บอดีการ์ดหนุ่มโค้งคำนับให้คนเป็นนายและเดินออกไปเงียบๆ สวนทางกับคาเธอร์ที่เดินเข้ามาหาเจ้านายหนุ่มเพื่อรายงานประจำวันและแจ้งตารางการนัดหมาย
“ว่าไง” คนในห้องถามขึ้นก่อนเมื่อเห็นคาเธอร์โค้งให้เขา ในมือของเขายังมีตารางงานที่จัดเก็บในสื่ออิเล็กทรอนิกส์แผ่นเล็กบางเฉียบที่บรรจุตารางนัดหมาย แม้รายละเอียดถูกส่งให้เจ้านายผ่านระบบออนไลน์ที่บันทึกไว้ ซึ่งที่จริงเขาก็คงจะเห็นตั้งแต่ตอนที่เขาบันทึกลงไปแล้ว แต่เขาก็ต้องรายงานเป็นกิจวัตรประจำวันตามหน้าที่
“บอสมีประชุมผู้บริหาร บ่ายโมงมีนัดกับอลอนโซ่ จากนั้นก็มีดินเนอร์กับเอเรียน่าต่อ” คาเธอร์อธิบายอย่างรวบรัดที่สุด เพราะเจ้านายหนุ่มไม่ชอบการอธิบายที่เยิ่นเย้อไร้สาระ
เจ้านายหนุ่มพยักหน้าแกนๆ ก้มลงมองคนที่อยู่บนตักที่หลับปุ๋ยไปแล้ว คาเธอร์เห็นเขาพ่นลมหายใจออกทางปลายจมูกเบาๆ ปนกับแววตาหนักใจของเขา ในที่สุดก็ตัดสินใจบอก
อลอนโซ่พยายามนัดหมายที่จะเจอเขาอยู่หลายรอบ ชายหนุ่มไม่เคยรับนัดสักครั้ง เขาเองก็อยากรู้ว่าคนพวกนั้นต้องการอะไร ยิ่งนัดมาตอนที่ เดลล่าเข้ามาแบบผิดปกติอย่างนี้ เขาก็ยิ่งอยากรู้
“นายให้ใครก็ได้มาอยู่เป็นเพื่อนเดลล่าที”
เขาวางแม่หนูน้อยบนเตียง หมุนตัวกลับไปจัดการตัวเองให้เสร็จก่อนจะออกไปประชุม ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม งานก็ยังสำคัญกับเขามากที่สุดเสมอ
ชายหนุ่มเดินกลับออกมาจากห้องแต่งตัวอีกครั้ง หนูน้อยเดลล่าก็ยังหลับสนิทอยู่บนเตียงของเขา เขาค่อยๆ ทิ้งตัวลงบนเตียง โดยใช้ข้อศอก ตั้งคร่อมอยู่บนศีรษะของเธอเอาไว้ ชายหนุ่มโน้มตัวลงไปจูบเบาๆ ที่ปลายจมูกเล็กของเธออย่างไม่อาจห้ามใจ
“แด็ดไปทำงานก่อนนะ เจอกันตอนเย็น” ชายหนุ่มบอกเสียงนุ่ม ทอดแววตาอ่อนโยนมองอย่างหวงแหน ยังโอ้เอ้ไม่ยอมลุกจากเตียง เขาส่งปลายนิ้วเขี่ยจมูกเล็กๆ เบาๆ คนโดนสัมผัสยิ้มออกมาในทันที นั่นยิ่งทำให้ชายหนุ่มแทบไม่อยากละสายตาไปไหน
ในเวลาเพียงข้ามวันเธอก็ทำให้เขาหลงรักแววตาใสซื่อและแก้มชมพูเป็นพวงจนถอนตัวไม่ขึ้น ตั้งตัวเป็นพ่อให้กับตัวเองตั้งแต่วันแรก โดยไม่รู้ว่าเดลล่าเป็นลูกของใครด้วยซ้ำ
อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าเธอต้องเกี่ยวข้องกับซารีน่าน้องสาวของเขาแน่นอน เพราะสร้อยข้อมือชิ้นนั้นเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ทำให้หัวใจของเขา เต้นแรงขึ้นมาอีกครั้งในรอบห้าปี
ผู้หญิงคนนั้นจะต้องรู้เรื่องราวเกี่ยวกับซารีน่า เขากำลังสงสัยว่าเธอจะเป็นเพียงคนเดียวที่กุมความลับทุกอย่างเอาไว้ สิ่งเดียวที่เขาจะต้องทำให้เร็วที่สุดคือตามตัวผู้หญิงคนนั้นมา และเค้นเอาความจริงจากเธอให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
คาเธอร์ยิ้มให้กับภาพที่เห็น นึกจินตนาการไปถึงตอนที่เจ้านายหนุ่มมีภรรยาและลูก ใบหน้าของเขาคงจะมีรอยยิ้มเหมือนเมื่อห้าปีก่อนอย่างที่ลูกน้องทุกคนเคยเห็น ตอนนี้มันเลือนรางจนแทบไม่มีใครได้เห็นมันอีก
หญิงสาวร่างสูงโปร่งก้าวลงจากรถพร้อมทั้งยื่นค่าโดยสารให้ คนขับรถกุลีกุจอยกกระเป๋าของเธอลงมาให้อย่างทุลักทุเล เพราะขนาดและน้ำหนักของมันไม่เหมาะนักสำหรับคนแก่รูปร่างผอมอย่างลุงคนขับ
สิตมนเป็นสาววัยเลยเบญจเพส เธอมีรูปร่างสูงโปร่ง ขายาวผิดแผกจากมาตรฐานหญิงไทยไปเล็กน้อย เธอเป็นคนผิวสีน้ำผึ้งเนียนละเอียด แม้ว่าอยู่ที่บ้านเกิดชาวบ้านจะเรียกเธอว่านังเขียวบ้าง นังดำบ้าง
หญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงยีนส์สีเข้ม แม้เธอจะกลับมาแบบฉุกละหุก แต่หลังเหตุการณ์การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของรัชกาลที่ 9 ที่คนไทยทั่วประเทศต่างไว้ทุกข์ เธอเองก็เป็นหนึ่งของข้ารองพระบาทที่จงรักภักดีกับพระองค์ท่านเหมือนอย่างทุกคน
หญิงสาวกระชับสายเป้ให้ยึดกับไหล่มน ก่อนจะค่อยๆ ถอดแว่นกันแดดสีชาออกจากกรอบใบหน้า เสียบไว้ที่บนศีรษะของตัวเองกับเส้นผมสยายดำขลับ ยาวเกือบถึงสะโพกผาย
หญิงสาวเบิกตาอย่างตกตะลึงกับภาพตรงหน้า บ้านถูกปิดมิดชิด แต่มีรองเท้าวางเรียงมากกว่าคนในบ้านอยู่ปกติ ดวงตาคู่คมของเธอกลอกไปมาอย่างระอา ไอ้อ้วนหลานชายวัยกะเปี๊ยกของเธอนอนอืดจมกองขนมอยู่ใต้ต้นมะม่วงหน้าบ้าน ยายคงสั่งให้มานอนดูต้นทางเหมือนเดิม
สิตมนเดินเข้าไปใกล้เจ้าอ้วน เขย่าตัวเขาไปมา เจ้าอ้วนงัวเงียลุกขึ้นตะโกนเสียงดังลั่น “ยาย ตำรวจมา!”
หลังจากนั้นวงไพ่ก็แตกฮือ หญิงชราหอบเชี่ยนหมากและถลกผ้าถุงวิ่งออกมา บ้างก็ล้มลุกคลุกคลาน บ้างก็แข้งขาไม่ดีร้องโอดโอย รีบคว้ารองเท้าของตัวเองมาถือเอาไว้ ลุกลี้ลุกลนหาทางออก
บางคนทำตัวไม่ถูกวิ่งเข้าไปซุกในตุ่ม แต่ก็ติดก้นยัดตัวลงไม่ไหว ต้องเอาตะกร้ามาครอบหัวคลุมปิดเอาไว้ อย่างนี้นี่เองที่เขาเรียกกันว่า... ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“ถ่านำแน อย่าฟ่าวๆ” ยายคำส่งภาษาท้องถิ่นของตัวเองร้องตามเพื่อน นางที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมลุกขึ้นไม่ไหว รอบตัวใต้ผ้าถุงมีน้ำเปียกชื้นอยู่ด้านล่างเพราะนางฉี่ราดออกมานั่นเอง
วงไพ่พันปีของยายถูกสิตมนถล่มแทบไม่เหลือซาก เมื่อยายพาเจ้าของบ้านตั้งหลักได้ก็กวาดสายตามองหาตำรวจ เห็นเหลนชายยืนยิ้มแป้นเพราะยังฟางขี้ตากับหลานสาวยืนอยู่ นางก็วีนขึ้นมาทันที
“นังผึ้ง! มานาทีแรกกะหาเรื่องเลยเนาะมึง ขั่นมีคนหัวใจวาย มึงสิว่าจังได๋” ยายพายกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าสะเอว ส่วนอีกมือยกขึ้นชี้หน้าหลานสาว
ยายพามีหลานสองคนคือ น้ำผึ้ง สิตมน กับ น้ำฝน มนสิกานต์ แม่ของทั้งคู่เสียไปตั้งแต่หลานสาวสองคนยังเล็ก ส่วนพ่อของพวกเธอก็ไปมีเมียใหม่ไม่ดูดำดูดีลูก ปล่อยให้ยายพาเลี้ยงมาตามมีตามเกิดเพราะความยากจน จนกระทั่งพวกเขาโต
หญิงสาวในละแวกบ้านของเธอนิยมแต่งงานกับคนต่างชาติ หรือแต่งงานกับคนไทยและเกิดการหย่าร้าง แทบทุกครอบครัวของคนที่นี่ต่างมีลูกเขยหลานเขยฝรั่ง สร้างบ้านหลังใหญ่โตอวดกันเป็นว่าเล่น
ยายพาบอกให้สิตมนเลิกเรียนต่อ นางอยากให้เธอแต่งงานกับฝรั่งที่ญาติคนข้างบ้านหาให้เหมือนอย่างพี่สาวของเธอ แต่เธอปฏิเสธทันทีโดยไม่สนใจว่ายายจะโกรธสักแค่ไหน และครั้งนั้นยายก็โกรธมากจนไล่หลานสาวไปทำงานหาเงิน ไม่ส่งเสียให้เรียนต่อ
น้ำฝน มนสิกานต์ พี่สาวของเธอแต่งงานกับคนไทยและมีเจ้าอ้วนเป็นลูกชายคนเดียว หลังจากใช้ชีวิตคู่ไม่นานพวกเขาก็หย่าร้าง ด้วยความที่ยังเด็กทั้งคู่นั่นเอง
หลังจากเลิกรากับสามีคนไทยน้ำฝนก็ได้เจอกับคนต่างชาติจากคำแนะนำของญาติข้างบ้าน เธอได้แต่งงานอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ย้ายไปอยู่อิตาลีกับสามีใหม่ ทิ้งให้เจ้าอ้วนอยู่กับยายพา เพียงส่งเสียเงินทองและสร้างบ้านให้อยู่เท่านั้น
สิตมนออกจากบ้านตั้งแต่จบมัธยมปลาย ทั้งที่พี่สาวของเธอยินดีที่จะส่งเสียให้น้องสาวได้เรียนต่อ แต่น้ำผึ้งก็ปฏิเสธเพราะเห็นว่าพี่สาวของเธอเองก็แบกรับภาระหนัก ทั้งต้องส่งเสียลูกชายที่เกิดกับสามีเก่าและยายที่บ้าน ยิ่งยายเข้าใจว่าทุกคนที่ได้สามีต่างชาติแล้วจะรวยทุกคน คุยโวโอ้อวดแข่งกับลูกเขยบ้านอื่นและเรียกร้องกับหลานสาวมากเช่นกัน
มนสิกานต์เป็นผู้หญิงหัวอ่อนที่เชื่อฟังยายมาก ยอมทำตามคำพูดที่ยายบอกทุกอย่าง แตกต่างกับสิตมนที่เถียงคำไม่ตกฟาก เลือกและตัดสินใจใช้ชีวิตด้วยตัวเองเสมอมา นั่นทำให้เธอกลายเป็นหลานชัง ไม่ถามหา ไม่กลับมาบ้านนานหลายปีก็ไม่มีใครคิดถึง
สิตมนเป็นคนทะเยอทะยานและมีความมุ่งมั่นสูง เธอดั้นด้นหาทุนสอบเพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศจนได้ แม้จะใช้เวลาเกือบสองปีกว่าที่จะสอบติดและได้เดินทางไปเรียนก็ตาม เธอแวะเวียนไปหาพี่สาวที่อยู่ต่างเมืองบ้าง แต่ก็ไม่พยายามทำตัวให้เป็นภาระกับพวกเขา บ่อยครั้งก็แอบฝากเงินผ่านพี่สาวมาให้ยายเพราะความสงสารพี่สาว
มาริโอ้ พี่เขยของเธอเป็นพ่อหม้ายที่มีลูกติดสองคน ทั้งคู่อยู่ในวัยเรียน ในขณะที่เขาก็ทำงานสำนักงานรายได้แค่พอดูแลครอบครัวได้ไม่เหลือเก็บมาก มนสิกานต์ทำงานในร้านนวดแผนไทยช่วยกันหาเงินอีกแรง เพราะต้องส่งให้ยายกับลูกที่เมืองไทยทุกเดือนก็ลำบาก
มนสิกานต์ยังให้ลูกชายอยู่ที่เมืองไทยต่อเพราะไม่สามารถย้ายมาอยู่ที่อิตาลีได้ บ้านเช่าหลังเล็กที่อยู่กันสี่คนก็แออัดมากพอ อีกทั้งค่าครองชีพที่นี่ก็สูงกว่าที่เมืองไทยมาก และเธอเองก็ไม่อยากให้ลูกต้องปรับตัวมากมาย อิตาลีเป็นเมืองที่ใช้ภาษาของตัวเอง ภาษาที่สามที่เธอก็ต้องเรียนรู้อย่างหนักเช่นกัน เธอไม่อยากให้ลูกต้องมาเจอสภาวะกดดันและอึดอัดตั้งแต่เด็ก อยู่กับยายเขามีความสุขมากกว่า