จางเย่วถิงเพียงแค่ยักไหล่ ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ระหว่างที่ประมุขพรรคกระเรียนแดงพำนักพักที่นี่ก็มักเรียกนางใช้รับใช้ ทั้งที่ตนเองก็นำคนสนิทมาปรนนิบัติอยู่แล้ว นางวิ่งวุ่นหัวหมุนจนอยากหลั่งน้ำตา แต่สุดท้ายนางก็รอดพ้นมือจางเย่วถิงอย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน ทุกปีที่จางเย่วถิงมาถอนพิษ จะเรียกหานางทุกครั้ง ถึงจางเย่วถิงจะสรรหาเรื่องมาใช้งานนางสารพัดจนคนในพรรคเพลิงอัคนีหมั่นไส้และพาลไม่ชอบหน้านาง แต่จางเย่วถิงก็มักมีของมาฝากนางเสมอ นางจึงรู้ว่าจางเย่วถิงนิสัยเหมือนเด็กมากกว่าคนเป็นประมุขพรรคกระเรียนแดงเสียอีก หรือเพราะนางเคยพบประมุขพรรคมารแค่ท่านจอมมารเหิงหยางเซิงเท่านั้น
พ่อบ้านจูโหย่งเจาพาซินหรานเข้าไปในห้องรับรองแขก ที่ตำแหน่งประมุขนั้นมีเหิงหยางเซิงนั่งดื่มสุรารออยู่ก่อนแล้ว ส่วนด้านข้างคือคือหญิงสาวผู้สวมอาภรณ์สีแดงเลือดนก เครื่องประดับของนางเป็นทองคำจึงดูโดดเด่นสะดุดตา โดยเฉพาะสิ่งที่รัดรวบเอวกิ่วนั่นคือแส้กระดูกงูสีทองอร่าม
“น้องซินหราน”
จางเย่วถิงไม่ปกปิดความดีใจที่ได้เห็นหน้าหญิงสาว นางรีบลุกจากเก้าอี้แล้วเดินมาจับมือเรียวเล็กของซินหรานด้วยท่าทีสนิทสนม บรรดาคนสนิทที่ติดตามมาด้วยนั้นเปิดเผยรอยยิ้มขบขัน แต่ซินหรานยิ้มไม่ออกเมื่อปลายจมูกของจางเย่วถิงยื่นมาสูดดมใกล้ใบหูของนาง
“ซินหราน” จางเย่วผิงขมวดคิ้ว “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่?”
เหตุใดมีแต่คนถามนางด้วยประโยคนี้นะ!
“สิบหกเจ้าค่ะ”
ซินหรานตอบไปตามตรง ถึงนางจะไม่อยากพูดถึงเรื่องราวในอดีตของตนเอง แม้กระทั้งชื่อเดิมของนาง นางจงใจลืมไปหมดสิ้น แต่เรื่องวันเกิดและอายุที่แท้จริงนั้น นางจำได้ดี อย่างน้อยก็เป็นวันที่มารดาเจ็บปวดเพื่อให้นางได้เกิดมา
จางเย่วถิงหันกลับไปมองเหิงหยางเซิงที่นั่งดื่มสุราหน้าตาเรียบเฉย แล้วก็หันกลับมามองใบหน้าที่ไร้การแต้มแต่งใดๆ ก่อนถอนหายใจเบาๆ คว้ามือเล็กของซินหรานกึ่งลากกึ่งจูงมานั่งข้างกัน ซินหรานเก็บอาการตื่นตกใจซ่อนไว้ด้วยท่าทีนิ่งเฉย บรรดาคนสนิทที่มาพร้อมกับ จางเย่วผิงค้อมตัวแล้วถอยออกไปอย่างเงียบเฉียบ บ่าวรับใช้ผู้อื่นนำสุราอาหารมาวางไว้แล้วถอยออกไป ในห้องจึงเหลือเพียงแค่เหิงหยางเซิง จางเย่วถิงและซินหราน
นางกลอกตามองไปยังเหิงหยางเซิง เมื่อไม่เห็นท่านจอมมารมีปฏิกิริยาใด นางจึงได้แต่ก้มหน้ายกกาสุรารินใส่จอก แต่จอกสุราหยกยังไม่ทันถูกยื่นไปใส่มือของจางเย่วถิง ซินหรานก็รู้สึกถึงแรงกระแทกจนทำให้จอกสุราตกลงพื้น นางได้แต่กระพริบตาปริบๆ กว่ารู้สึกตัวข้อมือของนางก็ถูกคว้าไว้กระชากอย่างแรงจนนางลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างจางเย่วถิง
“นายท่าน” ซินหรานเอ่ยเสียงเบา รู้สึกเจ็บข้อมือแต่ไม่กล้าร้องโอดครวญออกไป
“ระวังหน่อยท่านจอมมาร กระดูกนางเปราะบางนัก ประเดี๋ยวแตกหักขึ้นมาจะลำบากรักษา” จางเย่วถิงยกกาสุราขึ้นแหงนหน้าแล้วกรอกสุราลงคอตนเอง
“เจ้าอยากเห็นหน้านาง เจ้าก็ได้เห็นแล้วนี่”
จางเย่วถิงทำเสียงจิ๊กจั๊กในลำคอ แลบลิ้นเลียริมฝีปากที่เปรอะสุรา ดวงตาเป็นประกายยั่วล้อแล้วยื่นหน้าไปทางเหิงหยางเซิง
“ข้าไม่ได้อยากเห็นหน้านาง ข้าอยากได้กลิ่นนางต่างหาก”
‘กลิ่น’
ซินหรานตัวเกร็งขึ้นมาทันที นางหันไปมองเจ้าของมือที่บีบข้อมือของนางอยู่ นางเห็นแววตาของเขามีกรุ่นไอโทสะแผ่กระจายออกมาทำให้นางรีบก้มหน้าลง
นางตัวเหม็นรึ?
“จางเย่วถิง” เซิงหรานเซิงเอ่ยเสียงเย็น ทั้งที่รอบกายแผ่ไอร้อนออกมาจนคนไร้วรยุทธ์อย่างซินหรานเหงื่อซึมออกมา
“หือ?” นางส่งยิ้มยียวนไม่เกรงไอโทสะผสานปราณสังหารที่แผ่นกระจายอยู่ในห้องนี้
“ที่บ้านเจ้าไม่มีบุรุษถอนพิษให้หรือไร”
“บุรุษน่ะมี” จางเย่วถิงหัวเราะร่า “แต่บุรุษที่มีลมปราณสูงส่งเช่นเจ้าหาได้ยากยิ่ง”
เหิงหยางเซิงเสียงเสียงรำคาญในลำคอ สะบัดข้อมือที่จับมือเล็กทำให้ร่างเล็กๆ ของซินหรานกระเด็นออกห่างไปหลายก้าว แต่ยังดีที่นางทรงตัวได้ไม่ล้มลงให้ดูน่าอับอาย
“ออกไป!”
“เจ้าค่ะ” ซินหรานเก็บอาการหวาดกลัวของตนได้มิดชิด รีบก้าวออกไปทันที ทว่ายังไม่ทันถึงประตูก็ได้ยินเสียงจางเยว่ถิงร้องเรียกขึ้นก่อน นางจึนหันกลับมาอีกครั้ง
“ซินหราน ปีนี้เจ้าอายุสิบหกแล้ว มิสู้ให้ข้าสอนเรื่องที่สตรีควรรู้ดีหรือไม่”
“เรื่อง... เรื่อง...ที่สตรี...ควรรู้?”
“จางเย่วถิง!”
ซินหรานอ้าปากกว้าง มือใหญ่กวาดสุราอาหารบนโต๊ะลงพื้น และเพียงพริบตาร่างของจางเย่วถิงก็ถูกเหวี่ยงขึ้นมานอนหงายบนโต๊ะนั้นแทน มือใหญ่กระชากเสื้อผ้าของนางออกอย่างรวดเร็วและไม่ไยดีว่าอาภรณ์สีแดงเลือดนกจะกลายเศษผ้าปลิวในห้อง ราวกับกลีบดอกไม้สีแดงที่ปลิดปลิว
หญิงสาวรู้ในทันทีว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น นางรีบหมุนตัวเดินออกไปอย่างรวดเร็วจนแทบสะดุ้งเท้าตัวเองหกล้ม นางเดินออกไปพ้นประตูได้ มือเล็กปิดบานประตูลงแล้วแต่ยังสั่นอยู่ เสียงครางกระเส่าจากในห้องดังออกมาด้านนอกทำให้นางรีบยกมือออกจากบานประตู ราวกับสัมผัสของร้อน ใบหน้าที่หมดจดแดงจัดและหวาดกลัวผสมปนเปกัน ทว่านางรีบหมุนตัวเดินออกมาไม่หันหลังกลับไปมอง
มือกร้านจากการจับกระบี่จับเรียวขาที่ไร้สิ่งใดปกปิดให้อ้าออกกว้างแล้วจับแก่นกายแข็งแกร่งของตนแทรกลงไปอย่างรวดเร็ว รุนแรงและดุดัน
“อ๊า เจ้า!” จางเย่วถิงได้แต่ครางเสียงหลงเมื่อถูกกระแทกเข้ามาอย่างแรงจนจุก
“อย่ารบกวนสมาธิ ข้ากำลังถอนพิษร้อยชายให้อยู่” จอมมารประมุขพรรคเพลิงอัคนีแสยะยิ้มที่มุมปาก แก่นกายแห่งความเป็นบุรุษถูกโอบรัดแน่นเขาขยับสะโพกถอนตัวเองออกมาจนเกือบสุดแล้วกระแทกลงไปอีกครั้งจนร่างเปลือยเปล่านั้นโยกไปด้านหน้า
มือเรียวเกาะลำแขนที่จับเอวของนางไว้มั่นเพื่อรองรับการกระแทกกระทั้นอย่างไม่ปราณี ทว่าในความร้อนรุ่มและเหงื่อกาฬที่ไหลออกจากทุกอณูขุมขนทำให้นางทั้งรู้สึกสบายตัวและเสียวซ่านไปพร้อมกัน สะโพกสอบขยับเคลื่อนไหวลึกล้ำ รุนแรงและถี่กระชั้นแต่กระนั้นบุรุษผู้นั้นยังไม่มีอาการเหนื่อยหอบ ลมหายใจยังคงปกติ มีเพียงแววตาที่เปล่งประกายดุจย้อมด้วยโลหิต
สามปีก่อนจางเย่วถิงพลาดท่าต้องพิษร้อยชาย นางต้องเสพสังวาสกับบุรุษเพื่อบรรเทาความทุรนทุราย แต่ในรอบปีจะมีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งที่ร่างกายมีความต้องการมากล้น บุรุษมากมายเพียงใดก็ไม่อาจทำให้นางอิ่มเอม หิวโหยและคลุ้มคลั่ง นางจำเป็นต้องเสพสังวาสกับบุรุษที่มีลมปราณแข็งแกร่งจึงจะบรรเทาความเจ็บปวดทุกข์ทรมานนี้ได้
ร่างเปลือยเปล่าเกร็งกระตุกไปแล้ว แต่บุรุษผู้นั้นพลิกร่างเปลือยให้นอนคว่ำไปกับโต๊ะแล้วเริ่มกระแทกแก่นกายแข็งแกร่งลงไปอีกครั้ง
ดวงตาดุจย้อมโลหิตจองมองแผ่นหลังเปลือยเปล่านั่น พลันเขาคิดถึงร่างเล็กที่อยู่ใต้ร่างของเขาเมื่อคืน แม้เพียงเมื่อครู่ที่เขาใช้พลังเล็กน้อยทำจอกเหล้าในมือนางหลุดมือ หากเขาออกแรงมากกว่านั้นนิดเดียว กระดูกข้อมือของนางคงแตกไปแล้ว
นางคงไม่รู้ตัวเลยสักนิด ซินหรานมีกลิ่นกายหอมจาง นางมีกลิ่นบริสุทธิ์ดุจดอกไม้ป่าและยามนี้นางยังมีกลิ่นสาวพรหมจรรย์แจ่มชัด กลิ่นนางรบกวนสมาธิของเขามากนัก ไม่ว่าจะเสพสังวาสกับหญิงงามนางใด ไม่อาจสลัดกลิ่นกายของนางออกไปจากปอดของเขาได้เลย!