พึมพำแผ่วๆ แล้วค่อยๆ ตวัดผ้าห่มออกจากกาย เดินปานย่องไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ที่เรียงเป็นตับอยู่บริเวณหน้าห้องน้ำ โดยไม่ลืมก้าวไปคว้าชุดนอนของคนตัวโตติดมือไปด้วย ก่อนจะแทรกกายเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว
เพียงประตูห้องน้ำปิดสนิท คนแกล้งหลับก็พลิกกายนอนหงาย ยกมือทั้งสองข้างขึ้นหนุนศีรษะให้ยกสูง ดวงตายังคงจับจ้องไปที่บานประตูซึ่งคนตัวเล็กหายเข้าไป ขณะที่หูนั้นก็คอยเงี่ยฟังเสียงน้ำกระทบพื้น ปากหยักอดไม่ได้ที่จะแย้มบางๆ หากอึดใจเดียวเสี้ยวหน้าหล่อเหลาก็ส่ายไปมาอย่างนึกระอา
“นึกว่าจะเก่งกว่านี้ซะอีก”
เปรยเสียงเรียบแค่นั้น ก็เลือกที่จะนอนนิ่งๆ รอเชยชมลูกสาวของศัตรูด้วยหัวใจอันลุ้นระทึก ค่ำคืนนี้คนมีความคิดมาดร้ายกำลังหาทางสั่งสอนหญิงสาวให้รู้จักกับความเจ็บปวด ให้สาสมกับเงินร่วมสิบล้านที่พ่อของเธอโกงไปอย่างหน้าด้านๆ และเมื่อเหยื่อสาวก้าวออกจากห้องน้ำเมื่อไร เวลานั้นเกมบทที่สองก็จะเริ่มขึ้นทันที
ครึ่งชั่วโมงต่อมา พัณณิตาก็ก้าวออกจากห้องน้ำด้วยเสื้อนอนตัวหลวมโพรกพร้อมกับกางเกงตัวโคร่งจนต้องก้มหน้าพับขากางเกงเพื่อไม่ให้ลากพื้น ป้องกันการหกล้มหัวคะมำ และทันทีที่จัดการกับตัวเองเรียบร้อย ดวงตากลมๆ ก็เหลือบไปมองคนบนเตียง ก่อนจะผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นเจ้าของห้องหลับสนิทไปจริงๆ
หญิงสาวพยายามก้าวเบาๆ กลับไปนอนบนพื้นห้อง ตวัดผ้าห่มมาหุ้มตัวเองราวกับมัมมี่ ก่อนจะเหลือบตามองรอบๆ ตัวด้วยความหวาดระแวง เมื่อพบว่ารอบข้างเงียบสงัด ก็พยายามบังคับให้ตัวเองหลับใหล แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็นอนไม่หลับอยู่ดี จนต้องพลิกตะแคงซ้ายทีขวาทีอยู่บ่อยครั้ง กระทั่งตัดสินใจนับแพะนับแกะหมายจะช่วยให้นอนหลับ และก็ได้ผล เมื่อนับถึงตัวที่ห้าร้อยห้าสิบเก้า ดวงตาที่เคยเปิดกว้างก็หรี่แคบลงอย่างช้าๆ และเพียงไม่นานสติก็เลือนหาย
ขณะที่คนหนึ่งเข้าสู่นิทรารมณ์ อีกคนหนึ่งซึ่งแกล้งหลับก็ค่อยๆ วาดขาลงจากเตียง ก่อนจะก้าวช้าๆ มาใกล้ร่างมัมมี่น้อย แต่เมื่อเห็นสภาพคนตรงหน้าแล้วก็อดขำไม่ได้ กระทั่งมองจนสาแก่ใจจึงโน้มตัวลงแล้วค่อยๆ ช้อนร่างคนหลับเข้าสู่วงแขนโดยระมัดระวังไม่ทำให้เธอตื่น และเมื่ออุ้มร่างบางแนบอกได้สำเร็จ ดวงหน้าคมก็ส่ายน้อยๆ กับความขี้เซาของคนในอ้อมแขน เพราะถ้าเจ้าหล่อนหลับลึกขนาดนี้มีหรือจะรอดจากเกมที่เขากำลังจะลงสนามเล่นได้
ร่างอรชรของพัณณิตาถูกวางบนเตียงนุ่ม แม้จะทำอย่างแผ่วเบาแต่ก็ทำให้คนขี้เซาครางอืออาด้วยความรำคาญเล็กน้อย ทว่าเมื่อได้สัมผัสความนุ่มนิ่มก็เผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา จากนั้นอุ้งมือหนาก็ค่อยๆ รั้งผ้าห่มผืนโตที่เจ้าหล่อนพันกายไว้ออก ทำให้เนื้อตัวอ้อนแอ้นบดเบียดหาความอบอุ่นเมื่อความหนาวเหน็บต้องผิวกาย แฟรงค์ แฮคตันยกยิ้มร้ายกาจแล้วล้มตัวลงนอนเคียงข้าง รั้งร่างบางมากอดแน่นๆ ก่อนที่ใบหน้าคมจะซุกไซ้ไปที่ซอกคอขาว
“อือ...” หญิงสาวเริ่มครางอย่างรำคาญ เพราะปลายหนวดแข็งๆ กำลังระคายผิวเนื้อ
“ชู่ว์! เด็กดีหลับซะนะ”
คนเจ้าเล่ห์กระซิบเบาๆ ที่ข้างแก้มนวลราวกับขับกล่อมเด็กน้อยอายุไม่เกินห้าขวบ แล้วถือโอกาสกดจูบหนักๆ ที่แก้มอิ่มซึ่งส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของผิวเนื้อ และมันก็ชวนรัญจวนใจจนอดรนทนไม่ไหวต้องถูไถปลายจมูกไล่ไปตามกรอบหน้างาม และในจังหวะนั้นเองเปลือกตาบางๆ ของพัณณิตาก็ขยุกขยิก พร้อมกับเอียงหน้าเอียงคอหนีอะไรสักอย่างที่ยุ่มย่ามอยู่กับผิวเนื้อ ก่อนจะค่อยๆ เปิดเปลือกตาแล้วเพ่งมองภาพตรงหน้า สิ่งแรกที่ปะทะเข้าสู่สายตาก็คือกลุ่มผมดกซึ่งมีกลิ่นหอมต้องจมูก
“กรี๊ด!”
ร้องลั่นออกมาสุดเสียง มือน้อยๆ ผลักศีรษะของใครบางคนให้ออกห่างจ้าละหวั่น กำปั้นน้อยๆ ระดมทุบ จนคนที่หลงใหลอยู่กับความหอมเย้ายวนของซอกคอเล็กต้องร้องโอดโอย
“ออกไปเลยนะ ไอ้บ้า ไอ้สารเลว ไอ้คนฉวยโอกาส” ต่อว่าออกมาเป็นชุด ขณะที่มือนั้นก็ฟาดสะเปะสะปะ ส่วนแข้งขาก็ร่วมแรงแข็งขันประทุษร้ายคนตัวโตไม่หยุดหย่อน
“กรี๊ด! นายทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไงฮ้า!”
“ชู่ว์! ไม่เอาน่า อย่าร้อง” ชายหนุ่มว่าแล้วก็รีบใช้มือข้างหนึ่งปิดปากคนตัวเล็ก ส่วนอีกข้างก็รวบข้อมือบางทั้งสองข้างขึ้นไปตรึงไว้เหนือศีรษะ ส่วนเนื้อตัวที่ดิ้นพราดก็รีบบดเบียดร่างกายของตัวมาทาบทับไว้
“กำลังกล่อมให้หลับอยู่ดีๆ โวยวายทำไมทูนหัว”
“อื้อ!” พัณณิตาพยายามเปล่งเสียงร้องแต่มันก็ดังอู้อี้อยู่ในลำคอเท่านั้น มีแต่ดวงตาที่มองคนตัวโตราวกับจะฉีกเนื้อออกเป็นชิ้นๆ คำด่าในใจเป็นร้อยเป็นพันถูกสื่อออกมาผ่านแววตาแทบทั้งหมด
“พอด่าออกเสียงไม่ได้ ก็ด่าผมในใจเลย” คนรู้ทันยกยิ้มร้ายกาจ แสร้งกดจูบหนักๆ ลงที่เปลือกตาทั้งสองข้าง เฝ้าแกล้งจูบอยู่อย่างนั้นจนดวงหน้าเนียนสวยต้องเบือนหนี หากแต่แฟรงค์ก็ยังไล่จูบอย่างอยากแกล้งอยู่ดี
“คุณด่าผมด้วยตา ผมก็จะจูบที่ตา” เสียงทุ้มนุ่มน่าฟังดังชิดปลายจมูกเล็กแล้วกดลงเบาๆ
“แต่ถ้าด่าผมด้วยปาก ผมก็จะจูบที่ปาก” ว่าแล้วก็ยกยิ้มร้ายกาจส่งให้ “เดี๋ยวผมจะปล่อยมือเลิกปิดเสียงพูดของคุณ ผมจะได้จูบคุณดีไหม”
จบคำนั้นอุ้งมือร้อนผ่าวก็ถอยห่างจากปากอิ่มช้าๆ หญิงสาวจึงฉวยจังหวะนั้นขยับปากเตรียมจะด่าทอ แต่แล้วก็ต้องเม้มแน่นสนิทแทบไม่ทัน เพราะจู่ๆ คนร้ายใจร้ายก็โน้มลงมาจูบเร็วๆ แล้วถอยหน้าห่างออกไปนับคืบ หนำซ้ำยังยกปลายนิ้วโป้งเกลี่ยกลีบปากจิ้มลิ้มของเธออีก
“ถอยออกไปเลยนะ” เอ่ยไล่แล้วก็รีบเอียงหน้าหนี “ฉันไม่ได้ด่า แค่ไล่ ฉันไม่ผิด ฉะนั้นคุณไม่มีสิทธิ์มาจูบฉัน”
บอกเบาๆ ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้า จับจ้องคนบดเบียดเนื้อตัวตาไม่กะพริบ เมื่อคนตัวโตยังนิ่งเฉย ไม่ขยับเขยื้อนออกห่าง จึงบ่นกระปอดกระแปดพลางดิ้นรนเบาๆ
“ออกไปสิ ฉันหนักจะแย่อยู่แล้ว ทับมาได้ตัวหนักยังกับยักษ์ แล้วก็ปล่อยมือฉันด้วย”
“พอได้ทีก็ใส่เป็นชุดเชียวนะ”
แม้จะพูดเช่นนั้น หากเพียงอึดใจเดียวก็ยอมปล่อยมือเล็กให้เป็นอิสระ ก่อนจะผละตัวเองลงมานอนตะแคงข้าง พร้อมกับดึงท่อนขาแข็งแรงออกจากขาเรียวเล็ก หากลำแขนกำยำนั้นกลับพาดผ่านเอวคอด พลางรั้งเข้าหาตัวอย่างบ้าอำนาจ
“อย่ามากอดฉันนะ ฉันจะลงไปนอนข้างล่าง แล้วกล้าดียังไงฮ้า! ถึงได้อุ้มฉันมานอนบน อือ...” น้ำคำที่กำลังพ่นออกมาเลือนหายไปทันทีที่ริมฝีปากหยักทาบทับลงมาอย่างถนัดถนี่ มีเพียงดวงตากลมๆ เท่านั้นที่เบิกกว้างขึ้นจนตาแทบถลน
“ไอ้...” เมื่อปากอิ่มเป็นอิสระ พัณณิตาก็ถลึงตาใส่อย่างเดือดดาล หากคำด่านั้นก็เลือนหายไปอีกครั้งเมื่อคนตัวโตโน้มหน้าลงมาใกล้ จนหญิงสาวต้องรีบยกมือน้อยๆ ผลักให้ออกห่าง พลางเอียงหน้าเอียงคอหลบให้จ้าละหวั่น
“หยุดๆ เรามาตกลงกันดีๆ”
พัณณิตาเอ่ยออกไปเช่นนั้นก็เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนเธอก็เสียเปรียบตายักษ์วัดแจ้งอยู่วันยังค่ำ ฉะนั้นเวลานี้ต้องค่อยๆ คิด ค่อยๆ พูดตะล่อมให้ไอ้หน้าหล่อๆ ที่สะท้านอารมณ์นี้ปล่อยเธอให้เป็นอิสระ
“ว่ามาสิ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงอย่างรอฟัง “ถ้าผมไม่เสียเปรียบ ผมก็คิดว่าจะตกลง”
“ในสถานการณ์แบบนี้ ฉันต่างหากเล่าที่เสียเปรียบ นายมันบ้า จอมฉวยโอกาส”
“จะหาข้อยุติหรือว่าจะให้ผมจูบ” แฟรงค์เอ่ยเย้าหน้าตาย “ถ้าอยากให้จูบก็อย่าเสียเวลาเลย มามะ”
สิ้นเสียงนั้น มือเล็กของพัณณิตาก็รีบยกขึ้นดันปากหยักให้ออกห่าง แต่อุ้งมือเธอก็ถูกมือหนาคว้าไปจูบเบาๆ ที่กลางฝ่ามืออยู่ดี
“หยุดๆ เอาเป็นว่าคืนนี้ฉันจะลงไปนอนข้างล่าง ส่วนนายก็นอนบนนี้แล้วกัน และนายก็ต้องสัญญามาด้วยว่าจะไม่อุ้มฉันมานอนบนเตียงนี่อีก รวมถึงจะไม่เข้าไปเฉียดใกล้ฉันเกินหนึ่งเมตรด้วย”
“ไม่ตกลง ผมทำไม่ได้” ส่ายหน้าเป็นพัลวันแล้วคลี่ยิ้มบางๆ “ผมมีข้อเสนอให้คุณเลือกสองข้อ แต่ถ้าไม่ตกลง ผมจะปล้ำคุณทันที”
ได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวก็ได้แต่กลอกตากลมๆ ไปมา สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ให้เจ้าของบ้านอย่างสิ้นสุดหนทางเลือก
“ว่ามาสิ แต่หวังว่าสิ่งที่นายเสนอจะไม่เอาเปรียบผู้หญิงตัวเล็กๆ แสนบอบบางและเป็นเพศเดียวกับแม่ของนายหรอกนะ”
“โอเค” ชายหนุ่มพยักหน้าน้อยๆ แล้วเอ่ยต่อ “ทางเลือกที่หนึ่ง นอนบนเตียงนิ่งๆ เคียงข้างผม ซึ่งผมสัญญาว่าจะทำแค่กอดและจูบเท่านั้น ส่วนทางเลือกที่สองก็คือลงไปนอนที่พื้นห้องโดยมีผมนอนเคียงข้าง และผมสัญญาว่าจะทำมากกว่ากอดและจูบ”
หัวคิ้วทั้งสองข้างของพัณณิตาย่นเข้าหากัน เธอครุ่นคิดตามทางเลือกที่เขาเสนอมา แต่เพียงอึดใจมือน้อยๆ ก็ระดมทุบไปบนร่างกายบึกบึนของคนตัวโตอย่างไม่หยุดหย่อน
“ทางเลือกบ้าอะไรของคุณฮ้า! คุณนี่มันเลวจริงๆ”
“หยุดเดี๋ยวนี้! ผมให้คุณเลือกระหว่างข้อหนึ่งและข้อสอง ฉะนั้นก็รีบเลือกมา อย่าลืมสิว่าคุณคือจำเลยของผม ได้สิทธิ์เลือกก็ดีเท่าไรแล้ว ทั้งที่จริงผมจะทำอะไรกับคุณก็ได้ทั้งนั้น รวมถึงให้คุณเป็นนางบำเรออยู่บนเตียงนี้ด้วย!” เขาเน้นหนักประโยคสุดท้ายด้วยท่าทีจริงจัง
“ไอ้...”
“ถ้าไม่ตอบ ผมจะปล้ำ”
“ก็ได้ๆ ใครเลือกข้อสองก็โง่เต็มที ฉันเลือกข้อหนึ่ง คราวนี้นอนได้หรือยัง”
ว่าจบหญิงสาวก็ตะแคงหันหลังบอบบางให้ ขณะที่ในใจนั้นก็พ่นคำด่าออกมาเป็นชุด สาบานได้ว่าถ้ารอดจากอุ้งมือคนร้ายกาจนี้ไปได้ เธอจะหาทางเอาคืนเขาให้เจ็บแสบ ถ้ามีปืนหรือมีมีดอยู่ใกล้ๆ นะ เธอจะฆ่าเขาให้ดิ้นตายไปเลย
“เดี๋ยวสิ จะหลับได้ยังไง ผมยังไม่ได้จูบเลยนะ” เจ้าพ่อโรงแรมเอ่ยลอยๆ แล้วโน้มตัวมาสบตา “จะชิ่งหลับได้ยังไงฮึ! ต้องให้ผมจูบ ให้ผมกอด คุณถึงจะมีสิทธิ์หลับได้”
“ก็รีบๆ จูบแล้วก็กอดซะสิ และถ้าพอใจแล้วละก็ ช่วยไปนอนอยู่ข้างๆ อย่ามายุ่งย่ามกับเนื้อตัวฉันอีก” แว้ดออกมาเสียงขุ่นเขียว พลางหลับตาปี๋ ไม่ขอรับรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้น
เห็นอาการของคนตัวเล็กแล้ว เจ้าพ่อโรงแรมถึงกับคลี่ยิ้มร้ายกาจ รีบเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ ปล่อยลมหายใจร้อนๆ รวยรินชิดปลายจมูกเชิดรั้น ก่อนจะทาบทับปากหยักบดเคล้ากลีบปากอิ่ม ค่อยๆ คลุกเคล้าบดเบียดละเลียดความหอมหวานปานน้ำผึ้งกลืนกินสู่อุ้งปากอย่างช้าๆ ละเมียดละไม
ใช้เวลาดื่มด่ำกับปากนุ่มอยู่นานนับห้านาที จึงผละออกปล่อยให้หญิงสาวได้หายใจหายคอ จากนั้นก็เคลื่อนจูบลงมาที่ข้างแก้ม ขณะกำลังไต่ระดับลงซอกคอ คนตัวเล็กก็ยกมือผลักดันให้ออกห่างเสียก่อน
“เดี๋ยวๆ นายจะทำอะไรน่ะ”
พัณณิตาพยายามบังคับจังหวะลมหายใจตัวเองให้เป็นปกติ เพราะเมื่อครู่ฤทธิ์จูบของเขาทำเอาเธออ่อนระโหยโรยแรง แทบขาดใจตายอยู่รอมร่อ
“ถอยไปห่างๆ เลยนะ” สั่งเขาแล้วถลึงตาใส่
“ถอยได้ไง ยังจูบไม่เสร็จเลย” ชายหนุ่มตอบด้วยดวงตาใสซื่อ “ยังเหลืออีกเยอะเชียว”
“ก็นายจูบไปแล้วนี่ รู้ไหมว่าปากฉันเจ็บหมดแล้วเนี่ย”
“ผมบอกคุณหรือไงว่าจะจูบแค่ปาก”
เอ่ยถึงตรงนี้ มุมปากก็ยกยิ้มจนคนตัวเล็กถึงกับหวาดผวา และเธอก็ต้องเบิกตากว้างกับถ้อยคำที่เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลไหม้พ่นออกมา
“ผมหมายถึงการจูบทุกตารางนิ้วบนเรือนร่างของคุณต่างหาก”
“อ๊าย! คนบ้า อย่ามาเจ้าเล่ห์กับฉันนะ ฉันไม่ยอมเด็ดขาด” หญิงสาวถึงกับดีดผึงลุกขึ้นนั่ง ผลักร่างสูงกำยำให้ออกห่าง พลางกระถดกายชันเข่าขึ้นมากอดตัวเองอย่างปกป้อง แล้วตวัดดวงตาขุ่นเขียวราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ทำไมคุณถึงร้ายกาจแบบนี้ฮ้า! อย่าคิดว่าฉันจะยอมง่ายๆ นะ”
พัณณิตาเชิดหน้าขึ้นเถียง พลางกัดฟันกรอดๆ ขณะที่คนฟังอย่างแฟรงค์ก็ค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปใกล้ ก่อนจะคว้าหมับเข้าที่แขนเล็ก สีหน้าและท่าทางนั้นเต็มไปด้วยความน่ากลัว เพียงชั่วพริบตาก็เอ่ยเสียงลอดไรฟัน
“คุณจะยอมหรือไม่ เดี๋ยวก็รู้เอง”
จบประโยคนั้น ร่างอรชรของพัณณิตาก็ลอยหวือมาอยู่กลางเตียง ทั้งเนื้อทั้งตัวถูกทาบทับตราตรึงด้วยร่างกายบึกบึนของชายชาตรีจนแทบไม่มีเว้นช่องว่าง
“อ๊าย! ปล่อยฉันนะ”
“ผมปล่อยแน่ แต่ต้องหลังจากที่จูบคุณทั้งตัวแล้ว”
เจ้าพ่อโรงแรมกระซิบชิดเรียวปากอิ่มชื้นพลางกดจูบหนักๆ ปิดกั้นเสียงที่จะหลุดออกมาให้ระคายหู จูบแล้วจูบเล่าบดเคล้าปากอิ่มจนบวมเจ่อ เมื่อร่างแน่งน้อยอ่อนแรง ก็ลากจูบลงมาที่ซอกคอขาว อุ้งมือร้อนผ่าวนั้นไต่ระดับลงไปตามสีข้าง ตรงข้ามกับปากที่ลากต่ำลงมายังคอเสื้อซึ่งผลิแยกจนเห็นเนินเนื้ออวบผลิออกมา
“อย่า...” พัณณิตาข่มฟันสกัดกั้นอาการร้อนวูบวาบของช่องท้องห้ามเขา
“ฉันขอร้อง ได้โปรดหยุดเถอะ” เสียงปนสะอื้นหลุดจากปากอิ่ม น้ำตาเม็ดเล็กไหลลงที่หางตาจนเปื้อนหมอน หากความร้อนผ่าวจากปากหยักซึ่งครอบครองทรวงงามผ่านเนื้อผ้าบางเบากลับทำให้ร่างระหงผวาเฮือก เพราะมันช่างร้อนจนทุรนทุรายไปทั้งสรรพางค์กาย