“ถ้าพอใจแล้ว เรากลับขึ้นฝั่งกันดีกว่าไหมครับ อยู่นานอีกหน่อย ผมกลัวว่าเราอาจจะอยู่เถียงกันได้ไม่ถึงวันพรุ่งนี้ คงได้โดนปลาฉลามฉีกแข้งฉีกขาเหมือนในหนังซะก่อน” ภาคภูมิรีบเสนอ
ถูกโอบล้อมไปด้วยน้ำทะเลลึกขาหยั่งไม่ถึง แถมยังมืดสลัว ได้ยินแต่เสียงคลื่นแบบนี้ มันวังเวงยังไงชอบกล อดพาลให้นึกถึงหนังจอเงินที่เพิ่งไปดูเรื่องล่าสุดไม่ได้ มันเกี่ยวกับฉลามยักษ์อายุยืนที่หลุดออกมาจากใต้แผ่นดินแล้วไล่งับคนในทะเลอย่างบ้าคลั่ง
คิดมาถึงตรงนี้คนพูดรีบชักขาขึ้นโดยอัตโนมัติ มองไปรอบด้านอย่างหวาดระแวง
“งั้นก็ปล่อย”
“ทำไมง่ะ?” หมอหนุ่มตวัดมอง
“จะให้ผมว่ายคนเดียว โดยที่มีคุณกอดคอเข้าฝั่งน่ะเหรอ? ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าคุณจะว่ายน้ำไม่เป็น”
“ว่ายน่ะว่ายเป็นครับ แต่...” หมอหนุ่มหยุดคำพูดไปครู่หนึ่ง พลางเหลือบมองไปที่ข้อศอกของตัวเอง
เมื่อกี้ตอนลงน้ำ แบกกระเป๋าไว้เหนือหัว มีจังหวะหนึ่งคลื่นซัดใส่จนเสียการทรงตัว มันจึงร่วงหลุดมือตกลงมาใส่ โชคดีที่ยกแขนปัดป้องไว้ได้ทัน เลยกลายเป็นแขนที่ซ้นแทนหัวแตก ตอนนี้เลยงอแขนได้ แต่เหยียดไม่ได้
ชยางกูรขมวดคิ้วมองตามสายตาอีกฝ่าย แม้รอบบริเวณจะมืดสลัว แต่ก็พอเห็นว่าตรงบริเวณศอกของหมอหนุ่มเป็นรอยถลอก ซ้ำยังบวมขึ้นอย่างผิดหูผิดตาอีกด้วย คงเป็นอุบัติเหตุช่วงชุลมุนเมื่อครู่ล่ะสิท่า
เมื่อเห็นว่าเจ็บจริง ชายหนุ่มจึงยอมให้อีกฝ่ายกอดไว้ดังเดิม
“แขนไม่ดี แต่ขายังดีอยู่ ผมไม่แบกผู้ชายด้วยกันขึ้นหลัง เพื่อให้ทำตัวไร้ประโยชน์หรอกนะ”
ภาคภูมิงงเล็กน้อย ถ้าไม่ให้เขากอดคอขี่หลังไป แล้วเราสองคนจะถึงฝั่งได้อย่างไร ไม่นาน ความคิดมีอันต้องสะดุด เมื่อจู่ๆ ก็ถูกคนพูดกระชับวงแขนรัดเอวเขาไว้แน่น ก่อนออกแรงดีดขาเพื่อเคลื่อนที่ไปด้านหลัง
“ตีขาสิ” ว่าที่สถาปนิกหนุ่มออกคำสั่ง เขาพาคนในอ้อมแขนเข้าฝั่งได้ก็จริง แต่จะเร็วกว่านี้ ถ้าอีกฝ่ายร่วมด้วยช่วยกันอีกแรง
ภาคภูมิเผลอไผลเม้มปาก ไม่รู้ทำไมถึงไม่กล้าเอาตาไปสบ ได้แต่เหลือบมองผิวน้ำ พลางออกแรงตีขาตามคำสั่ง ทำตัวเป็นหางเสือช่วยชยางกูรอีกแรงหนึ่งอยู่อย่างนั้น
จนกระทั่งมาถึงยังฝั่ง ภาคภูมิถูกอีกฝ่ายดันให้ขึ้นไปก่อน เขาหยัดกายด้วยเสื้อผ้าหนักอย่างทุลักทุเล ก่อนตั้งใจแสดงความมีไมตรี หวังช่วยอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นด้วย ทว่าจังหวะที่หันไป กลับพบว่าชยางกูรไม่ได้ตามมาอย่างที่คิด หากแต่เดินกลับลงทะเลไปอีกครั้ง
“คุณ...”
ด้วยสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไร เลยได้แต่ทอดมองคนหน้าดุไม่วางตา ไม่นานความกระจ่างก็ปรากฏ เมื่อการกระทำทั้งหมดของผู้ชายปากหมาหน้าดุ คนนั้นประจักษ์สู่สายตา
อีกทั้งยังประทับอยู่ในความทรงจำของคนมองไม่มีลืม
ปากร้ายแต่ใจดี ภาคภูมิเพิ่งเข้าใจก็วันนี้...
สาเหตุที่ชายหนุ่มเดินลงทะเลเย็นเยียบ ยอมตัวเปียกอีกครั้ง ก็เพื่อเก็บกระเป๋าเดินทางใบโตที่ลอยเท้งเต้งอยู่กลางน้ำให้กับเขา ดีที่อีกใบหนึ่งยังอยู่บนเรือ ไม่อย่างนั้นคงรบกวนอีกฝ่ายไปมากกว่านี้
ฉับพลันแววตาคนมองสะท้อนประกายที่เรียกว่าหลงปลื้ม ก้อนเนื้อใต้แผ่นอกกวัดแกว่งไหวหวิว
“ขอบคุณครับ” เขากล่าวขอบคุณ หลังอีกฝ่ายกลับขึ้นฝั่งพร้อมสัมภาระที่กลายเป็นภาระให้คนอื่นต้องเดือดร้อน
ว่าที่สถาปนิกร่างสูงไม่ตอบรับ ทำเพียงแค่ถือกระเป๋าไว้ในมือ ลุงเอี่ยมที่ยืนมองคนทั้งสองมาตลอด รีบปรี่เข้ามาหา พร้อมกับยื่นผ้าเช็ดตัวผืนหนาให้ ภาคภูมิยกมือไหว้ก่อนเอามาห่มตัว ส่วนชยางกูรหยิบมันเช็ดซับร่างกายท่อนบนอันเปลือยเปล่า
“เดี๋ยวผมจะพาพวกคุณไปที่พักนะครับ คุณธนภพเตรียมไว้ให้แล้ว”
คนทั้งสองเดินตามดอร์แมนวัยใกล้เกษียณ ลัดเลาะสระว่ายน้ำ ผ่านมินิบาร์ที่เริ่มมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาใช้บริการกันแล้ว ตามทางเดินเกลื่อนไปด้วยดอกลีลาวดีสีขาวส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ภาคภูมิกวาดมองไปทั่วบริเวณด้วยความตื่นตา จะว่าไปที่นี่ก็หรูหราน่าอยู่ดีเหมือนกัน ตอนแรกคิดว่าจะเป็นบังกะโลเล็กๆ ซะอีก
นอกจากชื่นชมความสวยงามของที่นี่แล้ว จิตแพทย์หนุ่มยังนึกไปถึงเจ้าของที่นี่ด้วย
ธนภพไม่ใช่คนร่ำรวยตั้งแต่แรก เป็นผู้ชายธรรมดาๆ มีพ่อรับราชการ มีแม่อยู่บ้านรับจ้างตัดชุด แต่ด้วยความขยันหมั่นเพียร ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค จึงทำให้ ชายหนุ่มมีทุกวันนี้ได้
“พี่ภพออกแบบที่นี่เองทั้งหมดเลยหรือเปล่าครับ ดูสวยไม่แพ้โรงแรมในเครือดังๆ เลย” เขาอดเอ่ยชมไม่ได้
สถาปัตยกรรมที่นี่มีกลิ่นอายแบบเมดิเตอร์เรเนียน ยิ่งได้บรรยากาศของทะเลอันดามันมาร่วมด้วยแล้วทุกอย่างยิ่งลงตัว หากเทียบกับฝั่งเวสเทิร์น คงเทียบได้กับเกาะกาปรี ในอิตาลี
“คุณธนภพออกแบบทั้งหมดเลยครับ วางระบบทุกอย่างเอง โดยมีคุณของขวัญเป็นคนให้คำปรึกษา คุณขวัญภรรยาของคุณภพ ลูกพี่ลูกน้องของคุณชยางกูรน่ะครับ เธอจบด้านศิลปะ หัวศิลปินกันทั้งบ้าน” ลุงเอี่ยมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ก่อนหันไปมองชยางกูรด้วยแววตาชื่นชม เด็กหนุ่มที่เคยเห็นวิ่งเล่นกับลูกชายตนในวันวานบัดนี้ใกล้จบสถาปัตย์ เก่งด้านการวาดและการออกแบบไม่ต่างกับพี่สาวเสียแล้ว
เมื่อได้ยินว่าคนที่เดินนำอยู่ไกลๆ มีฝืมือทางด้านนี้ ภาคภูมิถึงกับเบิกตาโต แปลกใจเป็นที่สุด เขาโน้มหน้าไปกระซิบถามลุงเอี่ยม
“คุณชะเขาวาดรูปได้ ออกแบบเก่งด้วยเหรอครับ?” รู้ว่าเรียนสถาปัตย์ แต่ไม่คิดว่าจะเก่งไง...
“เธอวาดรูปเก่งอย่างนี้เลยครับ” ลุงเอี่ยมภูมิใจนำเสนอ รีบยกนิ้วโป้งชูให้ภาคภูมิเห็น “ชอบวาดรูปให้คุณทานตะวันอยู่บ่อย ๆ ส่วนเรื่องออกแบบ ผมก็คิดว่าเก่ง ไม่อย่างนั้นคุณธนภพคงไม่ไว้ใจให้เธอมาที่นี่ เพื่อออกแบบโรงแรมแห่งใหม่ให้หรอกครับ”
“ออกแบบโรงแรมใหม่?!”
“จะไปไม่ไป ชักช้าโอ้เอ้แบบนี้ อย่ามาไม่สบายแถวนี้ล่ะ ที่นี่ไม่มีหมอ ไม่มีโรงพยาบาลหรอกนะ”
บทสนทนาถูกหยุดด้วยประโยคแดกดันจากคนปากมอม คนทั้งสองจึงแยกย้ายไปคนละทิศละทาง ลุงเอี่ยมเดินไปนั่งประจำที่คนขับรถกอล์ฟคันเล็ก ส่วนภาคภูมิหุบปากฉับ พลางลอบมองชยางกูรที่ก้าวขึ้นไปนั่งรอบนรถเรียบร้อยแล้ว
ก่อนก้าวขึ้นรถ เขาหันไปพูดกับสถาปนิกหนุ่มเสียงเบา
“ผมก็หมอนะคุณ”
“ถ้าหมอป่วย แล้วยังจะมีใครเชื่อถืออยู่อีกเหรอ” ชายหนุ่มเบือนหน้าหนี
ขอเปลี่ยนคำพูดเมื่อกี้ของตัวเอง...ชยางกูรไม่ได้ร้ายแค่ปาก ใจแม่งยังร้ายอีกด้วย
โคตรร้าย! ร้ายกาจ!
///
หลังนั่งรถกอล์ฟออกจากโซนโรงแรม ลัดเลาะตามถนนยางมะตอยเล็กๆเพียงไม่กี่ร้อยเมตร ก็มาถึงจุดหมาย
รถกอล์ฟหยุดจอดตรงถนนเล็กๆ ระหว่างเนินหญ้า หลังขับผ่านรั้วไม้สีขาวเข้าเขตบริเวณบ้าน ก่อนคนทั้งสามจะทยอยลงจากรถ ทว่าภาคภูมิดูจะตื่นตาตื่นใจกับที่นี่กว่าใครเพื่อน เขามองไปรอบด้าน สุดท้ายสบสายตาไว้ที่จุดศูนย์กลางตัวบ้านตรงหน้า
มันเป็นบ้านทรงไทยร่วมสมัยสองชั้นที่ไม่ได้ใหญ่โตโอ่อ่าอะไรนัก หากแต่ให้กลิ่นอายความอบอุ่นได้อย่างน่าประหลาด ชั้นแรกแบ่งพื้นที่ใช้สอยเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งเป็นพื้นที่โล่งเอาท์ดอร์ ปูด้วยไม้ระแนงสีน้ำตาลอ่อน มีเก้าอี้เอนนอนสำหรับอาบแดดสองตัววางเคียงคู่กัน อีกครึ่งหนึ่งเป็นพื้นที่ในร่ม มีโต๊ะและเก้าอี้เล็กๆ เหมาะแก่การนั่งคุยและสังสรรค์ในยามว่าง และจุดเด่นที่เตะตาคนมาใหม่ที่สุด เห็นจะเป็นสระว่ายน้ำหินอ่อนสีเทอคอยซ์ที่กินพื้นที่ด้านหน้าตัวบ้านไปทั้งหมด เวลาพลบค่ำอับแสงเช่นนี้ เจ้าของเปิดไฟให้ความสว่างภายในสระ แสงสีสะท้อนหินอ่อนดูสวยงามราวกับเป็นโลกใต้ทะเลอย่างไรอย่างนั้น
กวาดตามองขึ้นไปยังชั้นสองที่สร้างด้วยไม้เคลือบเงาสีน้ำตาเข้ม หลังคาทำเป็นจั่วคล้ายบ้านทรงไทยสมัยเก่า ทอดยาวออกมาจากตัวห้องซึ่งคาดว่าเป็นห้องนอน มีระเบียงไม้ที่เหมาะแก่การกินลมชมวิวเป็นอย่างยิ่ง
องค์ประกอบโดยรวมทั้งหมด ดูแล้วรู้สึกถึงความใส่ใจในรายละเอียดของคนออกแบบ เขาไปมาแล้วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แต่ไม่เคยถูกใจบ้านพักหลังใดเท่ากับบ้านหลังนี้ ยิ่งรอบด้านโอบล้อมด้วยท้องทะเลและต้นไม้ประดับตกแต่งอย่างร่มรื่นด้วยแล้ว ทุกอย่างจึงดูลงตัวเป็นที่สุด มองจนถ้วนทั่ว ภาคภูมิถึงกับยกให้เป็นบ้าน ในฝันอันดับหนึ่งของตัวเองในทันที
“บ้านสมบูรณ์สุขยินดีต้อนรับครับ” ดอร์แมนเอ่ย
“สวยจังครับ เป็นบ้านพี่ภพเหรอครับ?”
“ใช่ครับ” ลุงเอี่ยมยิ้ม ขณะเปิดประตูเลื่อนเพื่อพาคนทั้งสองเข้าไปด้านใน
“ใครเป็นคนออกแบบเหรอครับ เผื่อผมอยากจ้างมาออกแบบบ้านให้บ้าง” หมอหนุ่มยังคงกวาดตามองไปรอบด้าน แม้แต่แบบแปลนและองค์ประกอบภายในก็ยังดูลงตัว พื้นที่ทุกส่วนถูกออกแบบให้คนในครอบครัวสามารถใช้สอยร่วมกันในชีวิตประจำวันได้ทั้งหมด
“พี่ภพให้เขาพักที่นี่ด้วยเหรอลุง?”
ลุงเอี่ยมไม่ทันอ้าปาก ชยางกูรกลับเอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน บทสนทนา ชื่นชมสถานที่จึงจบลงไปโดยปริยาย
“ครับคุณชะ คุณธนภพบอกว่าอยากให้พวกคุณพักด้วยกัน ถือเสียว่าเป็นคนคุ้นเคย ไม่อยากให้ปลีกตัวไปพักที่โรงแรมเหมือนนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ” อธิบายไป พลางพาเดินขึ้นชั้นสอง
เมื่อมาถึงหน้าห้องๆ หนึ่ง เขาผายมือให้ภาคภูมิ
“นี่ห้องคุณหมอครับ ส่วนข้างๆ เป็นห้องคุณชะเหมือนเดิม”
“เอ่อ...จะดีเหรอครับ” ภาคภูมิชักลังเล เมื่อลอบมองคนร่วมชายคาเดียวกันแล้วพบว่ามีประกายความไม่พอใจแผ่ออกมา
ดูเหมือนตัวเขาจะกลายเป็นปัญหาสำหรับใครอีกคน ส่วนตัวแล้วให้เขาพักที่ไหนก็ได้ไม่มีปัญหา หากชยางกูรไม่ชอบ เขาก็พร้อมจะไปในทันที
แต่ความเกรงใจที่แสดงออกมา กลับทำให้ลุงเอี่ยมเข้าใจผิด คิดว่าแขก คนสำคัญอึดอัดใจที่จะอยู่บ้านของธนภพ บางทีจิตแพทย์หนุ่มอาจต้องการความเป็นส่วนตัวมากกว่านี้ เห็นเป็นเช่นนั้นจึงกุลีกุจอหลบฉาก ต่อสายหาธนภพ เพื่อปรึกษาหารือ ทำราวกับว่าเรื่องของภาคภูมิเป็นเรื่องใหญ่โตระดับชาติ
หลังคนสูงวัยขอตัวออกไปโทรศัพท์ คนถือเป็นเจ้าบ้านคนที่สองก็พูดโพล่งออกมาทันที สาดถ้อยคำรุนแรงบริภาษใส่อย่างไม่เกรงใจ
“เรื่องมาก เห็นหรือเปล่าว่าทำคนอื่นเขาวุ่นวายกันไปหมด”
ภาคภูมิหน้าเหวอ หลังโดนกล่าวหา แต่มีเหรอ คนไม่ผิดจะยอมถูกกล่าวหากันง่ายๆ
“ผมไม่ได้เรื่องมาก ก็เห็นคุณทำหน้าอึดอัดใส่ เลยคิดว่าการที่ผมอยู่ที่นี่คงทำให้คุณรู้สึกแย่ เลยขอไปพักที่อื่นก็แค่นั้น”
คับที่อยู่ได้ แต่คับใจน่ะมันอยู่ยาก ถ้าต้องทนอยู่ด้วยกันถึงสองเดือน มีหวังเขาต้องอกแตกตายแน่
ภาคภูมิเบือนหน้าหนีอย่างไม่ต้องการเสวนา ก่อนยกแขนกระชับกอดตัวเองเอาไว้ เขาเป็นผู้ใหญ่ มีวุฒิภาวะมากพอที่จะไม่ต่อล้อต่อเถียงกันแบบเด็กๆ เอาเหตุผลมาพูดกัน ดีกว่าต้องยืนสาดน้ำลายใส่กันอยู่อย่างนี้ อีกอย่างเขาไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้ เพราะเริ่มรู้สึกหนาว แถมยังมีอาการปวดหัวตัวรุมๆ อย่างไรก็ไม่รู้
“ก็นั่นแหละที่เรียกว่าเรื่องมาก ถ้าคนไม่เรื่องมากจริง ต่อให้ต้องนอนเตียงเดียวกัน เขาก็ไม่ทำหน้าอ้อนขอเปลี่ยนที่เหมือนอย่างที่คุณทำหรอก”
ภาคภูมิตวัดหน้ากลับมา หรี่ม่านตามองอีกฝ่าย อยากจะตอกกลับหน้าหงาย ว่าถึงเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ถ้ามีอคติแย่ๆ ต่อกันอย่างนี้ อยู่ร่วมบ้านยังถือว่ามากไปด้วยซ้ำ
นอนเตียงเดียวกันงั้นเหรอ? ให้นอนกับหมาบ้าตัวนี้ สู้ไปนอนในน้ำ ให้ฉลามงับยังจะเจ็บแสบน้อยกว่า!
ภาคภูมิขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก่นด่าชายหนุ่มอยู่ในใจ
“ทำไม? รังเกียจผมเหรอ? อ่อ...เพราะไม่ใช่พ่อม่ายลูกติด เมียตาย แถมยังเป็นเจ้าของโรงแรมหรูๆ ล่ะสิ ถึงได้ไม่น่าสนใจ อยากจะนอนด้วย”
“หยาบคายมาก เด็กเมื่อวานซืน” จิตแพทย์เอ่ยอย่างเหลืออด
เมื่อถูกปรามาสกลับคืน คนฟังถึงกับเลือดขึ้นหน้า กระชากแขนอีกฝ่ายจนร่างปลิวมากระแทกอก บีบจับกระชับแน่นจนแขนขาวเป็นรอยแดง
“ผมไม่เด็ก...แล้วก็ไม่เล็กด้วย อยากลองไหมล่ะ เผื่อติดใจกว่าพี่ภพ” เขาแสร้งกักขฬะ โน้มหน้าเข้าไปใกล้ ใช้สายตาโลมเลียลวนลามผิวขาวซีดตั้งแต่ปลายเท้าไล่ขึ้นมาก่อนหยุดที่ริมฝีปากอิ่ม
“ทุเรศ!” ภาคภูมิหลบเลี่ยงหลังลมหายใจอุ่นรดแก้ม “คุณเป็นผู้ชายที่ทุเรศที่สุดเท่าที่ผมเคยพบเจอมาเลย” ไม่รู้ชยางกูรชิงชังอะไรเขานักหนา ถึงได้เอาแต่ดูถูก ยัดเยียดความคิดแย่ๆ ใส่เขา
“แหม...” ว่าที่สถาปนิกหนุ่มหัวเราะร่วน หลังเห็นท่าทีและคำพูดราวกับนางเอกในละครของอีกฝ่าย “คำก็หยาบคาย สองคำก็ทุเรศ ทำเป็นโลกสวยรับไม่ได้ ผมจะบอกอะไรให้นะ ผมจะให้เกียรติ ก็เฉพาะกับคนที่ผมอยากจะให้เท่านั้น ส่วน คนอื่น...ผมไม่สนใจ”
“นั่นมันก็เรื่องของคุณ แต่ที่คุณกำลังทำกับคนที่เพิ่งรู้จักกันแบบนี้ มันคือการละเมิดเสรีภาพ ข่มขู่ และเข้าข่ายอนาจาร” ภาคภูมิยื้อแขนตัวเองให้หลุดพ้นจากคีมเหล็กที่ชื่อชยางกูร
เขาไม่ได้เรียกร้องอยากได้รับเกียรติ เขาแค่อยากให้อีกฝ่ายปฏิบัติตนอย่างเท่าเทียมกันก็เท่านั้น
“แค่แหย่เล่นหน่อยเดียวเอง คิดจริงจังไปได้ แต่ถึงคุณร้องขออยากจะลอง...อะไรๆ ของผมจริง...” สายตาดุดันหลุบมองต่ำลงไปเบื้องล่าง ก่อนตวัดกลับมา “ก็ต้องขอโทษด้วยนะ เพราะมันมีไว้ให้คนสำคัญเท่านั้น”
“น่าเกลียด!” ภาคภูมิไม่รู้จะรับมืออย่างไรแล้ว ทำได้มากสุดแค่ตวาดใส่ เขาไม่ใช่คนโลกสวย แต่ก็ไม่ใช่คนหยาบคาย กร้านโลกนัก “ผมขี้เกียจจะเถียงกับคนอย่างคุณแล้ว ให้นอนไหนก็ได้ ไม่เลือกทั้งนั้น”
“ก็แค่เนี้ย” ชายหนุ่มปล่อยหมอหนุ่มให้เป็นอิสระ ภาคภูมินิ่วหน้า เอามือบีบคลำบรรเทาความเจ็บ
“คุณหมอครับ คุณธนภพจะคุยด้วยครับ”
ลุงเอี่ยมเอ่ยขัดจังหวะคุกรุ่นคนทั้งคู่ พร้อมกับยื่นโทรศัพท์มาให้ภาคภูมิ จิตแพทย์หนุ่มรับไว้ พลางปรายสายตามองใครอีกคน ก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีออกมา แล้วยกมือถือแนบหู
“ครับ”
“เหตุผลที่พี่เตรียมห้องพักให้เราเป็นที่บ้านพี่ เพราะเห็นเป็นคนกันเอง แล้วก็อยากดูแลภูมิอย่างใกล้ชิด บ้านหลังนั้น ห้องนอนก็ตั้งเยอะแยะ พี่ไม่อยากให้ภูมิต้องรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่บ้าน ภูมิเข้าใจใช่ไหม แต่ถ้าเราติดขัดอะไรจริงๆ อยากไปพักที่โรงแรม พี่ก็ไม่ห้ามหรอกนะ เดี๋ยวให้ลุงเอี่ยมพาไป” เจ้าของบ้านอธิบายเสียยืดยาวด้วยน้ำเสียงไม่สบายใจนัก หลังรู้ว่าแขกคนสำคัญไม่ค่อยสบายใจที่จะอยู่ในที่ที่เขาจัดเตรียมไว้ให้
“เอ่อไม่ใช่อย่างนั้นครับพี่ภพ ผมนี่แย่จัง ทำตัวเหมือนคนเรื่องมากเลย คือความจริงแล้ว ผมแค่เกรงใจ มาอยู่ที่นี่ตั้งหลายเดือน ค่าใช้จ่ายทุกอย่างพี่ภพก็ออกให้หมด นี่ยังจะต้องมารบกวนบ้านของพี่อีก”
เมื่อได้ฟังเหตุผลทั้งหมด ธนภพก็หัวเราะร่วนออกมาอย่างโล่งอก ที่แท้ภาคภูมิก็แค่เกรงใจ
“ไม่รบกวนเลยภูมิ ที่ภูมิต้องมาที่นี่ก็เพราะธุระของพี่ เป็นพี่ซะอีกที่ต้องดูแลภูมิให้มากๆ ไม่ต้องเกรงใจอะไรทั้งนั้น คิดซะว่าเป็นบ้านของตัวเองเถอะ ขาดเหลืออะไรก็บอกชะได้เลยนะ วันนี้ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้อยู่ต้อนรับ เผอิญทานตะวัน ทำแสบน่ะ เล่นเอาตกใจหมด”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ? ให้ผมไปตอนนี้เลยได้ไหม ผมอยากเจอเขา” จิตแพทย์หนุ่มนึกเป็นห่วง ถ้าได้เจอคนไข้ไวเท่าไหร่ ยิ่งเป็นการดี เขาอยากพูดคุย อยากเข้าใจอาการของเด็กชายให้เร็วที่สุด
“ภูมิเดินทางเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พักผ่อนก่อนเถอะ เอาไว้พรุ่งนี้พี่จะไปรับแต่เช้า”
เห็นทีจะเป็นดังคำรุ่นพี่พูด เขาเหนื่อยและเพลียมากจริงๆ คิดเห็นเป็นเช่นนั้นจึงพยักหน้าเชื่อฟังอย่างง่ายดาย
“คืนนี้อากาศเย็น อยู่บนเขาอย่างนั้นคงชื้นมาก ระวังสุขภาพด้วยนะครับ” จากที่ได้ยินธนภพเล่าให้ฟังว่าบ้านเล็กของทานตะวันอยู่บนเนินเขา ที่ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ดิบชื้น ภาคภูมินึกเป็นห่วง จึงเอ่ยเตือน
ธนภพเงียบไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยถามคนปลายสาย
“บอกพี่หรือทานตะวัน”
“...ก็ทั้งคู่เลยครับ ยิ่งทานตะวันต้องระวังให้มากๆ เด็กวัยนี้ชอบเป็นโรคปอดบวม ห่มผ้าหนาๆ ใส่หมวก ใส่ถุงเท้าให้ด้วยนะครับ”
“จะทำตามที่หมอสั่งให้ครบครับ”
“นี่หาว่าผมจู้จี้เรื่องมากหรือเปล่า...”
ในขณะที่ยืนคุยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย ซึ่งมาพร้อมกับรอยยิ้มจางไม่รู้ตัว พลันทันใดนั้นก็มีมือแกร่งกระชากโทรศัพท์ไป การกระทำไร้ซึ่งมารยาทเรียกร้องความสนใจจากหมอหนุ่มไปทั้งหมด
ภาคภูมิหน้าเหวอ หันไปเผชิญหน้า เห็นชายหนุ่มร่างสูงผิวสีแทนเวลานี้มี สีหน้าไม่รับแขกเป็นอย่างยิ่ง คว้ามือถือไปได้ก็เอามันแนบหูอย่างถือวิสาสะ เป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝั่งพูดโต้ตอบกลับมาพอดี
“ภูมิไม่ได้เรื่องมากเลย อยู่ทางนั้นก็เหมือนกัน ดูแลตัวเองด้วย มีอะไรก็บอกชะได้ เอาไว้พรุ่งนี้พี่จะรีบไปรับแต่เช้า ทานตะวันคงดีใจที่ได้เจอภูมิ”
ชยางกูรคิ้วกระตุก หลังได้ยินธนภพใช้น้ำเสียงอ่อนโยนแบบที่มีไว้ใช้เฉพาะกับลูกเมีย พออีกฝ่ายบอกลา เขากดตัดสายทิ้ง ก่อนจะคืนโทรศัพท์ให้ลุงเอี่ยม
“ลุงกลับโรงแรมเถอะ ทางนี้ผมจัดการเอง” พูดกับอีกคน แต่สายตากลับมองอีกคน
“ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนนะครับ มีอะไรขาดเหลือโทรเรียกพนักงานได้เลย ส่วนอาหารเย็น เตรียมไว้แล้วที่โต๊ะชั้นล่าง ลาล่ะครับ” ชายผมสีเทาค้อมกายเล็กน้อยเมื่อหมดธุระ
“อ...อะไร?” ภาคภูมิประหวั่นพรั่นพรึงต่อชยางกูรที่ยังคงจ้องหน้าตนไม่เลิก
“ทำเป็นเรื่องมาก ที่แท้ก็อยากอ้อนเจ้าของบ้าน แผนสูงนักนะ”
ได้ยินคำบริภาษอันเกิดจากอคติส่วนตัว ภาคภูมิถึงกับถอนหายใจ พูดตัดบทเพราะไม่คิดต่อกรกับชายหนุ่ม
“ขอตัวก่อนนะครับ จะรีบไปอาบน้ำ”
ยิ่งพูดยิ่งพาลให้ทะเลาะกันแบบนี้ รังแต่จะสร้างความอึดอัดบาดหมางใจให้แก่กันเสียเปล่าๆ เอาไว้ให้การกระทำเป็นตัวแสดงแทนคำพูดดีกว่า เขาหวังว่า ไม่นานความบริสุทธิ์ใจที่เขามี จะทำให้ชยางกูรเลิกคิดอคติแบบไร้เหตุผลกับเขาสักที
“เดี๋ยว”
ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่เข้าใจไปในทางเดียวกัน ชยางกูรยังคงคาใจอยู่กับความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างพี่เขยและภาคภูมิ เขาคว้าข้อมือคนตรงหน้าแล้วบีบเอาไว้ด้วยโทสะ
“อย่าลืมที่พูดไว้ล่ะ อย่าทำตัวสำคัญ เพราะคุณไม่มีวันสำคัญสำหรับเขา”
ภาคภูมิสุดจะทน สะบัดแขนออกจากการจับกุม
“เลิกยัดเยียดความไม่มีอะไรให้มันดูมีอะไรเถอะครับ ผมกับพี่ภพ เราสองคนไม่ได้คิดเกินเลยกันจริงๆ”
ชยางกูรแค่นยิ้ม มองคนคลำข้อมือตัวเองป้อยๆ ด้วยสีหน้ายุ่งๆ อย่างพึงพอใจ
“รู้ตัวก็ดี เพราะถ้าผมรู้ว่าคุณกลืนน้ำลายตัวเองเมื่อไหร่ อย่าหาว่าผม ใจร้าย ไม่เตือนก็แล้วกัน”
เขาไม่อยากให้พี่ภพลืมพี่ขวัญ ไม่อยากให้ทานตะวันมีแม่ใหม่ หรือแม้แต่ไม่อยากให้ความสัมพันธ์แปลกๆ ระหว่างพี่เขยกับผู้ชายประเภท...นี้เกิดขึ้น
เขาถึงต้องเน้นย้ำให้เข้าใจตรงกัน
“อะไรทำให้คุณเอาแต่คิดว่าผมเป็นคนแบบนั้นนะ?” ภาคภูมิไม่เข้าใจคนเพิ่งรู้จัก พบหน้ากันไม่กี่ครั้ง ทำไมถึงว่าร้าย ตั้งแง่ใส่กันได้ถึงขนาดนี้
“คงเพราะพี่ขวัญเป็นคนดี ดีเกินกว่าที่จะมีใครมาแทนที่ได้...” จู่ๆ น้ำเสียงแข็งขึงก็แผ่วลงไปถนัด นัยน์ตาของคนพูดยามนี้เจือไปด้วยภาพอดีตในวันวาน
“ชะไม่ต้องเป็นห่วงนะ ต่อไปนี้วันแม่ทุกๆ ปี เดี๋ยวพี่จะทำหน้าที่แทนแม่ คอยรับดอกมะลิให้ชะเอง”
“อายุก็แค่นี้ คนคงคิดว่าพ่อมีเมียใหม่ แทนเมียหลวงที่ตายไป พี่ขวัญได้โดนนินทาลับหลังแน่ๆ”
“ช่างสิ พี่สนแต่ว่าน้องของพี่จะมีคนรับดอกไม้หรือเปล่าก็เท่านั้น พี่ไม่อยากให้ชะต้องนั่งมองเก้าอี้เปล่าๆ นี่นา” ของขวัญยักไหล่ ไม่แคร์คำพูดที่ลูกชายของน้าตัวเองคาดการณ์
...
“ตกลงว่าอยากเรียนอะไร? ปีหน้าก็จะเข้ามหาลัยอยู่แล้ว”
“อะไรก็ได้ ไม่ซีเรียส”
“ชยางกูร ตั้งใจหน่อย พ่อเรามีลูกคนเดียวนะ อย่าทำให้ท่านผิดหวัง พี่เองก็หวังกับชะด้วย อย่างน้อยก็คิดๆ ไว้ซะบ้าง ถ้าไม่รู้ว่าจะเรียนอะไร สนใจลอง สถาปัตย์ดูไหม?”
“ที่พี่ขวัญเรียนอะเหรอ”
“ใช่ๆ เห็นชะมีฝีมือวาดรูป มีหัวครีเอทอีกนิดหน่อยก็ไม่น่ายากนะ”
“พี่ขวัญเรียนสถาปัตย์เพราะอะไร?”
“อืม...คงเพราะอยากออกแบบบ้านให้คนที่เรารักอยู่อย่างมีความสุขละมั้ง มันคงดีอะ ถ้าเรากับเขาได้อยู่ในที่ที่เราออกแบบเองด้วยความตั้งใจ ทุกพื้นที่ได้ใช้สอยร่วมกันอย่างมีประโยชน์ ไม่ใช่สักแต่ออกแบบเหมือนบ้านธรรมดาทั่วๆ ไป”
“แล้วนี่ออกแบบบ้านใคร มีห้องดูหนังด้วย โคตรหรูเลย ทำจริงคงแพงน่าดู”
“...ชะ”
“หืม?”
“พี่กำลังจะแต่งกับพี่ภพนะ บ้านหลังนี้...พี่ออกแบบให้เราสองคน”
ชยางกูรจำคำพูดและแววตาสดใสที่เกลื่อนไปด้วยความสุขของพี่ขวัญในเวลานั้นได้ดี แต่ในขณะเดียวกัน...เขาก็จดจำความเศร้าสลดของตัวเองได้ดีเช่นเดียวกัน
ของขวัญเป็นเหมือนทุกอย่างในชีวิต เป็นแม่คนที่สอง...เป็นพี่สาว...เป็นครอบครัว...
เป็นแม้กระทั่งรักแรกของเขา
มันคือความลับซึ่งแฝงด้วยความสับสนที่เด็กหนุ่มในวันวานไม่คิดบอกใคร แต่ต่อมาเมื่อเวลาแปรผันจากวัยเด็กสู่วัยหนุ่ม เขาก็ได้เรียนรู้ ว่าความรู้สึกสับสนเบื้องลึกที่มีต่อญาติคนนี้ มันไม่ใช่ความรักในแบบชู้สาวแต่อย่างใด...ยิ่งได้มาเจอกับสุดที่รัก เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยคนนั้น เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าแท้จริงแล้ว...
พี่ขวัญคือส่วนเติมเต็มในชีวิต แต่สุดที่รักคือโลกทั้งใบของเขา
ที่เขาเลือกเรียนสถาปัตย์ตามของขวัญ ก็เพราะว่าถือเธอเป็นแบบอย่าง ทว่าชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย สุดที่รักกลับขจัดข้อกังขาและความรู้สึกผิดในศีลธรรมของเขาไปทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้น ความรู้สึกดีและเทิดทูนที่มีต่อของขวัญก็ไม่ได้ ลดเลือนหายไปเลยสักนิด เธอยังคงเป็นแม่คนที่สองและเป็นพี่สาวที่ดีที่สุดสำหรับเขาเสมอ
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาหวงแหนพื้นที่ทุกอณูที่เป็นของของขวัญ...ไม่เว้นแม้แต่ธนภพ
เพราะพี่ภพเอง ก็คือโลกทั้งใบของพี่ขวัญเช่นกัน
“ถึงผมจะไม่ใช่คนดี แต่ก็ไม่คิดที่จะแทนที่ใคร”
เสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามาในความคิด ดึงภวังค์ให้สติกลับคืน ก่อนเลือนสบตาคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
“คุณจำคำพูดของตัวเองเอาไว้นะ แล้วผมก็ขอย้ำเตือนอีกครั้ง ว่าพี่ภพเขาเป็นผู้ชายแท้ มีเมียเป็นผู้หญิง แถมยังมีลูกด้วยกันอีก พวกเขาเป็นครอบครัวที่น่ารัก ถึงพี่ขวัญจะตายจาก จนพี่ภพกลายเป็นพ่อม่ายลูกติดก็ตาม แต่ยังไงพี่ภพก็ยังรัก พี่ขวัญเพียงคนเดียว”
“......”
“อย่าทำให้เขาหลงผิด ไปคิดรักคนแบบคุณ”
“แบบผม?” ภาคภูมิขมวดคิ้ว เงยหน้าถามหาคำอธิบาย
ชยางกูรเดินเข้าไปหาอย่างหมายมาดพร้อมรอยยิ้มเย็น เวลานี้ความรู้สึกอัดแน่นเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ความรู้สึกของคนที่ตายไปแล้ว ห่วงหาอาทรพร้อมปกป้องสิ่งที่หญิงสาวรักสุดชีวิตให้ โดยหลงลืมไปว่าคำพูด แววตาและท่าทางที่แสดงออกมานั้น จะทำให้คนเป็นเจ็บปวดและจดจำฝังใจมากแค่ไหน
“แบบ...ผู้ชายที่ยอมให้ผู้ชายด้วยกัน สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในวัฏจักรอยู่ล่างสุด แถมยังอกหัก ถูกคนที่รักทิ้งมาอีก”
“......”
“อย่าเอาความอ่อนแอมาให้พี่ภพนึกสงสารล่ะ”
คำปรามาสบริภาษแสนร้ายของชยางกูร ทำเอาภาคภูมิถึงกับหน้าม้านอย่างที่ชีวิตนี้เพิ่งเคยรู้สึกเป็นครั้งที่สอง
ครั้งแรกมันเกิดขึ้นตอนตะวันกล่าวหาว่าเขาเป็นตัวประหลาด หลังรับรู้ว่าเขาสามารถท้องได้ และนี่คือครั้งที่สอง...ในชีวิต
ผู้ชายคนนี้กำลังดูถูกเขา
“ผมเป็นวัฏจักรล่างสุด?”
ภาคภูมิจ้องมองคนตัวสูงกว่า แม้ม่านตาจะไม่สะท้อนสิ่งใด หากแต่ภายในใจกลับรู้สึกเจ็บจุกทรมาน แต่ถึงอย่างนั้น มีเหรอว่าเขาจะยอม ยิ่งถูกดูถูกแบบนี้ เขายิ่งไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้เห็นว่าเขากำลังอ่อนแอ
ภาคภูมิเชิดหน้า มองชยางกูรอย่างท้าทาย
“ถึงผมจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่จุดต่ำสุด แต่ผมก็มีหัวใจและสมองไม่ต่างกัน ผมมีความรู้สึกและรู้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ มีสามัญสำนึกอย่างที่คนอย่างคุณบางทีก็ไม่น่าจะมี ผมเป็นตัวของผมเอง ถ้าพี่ภพจะหลงรักเพราะผมเป็นผม นั่นก็ช่วยไม่ได้...”
“......”
“คุณเองก็เหมือนกัน...”
“......”
“พยายามอยู่สูงเอาไว้นะครับ อย่าลงมาเกลือกลั้วกับคนชนชั้นล่างแบบผม ระหว่างที่อยู่ด้วยกันที่นี่...”
“......”
“อย่าหลงรักผมก็แล้วกัน”
มันเป็นความคิดไร้แก่นสาร และรู้อยู่เต็มอกว่าชยางกูรไม่มีวันจะมาตกหลุมรักเขา แต่เขาก็แค่อยากให้อีกฝ่ายรู้ ว่าเขาไม่ได้เจ็บแสบกับคำพูดดูถูกถางถางอย่างกับเขาไม่ใช่คนของชายหนุ่ม ซ้ำยังท้าทายหน้าตายได้อีกด้วย
“ว่าไงนะ?”
ได้ฟังชั่วครู่ชยางกูรก็แค่นหัวเราะ ยิ้มหยัน ส่ายหน้าให้กับคำพูดเพ้อพก
หลงรักบ้าอะไร ที่เป็นอยู่ตอนนี้เขาเรียกว่าชังเสียด้วยซ้ำ
“......”
“ไม่ต้องท้าทาย นี่ชีวิตจริง ไม่ใช่ในละคร ที่สุดท้ายแล้วผมจะต้องเป็นฝ่ายไปหลงรักคุณ ผมมีคนของผม และหัวใจของผมก็อยู่ที่เขาแล้ว ผมไม่มีวันรักใครอีก เข้าใจเสียใหม่” นัยน์ตาดุดันมั่นคงแน่วแน่ “ส่วนคุณ...ก็เป็นได้แค่คนที่ผมไม่ไว้ใจ เป็นคนที่ผมต้องจับตามองเอาไว้ ไม่ให้ทำตัวเหมือนแมวขโมยกินปลาย่าง วันที่คุณกลับ ก็จะเหมือนกับวันนี้ที่คุณมา ไม่มีความสำคัญ ไม่มีใจผูกพัน ไม่ว่าจะพี่ภพ หรือกับผมเอง จำเอาไว้”
ให้รู้สึกดีด้วยยังยาก
รักเหรอ...
ไม่มีวัน