“ท่านแม่ก็บอกเสมอใช่รึไม่ว่าให้เอาพี่สาวเป็นเยี่ยงอย่าง” นางรู้ว่าสตรีแสนเจ้าเล่ห์คนนั้นต้องเริ่มปลูกฝังการเปรียบเทียบบ้างแล้ว
“ใช่เจ้าค่ะ ท่านแม่บอกหลินเอ๋อร์เสมอว่าท่านพี่คือแบบอย่างที่ดีที่สุด” คนฟังอยากจะเบ้ปากใส่สักที นางถูกเลี้ยงมาให้เอาแต่ใจปานนั้นยังกล้าหลอกลวงน้องสาวของนางอีก
“เช่นนั้นถ้าหลินเอ๋อร์ฟังทุกสิ่งที่พี่สาวพูด หลินเอ๋อร์ก็จะเก่งแบบพี่สาวใช่รึไม่” ริมฝีปากจิ้มลิ้มกระตุกยิ้มร้าย เรื่องหลอกล่อเด็กน้อยนางเองก็มีฝีมืออยู่เหมือนกันนะ
“จริงด้วยเจ้าค่ะ! เช่นนั้นหลินเอ๋อร์จะเชื่อฟังพี่สาวคนเดียว” เด็กน้อยร่าเริงยิ่งนักเมื่อคิดว่าตนกำลังจะเป็นคนที่เก่งที่สุดแบบพี่สาว
"เก่งมาก หลินเอ๋อร์ของพี่ฉลาดที่สุด ดังนั้นเรามานอนกลางวันกันก่อนดีกว่า เดี๋ยวตื่นมาพี่จะพาเจ้าไปวาดรูประบายสีกัน” มือขาวผ่องลูบหัวทุยของคนตรงหน้าด้วยความอ่อนโยน
“เจ้าค่ะ” น้องน้อยรับคำอย่างง่ายดาย
เซี่ยลี่อิงตบก้นน้องสาวเบาๆ เพื่อกล่อมอีกฝ่ายให้หลับ ส่วนตนเองนอนวางแผนการต่อไป เพราะถ้าลงมือช้ายิ่งทำให้ทุกอย่างมันยากขึ้น นางมั่นใจเต็มสิบส่วนว่าอสรพิษร้ายคนนั้นต้องเตรียมตัวหาทางเอาน้องสาวของนางกลับไปเลี้ยงเองเป็นแน่ เด็กน้อยดุจผ้าขาวที่ใครแต้มสีไหนลงไปมันก็จะติดสีนั้น นางจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายน้องสาวของตนอีกเด็ดขาด!
“พี่จะปกป้องเจ้า อย่างที่ท่านแม่ได้สั่งไว้” ดวงตากลมคู่สวยหม่นแสงเมื่อนึกถึงคนที่ตนไม่มีความทรงจำเลยแม้แต่น้อย ถึงกระนั้นมารดาก็ยังยอมเสียสละจิตวิญญาณเพื่อส่งนางกลับมา
‘ครั้งนี้ต้องยอมเสี่ยงหน่อยแล้ว’
แผนการบางอย่างถูกคำนวนอยู่หลายต่อหลายครั้ง นางจะยอมเสี่ยงอันตรายเพื่อเป็นการกำจัดหนอนใกล้ตัวของนาง อีกทั้งถ้าแผนนี้สำเร็จ…นางจะได้สนทนากับบิดาโดยที่สตรีผู้นั้นไม่ระแคะระคาย อย่างไรเสียเบื้องหลังของคนกลุ่มนี้ก็เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ต่อให้บิดาของนางเป็นเสนาบดีก็ใช่ว่าจะจัดการได้โดยง่ายเสียเมื่อไหร่กัน ถ้าแหวกหญ้าให้งูตื่นเกรงว่าทั้งบิดาและน้องสาวจะต้องตกอยู่ในอันตรายแน่นอน
เย็นวันนั้นเซี่ยลี่อิงไปทานมื้อเย็นที่เรือนหลักอีกเช่นเคย หลังจากจูงมือน้องสาวไปยืนรอรับบิดาที่หน้าจวน ก็พบว่ายามนี้ใบหน้าบิดาเปี่ยมสุขจนเห็นได้ชัด ส่วนฮูหยินของจวนได้แต่แปลกใจกับการกระทำของบุตรีคนโต แต่นางจะพูดอะไรได้เมื่อเจ้าของจวนปลื้มปริ่มเหลือคณา ทั้งที่นางเคยเสี้ยมสอนไว้ให้รังเกียจบิดาที่เอาแต่ทำงานไม่สนใจใยดีนางกับลูกๆ ตอนนั้นเด็กน้อยก็เชื่อฟังนางและไม่เคยเข้าหาบุรุษผู้เป็นบิดาสักครั้ง เหตุใดวันนี้ถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้
“ท่านพ่อ ทานเยอะๆ นะเจ้าคะ” เด็กหญิงคีบหมูตุ๋นน้ำแดงใส่ชามบิดาพลางส่งยิ้มหวานไปให้ เซี่ยซือจงจึงลูบหัวแล้วชมอีกฝ่ายว่าเป็นเด็กดี
“ท่านพ่อ ทานเยอะๆ นะเจ้าคะ” เด็กน้อยเห็นพี่สาวได้รับคำชมก็ทำบ้าง นางคีบไก่ผัดสมุนไพรใส่ถ้วยบิดา ทั้งยังตั้งตารอคำชมจนทั้งสองคนขำกับท่าทางนั้น
“หลินเอ๋อร์เป็นเด็กดีจริงๆ” ประมุขของจวนเอื้อมมือหนาไปลูบหัวบุตรีคนเล็กอย่างเท่าเทียม
ในห้องอาหารเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ แต่ถ้าจะมีใครสังเกตคงพบว่ารอยยิ้มของฮูหยินหนึ่งเดียวในจวนช่างฝืดเฝื่อนเต็มทน นางคล้ายกับอากาศที่ไร้ตัวตนเข้าไปทุกที สุดท้ายจึงตั้งใจลองเข้าไปในบรรยากาศครอบครัวนี้บ้าง
“ท่านพี่ อย่าลืมทานผักบ้างนะเจ้าคะ” เสียงหวานเอ่ยอย่างเอาอกเอาใจ มือบางคีบกวางตุ้งผัดใส่ลงในถ้วยคนตรงหน้า
“ขอบใจ” ชายหนุ่มรับคำแค่นั้นก่อนจะคีบอย่างอื่นเข้าปาก ส่วนผักชิ้นนั้นถูกเขี่ยไปไว้ข้างชาม
“ท่านพ่อ พรุ่งนี้ข้าจะขอออกไปซื้อขนมที่ร้านเปิดใหม่เจ้าค่ะ” เซี่ยลี่อิงพูดออกไปเพื่อทำลายความกระอักกระอ่วนนั่น นางไม่อยากเห็นบิดาต้องสนใจสตรีผู้นั้น
“ได้สิ พาสาวใช้ไปด้วยสักหลายๆ คนหน่อยแล้วกัน” เพราะปกติเด็กหญิงออกไปข้างนอกบ้างบางครั้งอยู่แล้ว เขาจึงตอบรับอย่างง่ายดาย
“หลินเอ๋อร์อยากไปด้วยเจ้าค่ะ” เด็กน้อยส่งสายตาออดอ้อนมาให้ผู้เป็นพี่สาว
“ครั้งนี้คงไม่สะดวกนักเพราะพี่รีบไปรีบกลับ เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ พี่สาวจะซื้อขนมอร่อยๆ มาฝากหลินเอ๋อร์เยอะๆ เลย” เสียงใสเอ่ยบอกน้องน้อย ครั้งนี้นางไปเพื่อทำตามแผนที่วางไว้ คงมิอาจลากน้องสาวเข้ามาเสี่ยงอันตรายไปด้วยได้
“ก็ได้เจ้าค่ะ หลินเอ๋อร์จะรอ” เจ้าตัวน้อยหงอยลงไปแต่ก็ไม่ดื้อรั้นดึงดันจะไปให้ได้ อย่างน้อยพี่สาวก็จะรีบกลับมาพร้อมขนมแสนอร่อย!
“ค่าขนมเดือนนี้พอรึไม่” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เขาไม่เคยเข้ามาก้าวก่ายการดูแลบุตรทั้งสอง
“พอเจ้าค่ะ” สิ่งเดียวที่ท่านแม่ปลอมๆ ของนางทำได้ดีก็คือการเงินที่ไม่เคยขาดตกบกพร่อง เพราะมันเป็นหลักฐานมัดตัวเกินไป
“อย่างนั้นก็ดูแลตนเองให้ดีล่ะ” ชายหนุ่มยกยิ้มขณะมองของขวัญจากคนที่ตนรักหมดหัวใจ ของขวัญที่สตรีนางนั้นทิ้งไว้ให้เขาได้มองต่างหน้า
“เจ้าค่ะ”
มื้ออาหารจบลงเซี่ยลี่อิงก็จับจูงน้องน้อยให้เดินตามกลับเรือนของตนเอง แม้ผู้เป็นมารดาจะชวนให้ไปนอนเล่นด้วยกันก่อนแต่นางก็หาข้ออ้างปลีกตัวหนีกลับมาจนได้ ช่วงนี้ต้องเว้นระยะให้น้องสาวอยู่ห่างๆ อีกฝ่ายเอาไว้ เพราะถ้าเกิดอสรพิษร้ายนั่นเล่นตุกติดอันใดขึ้นมานางคงรับมือไม่ไหว จริงสิ…นางต้องการคนที่สามารถสู้รบปรบมือกับมารดาจอมปลอมนี่นา!
สมองน้อยๆ แล่นเร็วรี่ ในเมื่อนางตัวแค่นี้จะเอาอะไรไปสู้กับคนเลวกลุ่มนั้นได้ นอกเสียจากนางต้องหาตัวช่วย…
‘ใครบ้างนะที่จะไม่หลักหลังข้า’
ในชาติก่อนหน้านางเอาแต่ใจ ไร้เหตุผล ผู้คนจึงเอือมระอาและไม่อยากสานสัมพันธ์เท่าใดนัก เรียกได้ว่าทั้งชีวิตมีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่นางยอมลงให้ แล้วนางจะหาใครที่พอให้ความช่วยเหลือนางได้ล่ะ เด็กน้อยมองสีหน้าเคร่งเครียดของพี่สาวด้วยความเป็นห่วง มือเล็กจึงเขย่าแขนที่จูงแล้วเอ่ยปลอบ
“พี่สาวอย่าได้กังวล หลินเอ๋อร์จะช่วยกินขนมเอง!”
เมื่อคืนหลังจากปวดหัวกับการปลอบโยนของเซี่ยลี่หลินที่เป็นห่วงพี่สาวจากใจจริง เด็กน้อยนึกไปว่าพี่สาวคงกังวลเรื่องขนมที่จะซื้อมามากมาย ทำเอาเซี่ยลี่อิงขำจนปวดท้องไปหมด ความใสซื่อของน้องน้อยช่วยทำให้นางหายจากการเคร่งเครียดได้จริงๆ อีกทั้งยังคิดออกแล้วว่านางจะหาใครมาเป็นไม้กันหมาดี
“คุณหนูใหญ่ รถม้าพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” เสียงเรียกของสาวใช้คนสนิททำให้เด็กหญิงออกจากภวังค์ ตอนนี้นางต้องจัดการตามแผนเสียก่อน
“อืม” ร่างเล็กในชุดสีชมพูอ่อนปักลายดอกไม้เล็กๆ เดินไปตามทางด้วยท่าทีราวกับหญิงสาวที่ถูกอบรมมาอย่างดี เห็นนางเอาแต่ใจเช่นนี้แต่เพราะหลงรักชายหนุ่มซึ่งมีศักดิ์เป็นถึงองค์ชาย นางจึงยอมเล่าเรียนอย่างหนักเพื่อเตรียมความพร้อมให้ตนเอง และมันไร้ความหมายสิ้นดี!
รถม้าติดตราประจำตำแหน่งของเสนาบดีแห่งแคว้นทำให้หลายคนอดที่จะเหลียวมองไม่ได้ เพราะยามนี้เซี่ยลี่อิงเป็นเพียงเด็กวัย 7 หนาว ถึงจะเอาแต่ใจบ้างก็ยังเป็นการแสดงออกของเด็กๆ ดังนั้นจึงไม่มีข่าวลือเสียหายใดออกมา
เด็กหญิงเข้าร้านโน้น ออกร้านนี้ จนได้ขนมมากองเต็มรถไปหมด สาวใช้ทั้งหลายหน้าตาซีดเซียวกับพลังอันล้นเหลือของผู้เป็นนาย ยามปกติมิเคยเห็นคุณหนูใหญ่จะซื้อของด้วยตนเอง ส่วนมากใช้ให้บ่าวมาซื้อให้ทั้งนั้น แต่ถึงสงสัยแล้วอย่างไร จะมีใครกล้าเอ่ยปากบ้าง แน่นอนว่าเซี่ยลี่อิงไม่ได้เดินเล่นเปล่าๆ แต่นางกำลังรอเวลาอยู่ต่างหาก…