉาดฉายทั่วผืนน้ำ ทั่วท้องฟ้า นกหลายชนิดบินเกาะกลุ่มกันกลับรัง รถยนต์แบบโฟล์วีลแล่นฉิวอย่างราบรื่น คนขับไม่คิดชื่นชมความงามของธรรมชาติ เพราะเอาใจใส่แต่อาการของหลานชาย
ไม่กี่นาทีก็มาถึงโรงแรมหรูเจ็ดชั้น ทุกห้องเป็นแบบซีวิวหันหน้าออกทะเล ด้านหน้าโรงแรมเป็นสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ล้อมรอบด้วยสวนดอกไม้และมีม้านั่งให้นั่งเล่น โซนขวามีมินิบาร์ริมสระน้ำ ใกล้กันเป็นลานสนามหญ้าโล่งๆ มีไว้สำหรับจัดงานแต่งงานหรือปาร์ตี้แบบส่วนตัว เดินลงบันไดไม้ไปไม่กี่ขั้น ก็จะมีผืนทรายละเอียดรองรับ ห่างไปไม่กี่เมตร คลื่นทะเลสีใสก็พร้อมรอต้อนรับนักท่องเที่ยว
รถโฟล์วีลเปื้อนดินโคลนจอดเทียบตรงลานจอดหน้าอาคาร ดอร์แมน คนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้พลางยกมือไหว้
“สวัสดีครับคุณชยางกูร ผมทราบมาว่าคุณชะจะมา แต่ไม่คิดว่าจะเป็นวันนี้”
เขายกมือไหว้ตอบคนอายุเยอะ
“ผิดนัดพี่ภพหลายวันแล้วครับ นี่ก็เพิ่งจะได้มา ลุงเอี่ยมพอจะหายาทาแก้ฟกช้ำตามร่างกายให้ผมได้หรือเปล่า?”
“ได้สิครับ! โรงแรมเรามีห้องพยาบาล เดี๋ยวกระผมไปเอามาให้นะครับ”
“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มยืนรอคนรีบกุลีกุจอวิ่งเข้าอาคาร ตั้งใจว่าเดี๋ยวได้ยาเมื่อไหร่ก็ค่อยขับรถวนไปหลังโรงแรมเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
ทว่าจังหวะนั้นเอง ที่เขาหมุนกายหันไปมองบรรยากาศเรื่อยเปื่อย สายตาดุดันกลับสบเข้ากับสปีทโบ๊ทลำหนึ่ง ซึ่งกำลังแล่นเข้ามาใกล้ ก่อนหยุดจอดตรงชายหาดพอดี เขาหรี่ม่านตามองให้ชัด ว่าคนที่ก้าวลงจากเรือนั้น เป็นคนในความคิดหรือไม่
แล้วก็เป็นพี่เขยของเขาไม่มีผิด
ชยางกูรเหมือนคนถูกตรึงความสนใจ เมื่อธนภพไม่ได้เศร้าสลดอย่างที่คิด เพิ่งออกจากไว้ทุกข์ได้ไม่กี่สัปดาห์ คนเป็นพี่เขยทำไมถึงหัวเราะได้เต็มปากขนาดนั้น
ความสงสัยหายไป เมื่อมีร่างอีกร่างหนึ่งปรากฏขึ้น ผู้ชายร่างสูงผิวขาว คนหนึ่งยืนตรงกาบเรือก่อนหันหลังเตรียมลงบันไดเรือ โดยมีมือพี่เขยของเขารอรับเอาไว้ เสี้ยวจังหวะเรือลำเล็กเกิดโคลงเคลงด้วยคลื่นทะเล ร่างทั้งร่างจึงเสียการ ทรงตัว กายบางร่วงจากบันได ก่อนตกไปอยู่อ้อมแขนของธนภพพอดิบพอดี
ชยางกูรคิ้วกระตุก หลังเห็นคนสองคนยิ้มให้กันแบบเจื่อนๆ
“ได้แล้วครับคุณชะ นี่ครับ”
ลุงเอี่ยมกลับออกมาพร้อมหลอดยาแก้ยกช้ำในมือ ทว่าความสนใจของชายหนุ่มไม่ได้อยู่ตรงนี้อีกแล้ว ชยางกูรเกิดอารมณ์ขุ่นเคือง นึกเทียบอารมณ์ของพี่เขยและหลานชาย มันช่างต่างกันลิบลับ คนหนึ่งทำร้ายตัวเองเพื่อหลีกหนี ความเจ็บปวด ในขณะที่อีกคนกลับทำหน้าตาระรื่น ริอ่านเริ่มสัมพันธ์ใหม่กับคนอื่นได้อย่างหน้าชื่นตาบาน
เขาคว้ายาในมือลุงเอี่ยม ก่อนจะเดินอาดมุ่งตรงไปยังคนสองคนที่ยังยืนคุยกันอยู่ตรงนั้น ทันทีที่มาถึง เขาเบิกตาโพรงเมื่อคนที่อยู่ในอ้อมแขนธนภพเมื่อครู่ เป็นจิตแพทย์หนุ่มผู้น่ารำคาญ
ไอ้หมอนี่อีกแล้ว!
“คุณ?” คนตัวขาวเองก็ดูตกใจไม่แพ้กัน เอ่ยทักเขาอย่างมึนงง
“อ้าวชะ มาได้ไงวะ?” ธนภพทักลูกพี่ลูกน้องของภรรยาด้วยความแปลกใจ
ธนภพรู้ว่าชยางกูรจะมา เพราะเป็นคนรับว่าที่สถาปนิกหนุ่มไฟแรงมาฝึกงานออกแบบภายในให้กับโรงแรมเฟสใหม่ด้วยตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าจะมาวันนี้ อีกฝ่ายไม่ได้โทรแจ้ง สามวันก่อนบอกแค่ว่าจะขอเลื่อนไปก่อนเพราะมีธุระเร่งด่วน
“ทำไมไม่โทรบอกพี่ พี่จะได้ไปรอรับ เนี่ยพี่ก็เพิ่งไปรับ...”
“คนสำคัญ” ชยางกูรพูดแทรก เป็นเหตุให้ธนภพปิดปากฉับ ส่วนคนนอกอย่างภาคภูมิยังคงมึนงง ได้แต่มองชายหนุ่มสองคนคุยกัน เสี้ยววินาทีหนึ่งชยางกูรเหลือบแลมองคนนอก “ผมเพิ่งรู้ ว่านอกจากพี่ขวัญกับทานตะวันแล้ว พี่ภพยังให้ความสำคัญกับคนอื่นอีก”
“พูดเรื่องอะไรวะ?” ธนภพไม่เข้าใจ แถมยังเลือกที่จะแนะนำภาคภูมิให้น้องชายได้รู้จัก “ก็ต้องสำคัญดิ นี่หมอภาคภูมิ รุ่นน้องพี่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เขาจะมาดูแลทานตะวันให้พี่”
“ดูแล? แค่พี่ภพคนเดียวไม่พอหรือไง ทำไมต้องยัดเยียดคนอื่นให้ทานตะวัน”
ชยางกูรหงุดหงิดธนภพ และพาลไปถึงคนด้านหลัง แล้วตอนนี้เขาก็กำลังหงุดหงิดตัวเองด้วย ที่ทำตัวเหมือนเป็นเมียแทนพี่ขวัญเสียอย่างนั้น
ถึงภาคภูมิจะเป็นผู้ชาย และพี่ภพก็ไม่ใช่พวกชอบเพศเดียวกัน แต่สำหรับฉากเมื่อครู่ และคำว่าคนสำคัญ ชยางกูรอดระแวงไม่ได้ พี่สาวของเขาทำอะไรผิด ทำไมถึงมีคนมาแทนที่ได้เร็วขนาดนี้
“พี่ว่าชะต้องเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง...”
“เรื่องนี้เอาไว้ก่อนเถอะครับ ผมว่าตอนนี้...คนที่พี่ภพควรให้ความสำคัญควรเป็นลูกชายของพี่มากกว่า” ชยางกูรตัดบทเพราะรำคาญที่จะฟัง ถึงฟังแล้วทำความเข้าใจก็ไม่อาจลดอคติที่มีต่อไอ้หมอนั่นได้อีกแล้ว ทุกครั้งที่มีเรื่องแย่ๆ เกิดขึ้น มันมักจะมีคนๆ นี้เข้ามาเกี่ยว ซึ่งเขาไม่โอเค
เขาคว้าแขนธนภพ ก่อนจะยัดกุญแจรถกับยาทาแก้ฟกช้ำให้ เจ้าของโรงแรมก้มมองของในมือ แล้วเงยสบตาน้องชาย
“พี่ไม่รู้หรอกว่าระหว่างที่พี่มีความสุขกับคนสำคัญ ทานตะวันต้องเจอกับอะไรบ้าง โชคดีที่ผมอยู่ที่นั่น”
คนเป็นพ่อไม่คิดถามหาสิ่งที่ไม่เข้าใจอีกแล้ว เมื่อได้ยินว่าลูกชายเพียง คนเดียวต้องเผชิญหน้ากับบางสิ่งบางอย่างเพียงลำพัง ซึ่งทั้งสีหน้าและแววตาของชยางกูรบ่งบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องดี วินาทีนั้นเขารีบหุนหันวิ่งไปที่รถ แล้วเหยียบคันเร่งออกตัวไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้ให้แขกคนสำคัญอยู่กับคนดุดันไม่เป็นมิตร
เมื่ออยู่กันสองต่อสอง ว่าที่สถาปนิกหนุ่มก็เปิดฉากทันที
“รู้จักกับพี่ภพได้ยังไง?”
แม้จะยังมึนงง แต่ภาคภูมิก็ยังตอบออกไป
“เมื่อกี้พี่ภพก็บอกคุณไปแล้วนี่ ว่าเราเป็นพี่น้องร่วมสถาบัน”
“แล้วมาทำไม?”
“พี่ภพก็บอกอีกนั่นแหละ ว่าผมมาดูแลทานตะวัน” หมอหนุ่มส่ายหน้า กรอกสายตาไปมา ท่าทางไม่ยี่หระสร้างความหงุดหงิดให้คนมองไม่น้อย
“ดูแลลูกอย่างเดียว หรือมาดูแลพ่อด้วยล่ะ” เขากระแนะกระแหน
“ห้ะ?” ภาคภูมิขมวดคิ้ว มองคนที่ยืนซักไซ้ไล่เรียงอย่างเหลือเชื่อ “ผมว่าคุณไปกันใหญ่แล้ว ผมมาในฐานะ...”
ใช่...ชยางกูรคิดไปไกลมาโข เพราะเป็นผู้ชายเถื่อนๆ เห็นอย่างไร ก็คิดไปอย่างนั้น ตรงๆ ไม่มีอ้อม เขาปรี่เข้าไปคว้าข้อมือของภาคภูมิ บีบแน่นจนแทบหัก อีกฝ่ายนิ่วหน้า พยายามแกะมือแกร่งออก
“จะในฐานะอะไรผมไม่สน แค่อย่ามาในฐานะเดียวกับพี่ขวัญ เมียของพี่ภพที่ตายไป คือลูกพี่ลูกน้องของผม บอกไว้ก่อน ว่าถ้าคุณคิดจะตีตัวเทียบเท่าพี่ขวัญ ผมไม่เอาคุณไว้แน่”
“คุณมันคิดอกุศลจริงๆ ผมกับพี่ภพไม่ได้มีอะไรเกินเลย อะไรทำให้คุณคิดแบบนี้นะ บ้าไปแล้ว! เขาทำให้ผมกับตะวันสมหวังกันด้วยซ้ำ!” สาบานให้ตาย ว่าเขาไม่เคยมองธนภพไปในทางชู้สาว “ที่ผมมาที่นี่ก็มาในฐานะจิตแพทย์ เพื่อรักษาอาการซึมเศร้าของทานตะวันต่างหาก!”
สิ้นคำพูดกระแทกกระทั้น คนฟังถึงได้รู้ความจริง ความเข้าใจผิดทั้งหมดถูกคลายออกพร้อมกับฝ่ามือแกร่ง หมอหนุ่มยามนี้หน้าแดงเถือก ทั้งร้อน ทั้งเจ็บ รีบผลักอกชยางกูรให้ออกห่าง
คนถูกผลักหน้าตึงหลังรู้ว่าตัวเองคิดผิดทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้นจิตก็ยังคง สั่งการให้ระแวงคนตรงหน้าไปแล้ว เขาสำทับแบบไม่ยอมรับผิด
“ก็อย่าให้มีแล้วกัน! ใจคนเราไม่ใช่ภูผาที่จะแข็งได้ตลอดเวลา ขนาดน้ำเซาะหินทุกวัน หินมันยังกร่อนเลย อย่าให้รู้ว่าคิดกับพี่ภพไปในทางนั้น”
“ถึงผมจะไม่ใช่คนดี แต่ก็ผมก็ให้เกียรติคนตาย อีกอย่างพี่ภพเป็นพี่ชายที่ดี ผมไม่มีวันคิดเป็นอื่น”
“ขอให้มันแน่”
ภาคภูมิตีหน้าระอา ก่อนจะผ่อนลมหายใจ ถอนตัวออกจากคู่สนทนา จู่ๆ ชยางกูรก็เข้าหาราวกับงูมีพิษรัดรอบกาย เมื่อได้สิ่งที่ต้องการไปแล้วก็ค่อยคลายออกทำตัวราวกับว่าเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผู้ชายคนนี้อารมณ์ร้ายจริงๆ
ท่าทางจะรักพี่สาวคนนั้นมาก ถึงได้หวงพี่ภพกับทานตะวันอย่างกับเป็นงูจงอางหวงไข่ขนาดนี้
เมื่อได้รับความกระจ่าง คนตัวสูงก็ไม่คิดเสวนากับหมอหนุ่มอีก ชยางกูร หมดความสนใจ เดินลุยน้ำระดับหัวเข่ากลับขึ้นไปบนชายหาด ส่วนภาคภูมิที่ถูก หมาบ้ากัดแล้วปล่อย ก็หันไปทางเรือ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าลืมกระเป๋าเดินทางเสียสนิท
ร่างบางก้าวขึ้นบันไดเชือกขึ้นไปบนเรือ ก่อนจะลากกระเป๋ามาวางไว้ตรงกาบเรือ กระเป๋าสองใบใหญ่เทอะทะ เพราะข้าวของต้องเตรียมมาเพื่ออยู่ให้ได้ภายในสองเดือน ใบหน้าจิ้มลิ้มขบคิด เขาจะเอามันลงเรือโดยที่ของด้านในไม่เปียกได้อย่างไร ในเมื่อสปีดโบ๊ทจอดลอยคอห่างจากฝั่งก็หลายเมตร
จังหวะคับขันเขาเหลือบมองแผ่นหลังกว้างที่เดินขึ้นฝั่งไปแล้ว เห็นความแล้งน้ำใจก็ไม่คิดจะร้องขอถามหา หมอหนุ่มขบฟัน พ่นลมหายใจ ตัดสินใจทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เอาตัวเองลงก่อนเป็นอันดับแรก พอสองขายืนหยัดลงผืนทรายใต้น้ำได้แล้ว ก็เอื้อมมือทั้งสองไปยกกระเป๋าสีเงินขนาดใหญ่ไว้บนหัว
“ไอ้พิมพ์...บอกแล้วว่าโลชั่นขนาด 650 มิลไม่ต้องยัดมาให้”
แถมยัดมาให้ซะเยอะเลย!
ความหนักระดับเกือบสิบกิโลบวกกับคลื่นทะเลยามเย็นที่ขึ้นสูง สร้าง ความไม่มั่นคงให้แก่คนร่างบางเป็นอย่างมาก ถึงภาคภูมิจะเป็นคนกินจุ แต่กินอย่างไรก็ไม่ยักกะอ้วน อาจเป็นคนเผาผลาญดีก็ว่าได้ เดินออกห่างเรือได้ไม่เท่าไหร่ ตัวเรือกลับโคลงเคลงไปมาจนกระแทกแผ่นหลังเข้าอย่างจัง
กระเป๋าใบโตหลุดออกจากมือ กายสูงหน้าคะมำลงทะเลสุดเค็ม
ตู้มมม!!
“อ้าวคุณหมอ!” ลุงเอี่ยมที่เห็นคนสองคนยืนเถียงกันมานาน กึ่งเดินกึ่งวิ่งเลาะสระว่ายน้ำ ลงชายหาดเข้าไปหา ยิ่งเห็นหมอหนุ่มที่คุณธนภพเกริ่นมาก่อนหน้าว่าจะมารักษาอาการคุณหนูแบกกระเป๋าเองก็ยิ่งกังวล รวมถึงด้านหลังในตัวอาคารมีพนักงานอีกสองคนที่เพิ่งต้อนรับแขกนักธุรกิจเสร็จ อีกทั้งยังมีไลฟ์การ์ดริมหาดที่เพิ่งกลับมาจากการไปตรวจตรายังมุมอื่น ทุกคนที่ทันเห็นเหตุการณ์ต่างรีบทยอยวิ่งตามเข้าไปหวังจะช่วย
เมื่อได้ยินเสียงเหมือนคนกระโดดน้ำ ชยางกูรหันกลับไป เห็นกระเป๋าเดินทางสีเงินกึ่งจมกึ่งลอยอยู่ในน้ำ พร้อมกับร่างเจ้าของที่ตะเกียกตะกายอยู่ครู่หนึ่ง
“ช่วยด้วยครับ! ช่วยด้วย!” ภาคภูมิลนลาน สำลักน้ำ แข้งขาอ่อนถูกคลื่นทะเลดูดให้ถอยออกไปไกล
“คุณชะครับ คุณหมอ...” ลุงเอี่ยมทำท่าจะลงน้ำ แต่ด้วยความสูงวัย ทำให้คนแก่ใกล้เกษียณได้แต่ยืนยักแย่ยักยันด้วยความกลัว
“ไม่ต้องลุง”
ชยางกูรจับไหล่ลุงเอี่ยมห้ามเอาไว้ ก่อนจะถอดเสื้อยืดออก และเป็นเขาที่เดินลงสู่ทะเลอีกครั้ง
สุดสายตามองเห็นร่างบางกำลังดำผุดดำว่ายอย่างทุรนทุราย จากตอนแรกเห็นเป็นความรำคาญระคายตา กลับกลายเป็นว่าตอนนี้เขาชักเริ่มร้อนรน
ธรรมชาติไม่เคยปรานีใคร แม้แต่มนุษย์ผู้ถูกกระทำอยู่ตลอดเวลาเช่นภาคภูมิ จิตแพทย์หนุ่มว่ายน้ำเป็น แต่ต้องไม่ใช่กับคลื่นยักษ์ยามน้ำขึ้นแบบนี้ เขาเหมือนถูกน้ำวนดูดร่างให้ห่างออกไปเรื่อยๆ
“ช่วย!” กายบางสำลักน้ำ แสบทั้งตา แสบทั้งลำคอ ยกมือเหยียดขึ้นสูง ปลายเท้าเหยียดยันพื้นแทบไม่ถึง
แสงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปในที่สุด ยามเย็นโพล้เพล้แบบนี้ดูน่ากลัวเหมือนพร้อมจะกลืนกินมนุษย์ลงไปอีกสักคน
ทว่าไม่นาน ก็มีสุภาพบุรุษในคราบหมาบ้า ว่ายเข้ามาประชิดตัวและคว้าร่างภาคภูมิเอาไว้ได้ แขนแกร่งสอดรัดรั้งเอวบาง ประคองร่างให้ลอยขึ้นเหนือน้ำ ในขณะที่ตัวเองก็ดีดขาเอาไว้ ภาคภูมิรีบยกแขนคล้องคอชยางกูร ก่อนจะปาดน้ำทะเลออกจากใบหน้า ไอโขลกจนหน้าแดง หูแดง
“เป็นบ้าอะไร อยู่ตรงน้ำลึกแค่เข่าแท้ๆ มาอีกทีเกือบจมน้ำตายแล้วไหมล่ะ? ทำไม? เรียกร้องความสนใจเหรอ?”
“เปล่านะ”
เขาไม่ได้เรียกร้องความสนใจ ถ้าจะเรียก เขาเรียกให้ช่วยแบกกระเป๋าขึ้นไปก่อนไม่ดีกว่าเหรอ ใครจะลงทุนทำเป็นจมน้ำแบบนี้วะ
คลื่นยักษ์ซัดคนทั้งคู่ให้ลอยกระเพื่อม จังหวะหนึ่งร่างภาคภูมิเหมือนจะจมลง เป็นชยางกูรที่กอดกระชับเอวบางแล้วอุ้มขึ้นให้อยู่เหนือตัวเอง เขารอจนกว่าภาคภูมิจะตั้งสติได้ มือบางยันบ่าแกร่งเอาไว้ น้ำทะเลทำเขาแสบตาไม่ใช่เล่น นานทีเดียวกว่าจะปรับสภาพได้ เมื่อเริ่มดีขึ้น หมอหนุ่มจึงก้มลงมองคนช่วยชีวิต...
...ซึ่งใบหน้าอยู่ห่างกันเพียงคืบ
“ขอบคุณ”
“มันเป็นวันซวยของผมอีกวันเท่านั้นที่เจอคุณ”
ใบหน้าจิ้มลิ้มสลดลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อได้ยินคำตอบรับแสนใจร้าย
ในขณะที่หมอหนุ่มสงบปากสงบคำ อยู่ในอากัปกิริยาที่เรียกว่านิ่งเฉย คนมองกลับใช้โอกาสนี้พินิจมองวงหน้าขาวโดยไม่รู้ตัว ชยางกูรจดจ้องเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเสียใจกับคำพูดของเขา
“เสียใจเหรอที่ผมไม่อยากเจอคุณ”
“ใครเสียใจ?” คนฟังหน้าเหวอ รีบตวัดสายตาใส่คนพูด
“คุณจะอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่?” ชยางกูรเปลี่ยนเรื่อง กระชับวงแขนเอาไว้แน่น
“สองเดือน”
“งั้นคุณกับผมคงได้เจอกันทุกวัน”
“คุณมาที่นี่ทำไม? มาพักผ่อนเหรอ?”
“ไม่อยากตอบ”
“กวนมาก ทีผมยังบอกเลย”
“ใครใช้ให้บอก เดี๋ยวคุณก็รู้เองล่ะ แต่ระหว่างที่อยู่ที่นี่...”
“......” ภาคภูมิรอฟัง
“ห้ามหลงรักพี่ภพ ห้ามอ่อย ห้ามทำตัวน่าเอ็นดูให้พี่ภพเห็น”
นึกว่าจะมีอะไร ที่แท้ก็หลอกบริภาษใส่กัน ภาคภูมิเอือมระอา ส่ายหน้าแทนคำพูด
“ผมบอกไว้ก่อน ว่าอยู่ที่นี่คุณไม่ใช่คนสำคัญของใคร ห้ามคิดว่าตัวเองสำคัญ เข้าใจไหม?”
“เข้าใจแล้วครับบบบ ผมมาที่นี่เพื่อรักษาทานตะวันให้หายจากโรคซึมเศร้า พอเขาดีขึ้นเมื่อไหร่ ผมจะไปจากที่นี่ทันที ไม่อยู่รอให้คุณเหม็นขี้หน้า หรือรอให้คุณเรียกว่าตัวซวยอีกเป็นอันขาด ลาขาด ไม่พบเจอกันอีกเลย คุณว่าโอเคไหม?”
ได้ฟังเช่นนั้น ชายหนุ่มตัวสูงจึงผ่อนคลายท่าทีเพราะพึงพอใจเป็นอย่างมาก ข้อตกลงนี้พวกเขารู้กันเพียงสองคนเท่านั้น ภาคภูมิจะไม่ทำตัวให้สำคัญ จะดูแลหลานของเขาแค่ในหน้าที่ ไม่มีความรู้สึกอื่นมาปะปน สองเดือนเมื่อไหร่ คนๆ นี้ก็จะหายไปจากสารบบชีวิตของธนภพ ทานตะวัน และเขา
หลังจากนั้นวันซวยๆ ของเขาก็จะได้หมดไป แล้วก็จะได้เลิกระแวงสักทีว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาแทนที่พี่ขวัญ
ลาขาด...ไม่พบเจอกันอีกเลย
ตอนนี้ฟังดูเข้าท่า...แต่ภายภาคหน้าไม่มีใครรู้ ว่าคำสองคำนี้ได้ทำให้ว่าที่สถาปนิกหนุ่มทรมานทุรนทุรายมากแค่ไหน