บทที่ 1 ฮอร์โมนวัยแรกรุ่น

2422 คำ
“พี่คนนั้นเขาไม่ได้ชอบฉัน ไม่เคยชอบเลย เพราะเขาชอบคนอื่น!” ประโยคนี้ตอกย้ำฉันมานานหลายปี จนกระทั่งได้เจอกับพี่เขาอีกครั้ง และหัวใจของฉันก็ยังเต้นแรงเหมือนวันแรกที่รู้ตัวว่าชอบพี่เขา ‘พี่เหมันต์’ หลายปีก่อน “รีบไปโรงเรียนได้แล้วแยมโรล ลูกจะสายแล้วนะ!” เสียงแม่โวยวายขึ้นเมื่อเห็นฉันยังอิดออดใส่ถุงเท้าอยู่ “จ๋าแม่ แยมโรลจะไปตอนนี้แหละ” ฉันตอบกลับแม่ไปพลางสอดเท้าใส่รองเท้านักเรียนรุ่นเจ้าหญิงเบลล์คอลเลกชั่นใหม่เอี่ยม “แยมโรลไปเรียนแล้วนะแม่ สวัสดีค่ะ” พูดบอกผู้มีพระคุณเสร็จ ฉันก็รีบวิ่งมาที่ป้ายรถเมล์ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านทันที รอไม่นานรถเมล์สายที่ผ่านหน้าโรงเรียนก็มาถึง ฉันจึงรีบขึ้นไปจับจองที่ว่างที่พอมีเหลืออยู่ รถเมล์ขับเคลื่อนแบบเอื่อยเฉื่อยมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงหน้าโรงเรียนมัธยมศึกษาเอกชนชื่อดังที่ได้ชื่อว่าค่าเทอมแพงหูฉี่ กฎระเบียบไม่เคร่งครัด มีแต่ลูกคุณหนูมาเรียน แต่ทว่าบรรยากาศและสภาพแวดล้อมในโรงเรียนก็ดีแบบสุด ๆ เมื่อมาถึงโรงเรียนฉันก็รีบลงชื่อเข้าร่วมปฐมนิเทศนักเรียนใหม่ ซึ่งก็คือนักเรียนเกรดเจ็ดและเกรดสิบ แล้วก็เดินเข้ามานั่งในหอประชุมโดมขนาดใหญ่และโคตรอลังการเพื่อรอรับการปฐมนิเทศ “อยู่ห้องไหนอ่ะ?” คนที่นั่งข้าง ๆ เขยิบเข้ามากระซิบถามฉันด้วยท่าทางอยากตีสนิทด้วย ฉันจึงคลี่ยิ้มบางตอบไปด้วยความประหม่า ปกติฉันเป็นคนขี้อายมาก จึงไม่ค่อยชินเวลาที่มีคนมาคุยหรือทำความรู้จักด้วยในคราแรกที่เจอกัน “ห้องสองค่ะ” “ห้องเดียวกันเลย เราชื่อหมิว ตัวชื่ออะไร?” ได้ยินฉันตอบไปแบบนั้นเธอก็ยิ้มร่าตาหยี ดูดีใจไม่น้อยที่เจอเพื่อนห้องเดียวกัน ฉันเองก็ดีใจเหมือนกัน แม้จะรู้สึกประหม่าและเกร็งมากก็ตาม “เราชื่อแยมโรล” “ยินดีที่ได้รู้จักตัวนะแยมโรลเพื่อนใหม่ของเรา” หมิวพูดพลางยื่นมือมาตรงหน้าให้ฉันจับ “อื้อ” ฉันพยักหน้าหงึก ๆ แล้วยื่นมือไปจับมือของหมิวแล้วกระตุกเบา ๆ อย่างทำตัวไม่ถูก ไม่ได้ทำความรู้จักเพื่อนใหม่มานานแล้ว ตอนเรียนประถมศึกษาก็มีแต่เพื่อนหน้าตาเดิม ๆ แทบไม่มีเด็กใหม่เลย “ว่าแต่ตัวมาเรียนคนเดียวเหมือนเราใช่ป่ะ?” “เปล่า มากับเพื่อนอีกคน แต่เพื่อนไม่สบายวันนี้เลยไม่ได้มาปฐมนิเทศ” พอนึกถึงคนที่เอ่ยถึงก็อดเสียดายไม่ได้ที่เพื่อนสนิทตั้งแต่ ป.1 ของฉันอย่าง ‘ยาหยี’ ไม่ได้มาปฐมนิเทศด้วยในวันนี้เพราะดันป่วยกะทันหัน “น่าเสียดายอ่ะ วันเปิดเทอมตัวพาเพื่อนอีกคนมาทำความรู้จักเราด้วยนะ” ฉันพยักหน้าตอบซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ตรงหน้าเวทีมีคนขึ้นไปกล่าวต้อนรับ บทสนทนาระหว่างเราจึงหยุดถึงแค่ตรงนี้ ขณะนั่งฟังทีชเชอร์กำลังบรรยายเกี่ยวกับกฎระเบียบภายในโรงเรียนอะไรไปเรื่อย ฉันก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองตาจะปิดเพราะง่วงไม่ไหว สายตาของฉันก็ปะทะเข้ากับร่างสูงโปร่งของใครบางคนที่มีออร่าบางอย่างแผ่ซ่านออกมา เขาดูโตมาก อาจจะเป็นรุ่นพี่ก็ได้ แต่ไม่รู้เกรดอะไร ขณะลอบมองก็เห็นพี่เขายกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายภาพเก็บบรรยากาศการปฐมนิเทศของนักเรียนใหม่ มองจากมุมนี้พี่เขาดูดีจัง แต่หน้าตาดูไม่ค่อยชอบยิ้มเลยอ่ะ ติดเย็นชาด้วย ลุคดูเหมือนพระเอกนิยายที่ฉันชอบอ่านเลยอ่ะ ขณะที่ทีชเชอร์กำลังพูดอย่างเมามัน จู่ ๆ ไมค์ก็เกิดติด ๆ ดับ ๆ และเสียงสะดุด ทีชเชอร์จึงเดินลงเวทีไปบอกกับพี่คนนั้นด้วยระดับเสียงที่พอให้คนในหอประชุมได้ยินว่าพูดอะไรบ้าง “พีไอ เดี๋ยวไปห้องโสตฯ ช่วยไปเอาไมค์อันใหม่มาให้ทีชเชอร์หน่อยจ้ะ” “ครับ” ขานรับคำทีชเชอร์เสร็จพี่เขาก็เดินออกจากหอประชุมไป โดยมีฉันชะเง้อมองตามหลังอย่างให้ความสนใจ ที่แท้ก็ชื่อ ‘พีไอ’ นี่เอง ชื่อแปลกดีแฮะ ไม่เคยเจอคนชื่อแบบนี้มาก่อนเลย “พี่เขาหล่อดีเนอะตัวว่าป่ะ” ‘หมิว’ เพื่อนข้าง ๆ ที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อตะกี้นี้ขยับเข้ามากระซิบกับฉัน ทำเอาฉันสะดุ้งตกใจเล็กน้อย “อืม หล่อดี” ฉันพยักหน้างึกงักอย่างเห็นด้วยกับหมิว คนไม่เคยสนใจผู้ชายคนไหนและเอาแต่เรียนให้ได้เกรดดี ๆ ตั้งแต่เด็กอย่างฉัน บวกกับเพิ่งดูหนังแอบรักรุ่นพี่สุดฮิตจบไปเมื่อไม่กี่วันก่อน พอได้เจอรุ่นพี่สุดหล่อในรั้วมัธยมศึกษาก็อดที่จะหวั่นไหวไม่ได้ สงสัยฮอร์โมนวัยรุ่นกำลังทำงาน ในระหว่างปฐมนิเทศฉันก็เอาแต่ลอบมองพี่พีไอแทบตลอดทั้งวัน จนกระทั่งไม่ได้เห็นหน้าพี่เขาแล้วเพราะฉันต้องกลับบ้าน พอกลับมาถึงบ้านฉันก็ส่องกระจกชะโงกดูเงาของตัวเอง เห็นหน้าบาน ๆ ดั้งแหมบ ๆ ฟันเหยิน ๆ หัวฟู ๆ แล้วอยากจะบินไปทำหน้าใหม่ที่เกาหลีแต่ติดอยู่ที่ไม่มีเงินนี่แหละคือปัญหาใหญ่ หลังจากมองสำรวจและพิจารณาตัวเองหน้ากระจกอยู่นาน ฉันก็เห็นเพียงข้อดีเดียวของตัวเองคือการมีดวงตาที่กลมโตและผิวที่ขาวซีด นอกนั้นก็ไม่มีอะไรดีเลย ตัวก็เตี้ย หน้าตาก็ดูไม่ได้ เฮ้อออ ท้อแท้ใจ และปัญหาที่ฉันคิดว่าหนักที่สุดในตอนนี้คือหัวฟู ๆ ของตัวเองที่ไม่ว่าจะจัดทรงยังไงก็ฟูฟ่องและหยิกหย็องอยู่ดี จึงตัดสินใจเดินไปหาคุณแม่สุดเนี้ยบ “แม่จ๋า” “อะไร?” เสียงเข้มขานตอบรับ ดูไม่สบอารมณ์อย่างแรง สงสัยจะเครียดกับงานที่บริษัท แต่ในเมื่อฉันตั้งใจไว้แล้วว่าจะพูดขออะไร ฉันก็ต้องลองเสี่ยงดวง “แยมโรลอยากยืดผม อยากผมตรงสวยและนุ่มสลวย” “แกแหกตาดูผมแม่ของแกด้วย จะไปอยากผมตรงทำไม เป็นเด็กก็สนใจแค่เรื่องเรียน อย่าริอ่านรักสวยรักงามให้เสียการเรียน!” แม่พูดร่ายยาวพลางชี้นิ้วไปที่ผมของตัวเองให้ฉันดู ซึ่งมันหยกศกและเงางามไม่เหมือนผมของฉันที่นอกจากจะหยกศกและยังฟูคล้ายถูกไฟซ๊อตอีกต่างหาก แต่ฉันก็ไม่กล้าแย้งแม่กลับไป “หนูแค่รู้สึกอายเพื่อนที่ผมฟูฟ่อง” “ผมฟูแล้วมันทำไม ผมแกน่ะมันเป็นยีนเด่น ฉันกับพ่อแกให้ไป แกควรจะภูมิใจนะ” “……” ฉันพูดอะไรไม่ออกเลย ได้แต่ยืนเม้มปากแน่นฟังแม่บ่นยาวเหยียด “เลิกคิดเรื่องนี้ซะ แล้วก็อย่าเอาแต่สนใจเรื่องพรรค์นี้ โตก่อนค่อยอยากสวยอยากงาม ตอนนี้ตั้งใจเรียนก่อน!” “……” “เข้าใจไหม?” “ค่ะ” ฉันทำหน้ามุ่ยใส่และตอบรับคำของแม่ไปก่อนจะเดินเข้าห้องนอนอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ ทำไมแม่ต้องกีดกันไม่ให้ฉันอยากสวยอยากโตเป็นสาวด้วยนะ ฉันก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่อยากดูดีในสายตาของเพศตรงข้ามเหมือนกันนะ แล้วดูสิเอาแต่พูดเน้นย้ำให้ฉันตั้งใจเรียนจนหลอนหูหลอนสมองไปหมดแล้ว และมันก็ทำให้ฉันกดดันตัวเองด้วย “ตัวกินข้าวรึยังแยมโรล?” “ยัง เราไม่หิวอ่ะ” ฉันส่ายหน้าตอบยาหยีไป วันนี้ไม่ได้กินข้าวเช้ามาเพราะฉันไม่อยากทนฟังเสียงบ่นตั้งแต่ตื่นยันออกจากบ้านของแม่จึงรีบออกมาทั้งแบบนั้น “แล้วไหนเพื่อนใหม่ตัวที่บอกว่าจะแนะนำให้รู้จัก” หลังจากวันปฐมนิเทศที่ฉันได้รู้จักกับหมิว ก่อนกลับเราได้แลกเฟสบุ๊กไว้คุยกัน ฉันจึงเล่าเรื่องนี้ให้ยาหยีฟังด้วย “มานู่นแล้ว” “หวัดดีแยมโรล หวัดดียาหยี เราหมิวนะ” “หวัดดีหมิว” หลังหมิวและยาหยีทักทายทำความรู้จักกันเรียบร้อยแล้ว หมิวก็หันมาถามฉันขึ้น “นี่แยมโรล ตัวจำพี่พีไอที่เป็นตากล้องถ่ายรูปวันปฐมนิเทศได้ป่ะ?” ฉันจำได้ดี ใครจะไปลืมพี่เขาลง หล่อดูดีดูมีออร่าซะขนาดนั้น จึงพยักหน้าตอบหมิวไป “หลังจากวันนั้นก็มีแต่คนเม้าท์พี่เขาในกลุ่มซุบซิบของโรงเรียนกันจนแทบแตก” “……” “พวกตัวนั่งนิ่งกันแบบนี้อย่าบอกนะว่ายังไม่ได้เข้ากลุ่ม” ฉันกับยาหยีพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน กลุ่มซุบซิบอะไรของโรงเรียนฉันไม่รู้จักและไม่รู้มาก่อนว่ามันมีด้วย เพิ่งเคยได้ยินจากปากหมิวนี่แหละ “เดี๋ยวเราดึงพวกตัวเข้ากลุ่ม” หลังหมิวบอกว่าจะดึงฉันกับยาหยีเข้ากลุ่ม เสียงแจ้งเตือนการเชิญเข้าร่วมกลุ่มก็ดังขึ้น ฉันจึงเข้าไปกดตอบรับคำเชิญ “พี่พีไออ่ะ อยู่เกรดสิบสองห้องคิงหรือห้องหนึ่ง เรียนเก่งระดับหัวกะทิและเป็นอันดับหนึ่งของระดับชั้นทุกปี” ฉันนั่งฟังหมิวพูดเล่าเรื่องพี่พีไอไปเรื่อย หลังได้รู้ว่าพี่เขาอยู่เกรดสิบสองก็รู้สึกหวั่นใจแปลก ๆ นับมือดูแล้วพี่เขาห่างจากฉันตั้งห้าปี แล้วพี่เขาก็จะเรียนจบปีนี้แล้ว “ตัวรู้ป่ะว่าพี่เขาอ่ะชอบของขวัญห้องหนึ่ง” “หา!” ฉันร้องออกมาด้วยความตกใจ ของขวัญที่สวยน่ารักและดูเด่นที่สุดในเกรดเจ็ดวันปฐมนิเทศอ่ะเหรอ แม้จะตกใจมากแต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ “แล้วของขวัญอ่ะเป็นลูกทีชเชอร์ของที่นี่ ชื่อว่าอะไรเราจำไม่ได้ แต่ช่างมันเถอะ พี่พีไออ่ะชอบของขวัญตั้งแต่วันปฐมนิเทศ ตอนนี้กำลังรุกหน้าจีบยัยนั่นอยู่ ข่าวลือแพร่สะพัดจนคนเขารู้กันทั่วทั้งโรงเรียนแล้วมั้ง ทำไมตัวไม่รู้” “งั้นเหรอ...เพราะเราไม่ได้อยู่ในกลุ่มนี้ละมั้งเลยไม่รู้” ฉันทำหน้าเศร้าสลด นึกเสียดายที่พี่เขามีคนที่ชอบแล้ว อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะชอบพี่เขาซะหน่อย เพื่อหาแรงบันดาลใจในการมาโรงเรียน แต่ไม่เป็นไรหรอก ฉันหาเป้าหมายใหม่ก็ได้ การเป็นวัยรุ่นแรกแย้มไม่จำเป็นต้องชอบรุ่นพี่แค่คนเดียว “พวกตัวกำลังพูดถึงใครอ่ะ เราไม่รู้เรื่อง” ยาหยีที่นั่งฟังอยู่นานถามขึ้นด้วยใบหน้างงงวยและคิ้วขมวดมุ่น “ก็วันนั้นตัวไม่ได้มา มีรุ่นพี่สุดฮอตชื่อพี่พีไอ มีแต่คนกรี๊ดกร๊าดพี่เขากัน...คนนี้” หมิวอธิบายให้ยาหยีฟังพร้อมเปิดรูปให้ดูประกอบด้วย “นั่นใครบ้างอ่ะ?” ยาหยีชี้นิ้วถามหมิวด้วยแววตาตกตะลึงและเป็นประกาย ฉันจึงหันไปมองตามสายตาของยาหยีและเห็นแก๊งหนุ่มหล่อ 5 คนกำลังเดินผ่านมาพอดี และหนึ่งในนั้นก็คือพี่พีไอ “อ๊ากกก มีแต่คนหล่อ” หมิวตัวบิดไปบิดมาด้วยความเขินอาย แล้วสะกิดถามฉันกับยาหยี “แก๊งพี่พีไอหล่อทุกคนเลยแกว่าป่ะ?” “อืม” ฉันครางตอบหมิว แต่แทนที่สายตาของฉันจะจดจ้องไปที่พี่พีไอเหมือนเมื่อวันปฐมนิเทศ หากแต่กลับมองไปที่พี่ผู้ชายอีกคนแทน แว่นตากรอบใสประดับบนใบหน้าของพี่เขาเรียกความสนใจจากฉัน “หมิวรู้จักชื่อพี่คนที่ใส่แว่นนั่นป่ะ?” หลังจากที่พวกพี่เขาเดินผ่านไปแล้ว ฉันก็เอ่ยถามหมิว “เอิ่ม น่าจะชื่อ...” หมิวทำหน้าครุ่นคิดเหมือนพยายามนึกชื่อของพี่คนนั้น ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง “พี่เหมันต์ เป็นแฝดกับพี่คิมหันต์” “เหมันต์” ฉันทวนชื่อพี่คนนั้นเบา ๆ เพื่อจดจำเข้าสู่สมองน้อย ๆ ของตัวเอง “ตัวเปลี่ยนไปสนใจพี่เหมันต์แทนพี่พีไอล่ะเหรอแยมโรล?” หมิวเอียงคอถามฉันอย่างสงสัย “คงงั้นมั้ง” ฉันตอบหมิวไปแบบยิ้ม ๆ รู้สึกว่าพี่เหมันต์เขาดูน่าสนใจดี และยังสามารถทำให้หัวใจดวงน้อย ๆ ของฉันรู้สึกหวิวแปลก ๆ ได้ด้วย บางทีฉันอาจจะชอบพี่เขาโดยที่ไม่ต้องพยายามชอบและเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการตื่นมาโรงเรียนก็ได้ “นี่ตัวสนใจผู้ชายเหรอแยมโรล ถ้าแม่ตัวรู้ ไม่ด่าแย่เหรอ” ยาหยีถามฉันด้วยสีหน้าเป็นห่วง “แม่คงไม่รู้หรอกมั้ง” แม่ของฉันน่ะอยากให้ฉันสนใจแค่การเรียนเพียงอย่างเดียว เพราะท่านอยากให้ฉันได้ดีและเรียนสูง ๆ ไม่ต้องลำบากลำบนเหมือนแม่ที่เป็นแค่เพียงพนักงานบริษัทธรรมดา อันนี้ฉันไม่ได้คิดเองนะ แต่แม่ชอบพูดกรอกหูให้ฉันฟังเป็นประจำ ที่ฉันได้มีโอกาสมาเรียนโรงเรียนเอกชนชื่อดังค่าเทอมแสนแพงแบบนี้เพราะพ่อที่หย่ากับแม่ไปตั้งแต่ฉัน 8 ขวบเป็นคนจ่ายให้ ส่วนหน้าที่เลี้ยงดูฉันเป็นของแม่ และถ้าถามว่าทำไมพ่อฉันถึงมีเงินมากมายมาจ่ายค่าเทอมให้ฉัน ก็เพราะพ่อทำธุรกิจส่วนตัวที่รายได้ดีมาก ซึ่งเป็นธุรกิจตกทอดมาจากปู่ที่ยกให้พ่อหลังจากหย่ากับแม่ “เมื่อกี้ตัวบอกว่าพี่เขามีแฝดเหรอหมิว?” ฉันพูดถามหมิวเพื่อเปลี่ยนประเด็นที่กำลังคุยกับยาหยีอยู่ “ใช่ ฝาแฝดคนละฝา” ถึงว่าฉันถึงไม่เห็นคนหน้าเหมือนพี่เหมันต์เปี๊ยบ แต่เห็นอยู่คนหนึ่งที่หน้าตาคลับคล้ายคับคา แต่พี่คนนั้นดูหล่อกว่าพี่เหมันต์นิดหนึ่ง อาจจะเพราะใบหน้าคมชัดกว่าและไม่ได้ใส่แว่นตา หลังคุยเล่นกับหมิวและยาหยีต่อสักพักหนึ่ง เสียงออดบอกเวลาก็ดังขึ้น พวกเราจึงพากันไปที่หอประชุมโดมใหญ่ ซึ่งเป็นสถานที่นัดรวมตัวของนักเรียนทุกคนในวันเปิดเทอมใหญ่ในวันนี้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม