ห้องน้ำในเรือนหลักถูกจัดเตรียมเป็นอย่างดี เด็กน้อยถูกอุ้มไปยังส่วนของที่เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนมือบางจะค่อยๆ ถอดชุดสีซีดนั่นออก ไม่แปลกใจเลยเมื่อเจ้าก้อนนุ่มไม่ได้รับความรักจากบิดามารดา มิหนำซ้ำปู่ย่ายังถือคติลูกโตแล้วไม่ก้าวก่ายอีกต่างหาก ดังนั้นชีวิตความเป็นอยู่ของเจ้าตัวเล็กจึงย่ำแย่กว่าคุณหนูตระกูลใหญ่ทั่วไป
“นี่มัน…” หญิงสาวชะงักค้างเมื่อพบว่าตามร่างเล็กเต็มไปด้วยรอยช้ำเป็นจ้ำสีม่วงเขียว บางจุดหนักถึงขั้นขึ้นห้อเลือดเลยก็มี
“ทะ ท่านแม่” หลี่เยว่จูหันมาพบใบหน้ากรุ่นโกรธของมารดาจึงทำให้ความทรงจำการโดนไล่ตะเพิดย้อนกลับมาอีกครั้ง
“เด็กดี แม่ไม่ได้โกรธหนู” มือบางลูบศีรษะทุยอย่างอ่อนโยน ก่อนจะใส่เสื้อผ้ากลับคืนที่เดิมเสียก่อน
“ไฉ่ฝู ไป ลาก ตัวพี่เลี้ยงของคุณหนูมาเดี๋ยวนี้” เสียงหวานกดต่ำจนบรรดาสาวใช้ได้แต่ก้มหน้างุด
“เจ้าค่ะ” สาวใช้คนสนิทที่ตามมาจากบ้านเดิมรีบเร่งออกไปทำตามคำสั่งทันที เพียงไม่นานก็มีเสียงร้องโวยวายดังขึ้น
“กรี๊ดด ปล่อยข้านะ! กล้าดียังไงมาจับข้า ข้าเป็นถึงพี่เลี้ยงของคุณหนูเลยนะ!!” ร่างของสาวใช้นางนั้นถูกจับลากมาโดยคนงานชายสองคนจึงไม่อาจหนีรอดไปได้โดยง่าย
“ไฉ่เฟิน ไปตามบ่าวไพร่ทุกคนที่อยู่เรือนหลักมา” เพราะตอนนี้บุรุษผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางรับตำแหน่งสืบทอดมาเรียบร้อยแล้ว บิดามารดาของเขาจึงไปอยู่ที่เรือนกลางแทน
“เจ้าค่ะ” ไฉ่เฟินรับคำก่อนจะถอยไปจากตรงนั้น
แม้ทุกคนจะสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยอันใดออกมาสักนิด เมื่อร่างบางระหงในชุดสีแดงเลือดนกกำลังนั่งกวาดตามองมาที่พวกเขาด้วยใบหน้านิ่งเรียบคาดเดาอารมณ์ไม่ถูกพร้อมกับอุ้มบุตรีไว้ในอ้อมแขนราวนางหงส์กางปีกปกป้องลูก
“มากันครบแล้วเจ้าค่ะฮูหยิน” ไฉ่เฟินเข้ามารายงานก่อนจะถอยกลับไปยืนด้านหลังผู้เป็นนาย
“พวกเจ้าคงสงสัยว่าข้าเรียกมาด้วยเหตุอันใด” เสียงหวานใสก้องกังวานไปทั่วลานหน้าเรือนหลัก ทุกคนพร้อมใจกันเงียบฟัง
“ข้าคือฮูหยินของตระกูลหลี่ใช่รึไม่” ริมฝีปากสีสวยแย้มยิ้มบางอย่างหาได้ยาก เพราะตั้งแต่แต่งเข้ามานายหญิงของจวนก็โมโหร้ายด่าทอบ่าวไพร่มาโดยตลอด
“ใช่ขอรับ/เจ้าค่ะ” ทั้งหมดตอบรับเสียงค่อย
“และนี่คือบุตรีของข้า ย่อมต้องเป็นคุณหนูของตระกูลหลี่ใช่รึไม่” รอยยิ้มที่กดลึกมากขึ้นไปอีกนั้นช่างดูเย็นเยียบ
“ชะ ใช่แล้วขอรับ/เจ้าค่ะ” ครานี้ไม่มีใครกล้าตอบรับเต็มเสียง เมื่อที่แล้วมาทุกคนไม่ได้สนใจใยดีคุณหนูสักเท่าไหร่
“แล้วคนที่มันบังอาจทำร้ายคุณหนูตระกูลหลี่ ควรมีโทษเช่นไร” รอยยิ้มที่เคยมีจางหายไปอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงกดต่ำแฝงไปด้วยโทสะทำให้เหล่าคนฟังต่างหลั่งเหงื่อเพราะความวิตกกังวล
“โทษโบย 50 ไม้ แล้วขายออกขอรับ” พ่อบ้านประจำตระกูลที่ถูกเรียกตัวมาด้วยเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบดูสถานการณ์อยู่นาน นึกว่าสตรีนางนี้จะก่อความวุ่นวายอันใดอีก ที่ไหนได้…นับว่าน่าแปลกใจจริงๆ
“ดี! จูจูน้อยของแม่ เจ้าไม่ต้องกลัวผู้ใดเพราะแม่ของเจ้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเจ้าอีก บอกแม่มาได้รึไม่ แผลตามร่างกายของเจ้าใครคือคนทำ เจ้าชี้ได้เลย” คนงามปลอบประโลมเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนทุกคนตรงนั้นแทบไม่อยากเชื่อหู รอยยิ้มหวานที่ต่างไปจากเมื่อครู่ทำเอาตาพร่าไปหมด ความจริงแล้วฟางเสวี่ยเจี๋ยถือว่าเป็นคนที่สวยมาก มากถึงขนาดที่ไม่มีใครในแคว้นจะเทียบเคียงได้ง่ายๆ แต่เพราะนิสัยร้ายกาจและชอบอาละวาดอยู่เสมอจึงฝังกลบความงามของตนไว้จนมิด
“ตะ แต่ว่า” เจ้าตัวเล็กจำได้ขึ้นใจกับคำกรอกหูว่าห้ามบอกผู้ใด มิเช่นนั้นจะไม่ได้พบท่านแม่อีก
“ไม่ต้องสนใจในสิ่งที่นางบอกเจ้า แม่จะอยู่กับเจ้าเสมอ จะไม่ทิ้งเจ้าไปไหนอีกแล้ว” มองใบหน้าจิ้มลิ้มลังเลทำให้หัวใจของเธอบีบรัดมากกว่าเดิม ต้องโดนมาขนาดไหนเด็กวัยเพียงเท่านี้ถึงจำฝังใจ
“ท่านแม่” สายตาเว้าวอนของเด็กน้อยเหมือนจะบอกว่าอย่าหลอกกันนะ แต่เพราะไม่ได้รับการสอนที่ดีนางจึงไม่อาจเรียบเรียงคำพูดได้อย่างที่ใจคิด
“เชื่อแม่” ริมฝีปากได้รูปกดจุมพิตลงบนหน้าผากมนอย่างรักใคร่ การแสดงออกทั้งหมดนั่นทำให้บุคคล 3 คนที่ยืนมองจากที่ห่างไกลถึงกับตกตะลึง
“อื้อ” หลี่เยว่จูยิ้มรับทั้งน้ำตา ความรักของมารดาที่โหยหามาตลอดตอนนี้นางได้รับมันแล้ว!
“มะ ไม่ใช่ข้านะเจ้าคะ!” เมื่อมือน้อยๆ ของคุณหนูชี้มายังร่างของพี่เลี้ยงทำให้นางร้อนรนจนหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ
“หืม…รึเจ้าจะบอกว่าบุตรีของข้าโกหกตั้งแต่อายุเพียงเท่านี้อย่างนั้นหรือ” ดวงตากลมสีน้ำตาลหรี่มองขณะที่มือบางยังคงลูบศรีษะเล็กให้ซบไหล่ของตนเอาไว้
“มะ ไม่ใช่เจ้าค่ะ คือ…” ข้อแก้ตัวใดๆ ล้วนนึกไม่ทัน ใครจะไปคิดว่าคุณหนูที่ถูกทอดทิ้งมาตั้งแต่เกิดจะได้รับความสนใจเอาตอนนี้
“จัดการให้เรียบร้อย หวังว่าข้าจะไม่ต้องเห็นหน้านางอีก” คำสั่งเด็ดขาดทำให้พ่อบ้านก้มโค้งรับ ก่อนจะลากพี่เลี้ยงคนนั้นออกไปท่ามกลางเสียงกรีดร้อง
“ต่อไปนี้หวังว่าบ่าวไพร่ในตระกูลหลี่จะรู้ฐานะของตนเอง” คำกล่าวนั้นคือการประกาศว่าคุณหนูของจวนต้องได้รับการดูแลที่สมควร
“ขอรับ/เจ้าค่ะ” ทุกคนก้มหน้ารับพลางตอกย้ำตนเองในใจว่าห้ามทำอันใดให้ฮูหยินโกรธเป็นอันขาด ปกติยามอาละวาดก็ดูเหมือนสตรีเอาแต่ใจทั่วไป แต่เมื่อนางวางตัวเช่นนี้ราวกับพญาหงส์ที่ใครก็มิอาจเอื้อมเลยทีเดียว
“เช่นนั้นก็แยกย้ายไปทำงานของพวกเจ้าเถอะ” เอ่ยจบร่างบางจึงลุกจากที่นั่งเดินกลับเข้าเรือนเพื่อพาบุตรสาวไปอาบน้ำทำแผลให้เรียบร้อย ผิวกายของเด็กถ้าปล่อยทิ้งไว้เช่นนี้คงไม่หายโดยง่ายแน่ๆ
ทางด้านเรือนกลางที่มีคู่ชายหญิงวัยกลางคนนั่งจิบชาอยู่ในโถงรับแขก ยามนี้พวกเขากำลังสนทนาถึงภาพที่เพิ่งเห็นไปเมื่อครู่
“ท่านว่านางแปลกไปรึไม่เจ้าคะ” เสียงหวานสมวัยเอ่ยถามพลางรินน้ำชาให้สามี
“อืม นางอาจจะคิดได้แล้ว” พวกเขาทั้งสองแม้จะทำเหมือนไม่สนใจหลานสาวเพียงคนเดียว แต่ใครเล่าจะไม่รักลูกหลานของตน เพียงแต่พวกเขาไม่อยากก้าวก่ายชีวิตของบุตรชายเพียงเท่านั้น
“แม้จะเป็นไปได้ยาก…แต่ถ้าใช่ คงเป็นเรื่องดี” ว่านอันฉือผู้เป็นฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวด้วยความเหนื่อยใจ นางอยากเข้าไปกอดหลานใจแทบขาด แต่ติดที่ลูกสะใภ้นั้นมีนิสัยเกินรับได้ ถ้าพวกนางเข้าหาหลานสาวอีกฝ่ายย่อมใช้ประโยชน์ในเรื่องนี้มาบีบคั้นบุตรชายมากกว่าเดิม
“เราได้แต่เฝ้ามองพวกเขาเท่านั้น น้องหญิง” หลี่มู่เหลียงผู้เป็นกุนซือของแม่ทัพใหญ่ตอบพลางขบคิดบางอย่าง
“หวังว่าลูกชายของเราจะเลิกดื้อดึงเสียทีนะเจ้าคะ” ถึงแม้การแต่งงานครั้งนี้จะเป็นเพราะแผนการของฝ่ายหญิง แต่ในเมื่อเรื่องราวมันมาไกลขนาดนี้แล้ว ทำใจยอมรับเร็วได้เท่าไหร่ก็ดีกับตนเองมากเท่านั้น
“คงต้องรอดูต่อไปล่ะนะ” ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ถึงความอดสูที่บุตรชายต้องแบกรับ แต่สำหรับสตรีที่แต่งเข้ามาเป็นสะใภ้นางนี้ก็ถือว่าใช้ได้ไม่น้อย ถ้าไม่นับนิสัยเอาแต่ใจนั่นความงดงามและความเฉลียวฉลาดถือว่าไม่เป็นสองรองใคร ถึงขนาดวางแผนซ้อนกลจนได้ครอบครองบุตรชายเขาเชียวนะ
นอกจากสองสามีภรรยาแล้ว ภายในห้องหนังสือติดกับเรือนหลักเองก็มีบุรุษใบหน้าเคร่งขรึมกำลังขบคิดบางอย่างด้วยความไม่พอใจอยู่
“พี่เลี้ยงคนนั้นบังอาจทำร้ายบุตรีของข้า นอกจากคำสั่งโบยแล้วให้ขายนางไปที่โรงค้าทาส กำชับพวกเขาว่าถ้าเป็นพวกหอนางโลมมารับซื้อก็ขายไปเสีย แต่ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ต้องขาย” เสียงทุ้มเอ่ยบอกพลางนึกถึงใบหน้าของเจ้าตัวเล็กซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา
“ขอรับ” พ่อบ้านคนสนิทรับคำแต่ยังคงยืนรอปรนนิบัติอยู่ไม่ห่าง