Chapter 1
ชายหนุ่มย่นหัวคิ้วอย่างแปลกใจ เขาตั้งใจเงี่ยหูฟังเมื่อรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเด็กร้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในคฤหาสน์ของเขา ที่นี่ไม่มีเด็ก หรือแม้เพียงสตรีที่อยู่ในคฤหาสน์ก็ไม่มี เขาไม่นิยมให้อิสตรีมาวุ่นวายกับพื้นที่และอาณาจักรส่วนตัวของเขา ยกเว้นสถานที่ที่เขาจัดไว้สำหรับพวกเธอ ซึ่งก็ไม่ใช่คฤหาสน์คาร์ลอสแห่งนี้
ซันเซส คาร์ลอส เป็นชายหนุ่มเจ้าของส่วนสูงหกฟุตครึ่ง ใบหน้า หล่อเหลาคมคาย ทว่าดวงตาสีมรกตเข้มของเขาแฝงความดุดันและน่ากลัว ภายในดวงตาไม่เคยมีประกายแห่งความสุขในช่วงห้าปีหลัง ทั้งใบหน้า ของเขาก็เรียบเฉยราวกับคนไร้ความรู้สึก
ซันเซสเป็นทายาทผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของตระกูลคาร์ลอส เขาและซารีน่าน้องสาวไม่เคยชื่นชอบธุรกิจด้านมืดของบิดา เขาและเธอเลือกเรียนในสาขาที่ตนชื่นชอบ เมื่อเรียนจบชายหนุ่มก็หันมาจับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของตนเอง ขณะนั้นซารีน่ายังเรียนอยู่เกรดหก ด้วยอายุที่ห่างกับพี่ชายมากกว่าหนึ่งรอบปี ทำให้ซันเซสกลายเป็นผู้ปกครองของซารีน่า โดยปริยาย เพราะบิดาของพวกเขาไม่มีเวลาแม้กระทั่งนั่งร่วมโต๊ะกับลูกในวันคริสต์มาส
ซันเซสเป็นวิศวกรหนุ่มไฟแรงที่ถูกจับตามอง เมื่อห้าปีก่อนเขากำลังนำพาบริษัทก้าวขึ้นมาในแถวหน้าด้วยวัยเพียงสามสิบต้นๆ ธุรกิจที่สวนทางกับธุรกิจมืดของบิดา หลายคนจับตาปรามาสเอาไว้ว่าบริษัทของเขาต้องมี อลอนโซ่ คาร์ลอสผู้เป็นบิดาคอยหนุนหลัง นั่นทำให้ชายหนุ่มยิ่งถอยห่าง จากบิดาและคาร์ลอส
ความคิดต่างกลายเป็นความห่างเหิน เขาไม่เคยรับรู้และไม่ต้องการจะรับรู้เรื่องราวของคาร์ลอส ปาร์ค จนกระทั่งบิดาของเขาถูกลอบสังหาร น้องสาวหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในคืนเดียวกันเมื่อห้าปีก่อน
วิศวกรหนุ่มนักบริหารต้องหวนกลับมาจับด้ามปืนล้างแค้นให้บิดาและตามหาน้องสาวอีกครั้ง ตำแหน่งผู้นำคาร์ลอส ประธานบริหารคาร์ลอส ปาร์คถูกส่งต่อมาที่เขาโดยปริยาย
ชายหนุ่มมั่นใจว่าต้องเป็นฝีมือใครบางคน แต่เขาก็ไม่สามารถ หาหลักฐานมาเอาผิดพวกนั้นได้จนกระทั่งถึงตอนนี้ พวกเขาไม่ทิ้งร่องรอย ให้เอาผิดได้เลย และเขาไม่อยากใช้กฎหมู่จัดการ
ห้าปีกับตำแหน่งผู้นำคาร์ลอสที่สร้างตัวขึ้นมาผงาดอีกครั้ง ความโหดเหี้ยมไม่เป็นรองผู้เป็นบิดา แต่คนที่ไม่มีกิจกรรมอื่นอย่างเขา กลับมีอำนาจทรงพลังมากกว่า อลอนโซ่ คาร์ลอสผู้เป็นบิดา แต่...
ห้าปีที่เขาตามหาน้องสาวแทบพลิกแผ่นดิน แต่ก็ไร้ร่องรอยของน้องสาวจนเขาทำใจยอมรับว่าเธออาจจะเสียชีวิตพร้อมกับบิดา หากแต่ยังไม่พบศพที่สามารถยืนยันได้อย่างแน่นอน
ห้าปีกับการเกาะติดตระกูลคาซ่าและเธียร์ แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลที่จะเอาผิดพวกเขา ช่วงเวลาโหดร้ายที่ทำให้ชายหนุ่มเกือบคลั่งอยู่หลายหน เพราะมันหมายถึงความสามารถและภาวะผู้นำของเขา มันเป็นปมด้อยเพียงข้อเดียว ที่ฝังอยู่ในใจของชายหนุ่ม เขาเป็นผู้นำที่ทุกคนยกย่องเชิดชู แต่เรื่องตามหาน้องสาว เขายังทำไม่สำเร็จจนปล่อยเวลายืดเยื้อมาจนถึงตอนนี้ เขาจะทน เงยหน้ามองสมาชิกคาร์ลอสอย่างภาคภูมิใจได้อย่างไรกัน
เป้าหมายแรกที่เขายอมรับตำแหน่งเพราะต้องการปิดฉากล้างแค้นครั้งสุดท้าย ก่อนจะวางมือและหวนกลับไปใช้ชีวิตในแบบที่เขาชื่นชอบอีกครั้ง แต่เวลาก็ล่วงเลยมาถึงห้าปี
จนความเป็นตัวตนของเขาถูกตำแหน่งและหน้าที่ปัจจุบันกลืนเอาไว้ ความแข็งกร้าวปิดบังความอ่อนโยนที่เคยมี และแทบไม่มีใครได้เห็นรอยยิ้มของซันเซสอีกเลยหลังจากนั้น
“อุแว้ๆ” เสียงเด็กร้องไห้จ้าดังเข้ามาใกล้ในความรู้สึกของชายหนุ่ม หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันและหันไปมองที่บานประตูอัตโนมัติ เพราะรู้ว่าต้นเสียงอยู่ภายนอกบานประตูบานนั้น ในจังหวะที่บานประตูห้องของเขาถูกเปิดออก
ชายหนุ่มที่เข้ามาใหม่โค้งคำนับให้ผู้เป็นนาย ในมือของเขายังถือตะกร้าสานใบใหญ่ที่หุ้มเอาไว้ด้วยผ้าปักฉลุสีขาวคาดชมพู ในตะกร้าใบนั้นห่อหุ้มสิ่งมีชีวิตเอาไว้ และสิ่งมีชีวิตในตะกร้ายังร้องไห้จ้าไม่หยุด แต่กลับยิ่งแผดเสียงร้องหนักขึ้นเรื่อยๆ
“อะไร” คำถามกึ่งคำรามอย่างไม่พอใจเมื่อมีเสียงรบกวนโสตประสาท สายตาคมกริบของเขาหันไปจ้องมองใบหน้าบอดีการ์ดหนุ่มอย่างเอาเรื่อง
เสียงร้องของเด็กทำให้สีหน้าที่เคร่งขรึมของชายหนุ่มดุดันมากขึ้น ในชีวิตของเขาห่างไกลคำว่าเด็กทารกและเด็กมาเกือบยี่สิบปี เพราะเด็กคนสุดท้ายที่เขาสัมผัสคือซารีน่าน้องสาวของเขา ถ้าหากว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ อายุของเธอก็คงจะย่างเข้าปีที่ยี่สิบสามในเดือนหน้า เขาจำได้ว่าตอนซารีน่าเกิด เขากำลังโตเป็นหนุ่มวัยสิบห้า
“เด็กครับ” อดัมตอบกลับผู้เป็นเจ้านาย ขณะที่ยกตะกร้าชูขึ้นเล็กน้อยให้ซันเซสมองเห็นใบหน้าของหนูน้อยที่อยู่ในตะกร้า
“ฉันเห็นแล้วว่าเด็ก แต่ที่ถามคือเด็กมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” เสียงของเขายังดุดันทรงพลัง บอกให้รู้ว่าเขากำลังไม่พอใจเป็นที่สุด
บอดีการ์ดหนุ่มโค้งคำนับเป็นการแสดงคำขอโทษก่อนรายงาน ด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“จากกล้องวงจรปิด เด็กถูกผู้หญิงคนหนึ่งนำมาวางที่หน้าคฤหาสน์ พวกเราไปพบในตอนเช้ามืด”
“ใคร!” ชายหนุ่มถามขึ้นทันที เพียงประโยคสั้นๆ กระชับ แต่นั่นก็หมายถึงคำถามที่ต้องการคำตอบอย่างละเอียด ทุกประโยคคำถามที่หลุดออกมาจากปากผู้นำแห่งคาร์ลอส ต้องมีคำตอบและข้อมูลครบถ้วนเสมอ
“เธอปิดหน้าแต่งตัวมิดชิดจนเราไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร และเด็กคนนี้ร้องไห้จ้าไม่หยุดมาสามชั่วโมงแล้ว” อดัมตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาลงเล็กน้อย เพราะนั่นเป็นความผิดอย่างยิ่งยวดของพวกเขา
“ฉันควรจะควักลูกตาและตัดมือพวกนายทิ้งดีไหม ที่นี่คือคาร์ลอส แต่บอดีการ์ดของฉันกลับไม่รู้ว่ามีใครนำของมาวางไว้หน้าบ้าน ลองคิดย้อนกลับไปดู... ถ้านั่นเป็นระเบิดที่มีการทำลายล้างสูง พวกนายจะมี ลมหายใจอยู่ถึงตอนนี้หรือเปล่า” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวโกรธจัด
อดัมกับคาเธอร์โค้งศีรษะ “ขอประทานโทษครับบอส มันอยู่ในช่วงสลับเวรกันพอดี”
“ฉันถือว่านั่นคือคำแก้ตัว! ไล่ทุกคนที่อยู่ในเวรกะนั้นออกให้หมด” เขาคำรามเสียงกร้าว ดวงตาคู่คมดุดันมากกว่าเดิม มันจับจ้องไปที่ใบหน้า บอดีการ์ดหนุ่มสลับกันจนพวกเขาต้องหลบสายตาไปมองทางอื่น สองหนุ่มโค้งรับ แต่ก็ยังยืนนิ่งเฉยรอคำสั่งต่อ จนคนหงุดหงิดต้องถามขึ้นมาอีกรอบ
“แล้วฉันต้องเป็นคนจัดการเด็กคนนี้หรือไง จะทำยังไงก็ทำ และพาเด็กคนนี้ออกไปให้พ้นหน้าฉัน แก้วหูฉันจะระเบิดอยู่แล้ว” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว แววตาดุดันเหมือนกำลังโกรธจัดเต็มที่
“พวกผมก็ไม่รู้ว่าจะจัดการยังไงกับเด็กคนนี้ดี”
“ถ้าเรื่องแค่นี้พวกนายไม่รู้ ก็ไม่สมควรจะทำงานต่อไปเหมือนกัน” แววตาแข็งกร้าวของชายหนุ่มจ้องมองที่ดวงตาของลูกน้องทีละคนสลับกัน ไฟความโกรธในดวงตาแทบจะเผาพวกเขาจนมอดไหม้
คาเธอร์ทำท่าอึกอัก ขณะที่อดัมก็ถือตะกร้าเด็กมือสั่นเพราะเกรงกลัวสายตาทรงพลังของเขา ส่วนคนที่อยู่ในตะกร้าก็ยิ่งแผดเสียงร้องดังขึ้นกว่าเดิม
“ผมรู้ว่าต้องส่งตัวเธอให้ทางการ พร้อมกับหลักฐานทั้งหมดที่เรามี” คาเธอร์บอก
“รู้อย่างนี้... แล้วพวกนายยังจะยืนเซ่ออยู่ทำไมอีก” เสียงคนโกรธยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม
คาร์เธอและอดัมยืนถกเถียงเกี่ยงกันไปเถียงกันมาอยู่สักพัก จนคนเป็นนายเงยหน้ามองอย่างไม่สบอารมณ์อีกรอบ ในที่สุดคาเธอร์ก็ยอมเป็นหน่วยกล้าตาย ตัดสินใจนำของที่อยู่ในตะกร้าส่งให้คนเป็นนาย
“สิ่งนี้ทำให้พวกผมไม่สามารถตัดสินใจได้” เขาบอกพร้อมกับส่งสร้อยข้อมือเส้นเล็กที่ติดตัวสาวน้อยให้คนเป็นเจ้านาย แน่นอนว่าสิ่งนั้นทำให้หัวใจของซันเซสวูบไหวลงอย่างไม่น่าเชื่อ
“เดลล่าอย่างนั้นเหรอ...” ชายหนุ่มรำพึงถึงชื่อที่สลักอยู่บนสร้อยข้อมือของสาวน้อย