CHAPTER 2
“ในห้องนอนต่างหากยัยเด๋อ”
แล้วชื่อฉันจากใจก็เปลี่ยนเป็นยัยเด๋อไปแล้ว
“ใครจะไปรู้ละคะคุณกวาง” พอฉันปฏิเสธเขาก็ชะงักแล้วใช้สายตามองนิ่งมา “มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“พี่กวาง”
“…”
“เรียกแบบนี้นะยัยเด๋อ”
“…”
พี่กวางงั้นเหรอ
“เข้าใจมั้ยครับ”
“…”
ฉันพยักหน้าหงึกๆ รับเป็นคำตอบที่ไร้เสียงพูด
ก็ได้น้อยใจจะเรียกว่าพี่กวาง
“โอเค”
เพราะอีกฝ่ายลุกเอาแจกันกับกระแตพุดเข้าไปด้านในซึ่งเป็นห้องนอนฉันที่ว่างงานจึงเปลี่ยนท่าทางให้ตัวเองสบายขึ้นโดยการโน้มตัวไปด้านหลังพร้อมกับเหยียดขาทั้งสองไปด้านหน้าทิ้งศีรษะลงหมอนอิงระยะของสายตาจึงเปลี่ยนไปมองเพดานของบ้านแทน
ดวงไฟกลมที่มีความระยิบระยับประดับรอบบ่งบอกถึงระดับความมีฐานะทางการเงินที่อยู่ในระดับดีมาก ทุกอย่างบนบ้านทรงไทยหลังนี้จึงมีมูลค่าที่ถ้าตีเป็นราคาต้องมีจำนวนมหาศาลอยู่มากกว่าบ้านคนอื่นๆ ที่อยู่ในพื้นที่แห่งนี้มันไม่แปลกเลยถ้าจะเป็นแบบนั้น
ก็เหมือนที่แม่บอกว่าป้ากวารวยมาก
สามีป้ากวาก็ร่ำรวยมากอีกเช่นกัน
แล้วแบบนี้ผลประโยชน์จะตกไปไหนถ้าไม่ใช่พี่กวาง
ลูกชายเพียงคนเดียว...
พี่กวางทำบุญด้วยอะไรนะ
ทำบุญมากจากชาติที่แล้วไว้เยอะหรือไงกันพอมาถึงชาตินี้บุญเก่าก็ยังไม่หมดแถมมีมาเพิ่มเรื่อยๆ เติมให้ตลอดอะไรแบบนี้
“คิดอะไรอยู่?”
“อ่า” แค่ได้ยินเสียงทักร่างกายก็เปลี่ยนมาเป็นดีดเด้งขึ้นในทันทีอีกทั้งยังเงยใบหน้าขึ้นมองร่างสูงที่บัดนี้มีหมวกสีดำโลโก้ชื่อดังติดเพิ่มมาบนร่างกาย พี่กวางได้แค่ยกยิ้มให้กับฉันก่อนที่จะก้มคว้าโทรศัพท์เครื่องหรูบนโต๊ะกลางขึ้นมาใส่ที่กระเป๋ากางเกง “ไม่ได้คิดอะไรค่ะ”
“โกหกไม่ดีนะ”
“ใจไม่ได้โกหกเสียหน่อยค่ะแค่คิดเรื่อยเปื่อย”
“แสดงว่าว่างใช่มั้ย”
“ก็ว่าง... พี่กวางมีอะไรจะใช้ใจหรอคะ”
“ไม่ใช่เหรอแรงงานเด็กอ่ะจะชวนในเมืองหน่อย ไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยได้มั้ยครับ”
“…”
“ทำไมสีหน้าไม่ดีล่ะมีอะไรหรือเปล่าใจ บอกพี่หน่อย”
“ใจไม่ได้เป็นอะไรค่ะไปเป็นเพื่อนพี่กวางได้สบายเลย”
รอยยิ้มออกมาจากริมฝีปากของฉันในทันทีที่พูดจบลงเพราะไร่นาคนิลอยู่ไกลจากตัวเมืองไปแค่สิบกว่ากิโลเมตรจึงเป็นเรื่องง่ายดายของการสัญจรไปมาอย่างไม่ติดขัด ตอนนี้ฉันได้มานั่งข้างคนขับรถหรูซึ่งมีแค่สองที่นั่งรถคันนี้พึ่งได้เห็นเป็นครั้งแรกแถมยังมีสีสันเด่น
รถสีส้มเด่นขนาดนี้
คิดว่าไม่เรียกสายตาคนอื่นหรือไง
“คุณ... เอ่อพี่กวางจะไปไหนเหรอคะ”
“ซื้ออุปกรณ์การเรียนนิดหน่อยครับ” อ่า... จริงสินะวันมะรืนก็เปิดเรียนแล้วในเทอมสุดท้ายด้วยนิ “ร้านไหนดีใจ”
“ต้องร้านนี้ค่ะในห้าง เพื่อนๆ ซื้อกันเยอะ”
“บอกทางพี่นะ”
“ได้ค่ะ”
ฉันบอกทางพี่กวางจนกระทั่งพวกเราทั้งสองเข้ามาอยู่ในห้างใหญ่แห่งหนึ่งของตัวจังหวัดสิ่งที่เลยที่พี่กวางมุ่งหน้าหาก็คือร้านที่ขายอุปกรณ์การเรียนจริงๆ แต่เนื่องจากเป็นร้านใหญ่จึงมีหนังสือขายด้วย ฉันยืนตรงโซนอุปกรณ์เครื่องเขียนดูผ่านสายตาไปซึ่งพี่กวางก็อยู่ตรงข้ามกันระหว่างฉันกับพี่กวางมีชั้นปากกายี่ห้อต่างๆ ขั้นกลางเอาไว้ ชั้นไม่สูงจึงสามารถเห็นเวลาพี่กวางยืนเทสปากกาทำหน้ายุ่งๆ อย่างชัดเจน
“ใจพี่ฝากถือให้หน่อยครับ”
“ได้เลย”
ปากกกาสีสวยกว่าสิบเล่มถูกส่งมาให้ฉันถือเอาไว้จากนั้นอีกคนก็ยังหยิบโน้นนี่มาเทสแล้วกำเอาไว้เช่นเดิมซึ่งฉันก็พอเข้าใจจริงๆ ว่าพี่กวางคงเปิดฝาปากกาไม่สะดวกเวลาลองแน่ๆ จึงเลือกฝากฉันเอาไว้จนเวลาผ่านไปสายตาก็เจอกับปากกาด้ามหนึ่งมีสีชมพูสวยบนตรงฝาปิดเป็นรูปชาไข่มุกน่ารักมากจนทำให้เผลอยิ้มได้ไม่ยากเลยกระทั่งมืออีกข้างที่กำลังจะยื่นเข้าไปจับปากกาเล่มนี้ชะงักลงเมื่อได้ยินประโยคหนึ่งเข้ามาแทรก
“แพงนะถ้าไม่มีปัญญาซื้อก็อย่าจับเลย”
“ฟังที่อีฟ้าพูดเถอะอีน้อย”
“มึงๆ มันชื่ออีน้อยใจ”
“อ๋อ...อีน้อยใจ” เป็นฟ้าและก็ฝนคู่พี่น้องแฝดที่เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน กลุ่มนี้แหละที่ฉันอยู่ด้วยกันกับพวกเธอ “ไม่อยู่ไร่อยู่นาแล้วเหรอถึงมาเดินห้างได้”
“มึงก็ถามมันแปลกอีฝน อีน้อยใจมันเป็นคนใช้ เจ้านายใช้มันแน่ๆ”
“แล้วฟ้ากับฝนมาเที่ยวกันเหรอ แต่งตัวสวยมากเลยนะ”
“งี้แหละอีน้อยเสื้อสวยก็ต้องคู่คนสวยๆ” ฝนเป็นคนตอบ
“แต่งแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้ว แต่งแบบที่มึงไม่มีปัญญาแต่งอ่ะอีน้อยใจ” ตบท้ายด้วยฟ้า
“ก็คงใช่แหละ”
เพราะฉันไม่เคยใส่หรือว่าซื้ออะไรเป็นของตัวเองที่ราคาค่อนข้างแพงมาก่อนอย่างเสื้อผ้าปีหนึ่งถึงมีชุดสวยๆ ในราคาเบาสักครั้งส่วนที่ใส่ออกมาบ้างครั้งก็ได้มาฟรีจากพี่ๆ คนอื่นที่แม่รู้จักหอบหิ้วของเก่ามาให้ เคยได้ยินไหมกับประโยคที่ว่า ‘เก่าของใครแต่เป็นของใหม่สำหรับฉัน’ ก็มีประมาณนั้นเลย
ไม่ใช่ว่าไม่อยากได้แต่รู้ว่าอยากได้แต่ไม่มีปัญญา
อยู่แบบนี้ไม่เสียหายหรอกพอโตค่อยซื้อก็ได้
ทุกอย่างล้วนเติบโตขยับออกไปได้เสมอและก็ไม่มีอะไรอยู่กับที่ได้หรอกฉันเชื่อแบบนั้น การลำบากในวันนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งบททดสอบของฉันที่พยายามทำให้รู้ถึงความอดทนการแก้ไขก็ได้ถึงแม้จะเป็นอะไรที่ร้ายๆ ฉันเชื่อเสมอว่าถ้าผ่านมันไปได้ถ้าเจอเรื่องอื่นๆ ที่หนักหนาเข้ามาอีกตอนนั้นฉันอาจมีภูมิคุ้มกันมากกว่าคนอื่นๆ แล้วก็จะผ่านมันไปได้ง่าย
ถึงแม้โลกนี้จะไม่มีอะไรง่ายก็ตาม
แต่หนทางแก้ไขมีแน่ๆ
“รู้ตัวก็ดีแล้วอีน้อยใจ” ฝนย้ำทำให้ฉันหลุดออกจากความคิดพวกนั้นมาสู่ปัจจุบันที่เกิดขึ้นแล้วสิ่งที่เห็นในเวลาต่อมาก็คือฟ้าได้เอาตัวไปอีกฝั่งซึ่งเป็นฝั่งเดียวกันกับที่พี่กวางเลือกปากกาอยู่ ฟ้าพยายามขยับตัวให้ใกล้ชิดอีกฝ่ายมากที่สุดนี้คงเป็นสเต็บแรกของการทำความรู้จักแต่พี่กวางกับไม่สนใจเลยสักนิด ฉันยังแอบเห็นว่าพี่กวางขยับตัวห่างเพื่อหนีฟ้าด้วย “หล่อลากอีฟ้าชอบแน่ๆ”
“อ๋อ...” ฉันไร้ประโยคพูดต่อได้แต่มองไปยังเหตุการณ์ตรงหน้าที่กำลังเกิดขึ้น “เดี๋ยวไปดูหนังสือก่อนนะ”
“ไปดิ”
ยิ่งอยู่ก็ยิ่งจะทำให้บรรยากาศเสียเปล่าๆ ฉะนั้นถ้าจะเลือกเดินออกมาแล้วมันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดฉันก็มักจะเลือกทำมันทันที การเดินเข้ามาในโซนหนังสือเรียนวิชาสังคมซึ่งเป็นวิชาที่ฉันชอบสุดก่อนเลือกหนังสือเล่มหนึ่งมาไว้ในมืออ่านรายละเอียดย่อยๆ ทว่าสายตาและจิตใจกับไม่มุ่งมั่นตรงหนังสือเลย
แล้วฉันก็ขยับตัวแอบมองไปยังโซนปากกาอีกครั้งหนึ่ง
ครั้งนี้เห็นว่าฟ้าเป็นฝ่ายชวนพี่กวางคุยด้วย
แต่ในนาทีเดียวกับนัยน์ตาสีน้ำตาลคมเข้มคู่นั้นกับมองทะลุมาสบสายตากับฉันที่อยู่ห่างแต่เป็นแนวยาวเดียวกัน คิ้วขมวดนิดๆ เหมือนกำลังรำคาญอะไรสักอย่างหนึ่งแค่นิดเดียวสายตาก็หันไปมองคู่สนทนาตรงหน้า
พี่กวางเหมือนปฏิเสธอะไรสักอย่างหนึ่งกับฟ้า
ปฏิเสธจริงจังมากๆ
จากนั้นไม่นานฝนก็เข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยก่อนที่แฝดทั้งสองคนจะเดินหลีกเลี่ยงออกไป ตอนนี้ฉันกับมั่นใจได้เลยว่าพี่กวางค่อนข้างไม่ชอบให้ใครมาแตะร่างกายของตัวเองเท่าไหร่นักแค่ฟ้ายืนใกล้เท้าใหญ่ก็จะขยับถอนเพื่อสร้างระยะห่างเองเสมอ แต่ตอนนี้ฉันควรออกจากความคิดตัวเองได้แล้วเพราะพอใช้สายตามองไปที่พี่กวางอยู่กับกลายเป็นว่ามันว่างเปล่าไม่มีใครเลย
“พี่อยู่นี่”
“คะ?” ฉันพับหน้าหนังสือลงแล้วหันหลังกลับก็เจอคนตัวสูงยืนประชิดตัวเองจนได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ จากตัวของเขาพร้อมกับรอยยิ้มหวาน “เอ่อ... พี่กวางจะไปไหนต่อหรือเปล่าคะ”
“ไป”
“ไปไหนเอ่ย?”
“เด๋อ” ไม่แค่พูดแต่คราวนี้มืออีกข้างถูกยกขึ้นมาเคาะเหม่งของฉันเบาๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นแบฝ่ามือใหญ่กางออกมากันกุมหน้าผากของฉันเอาไว้เมื่อฉันขยับตัวเลี้ยวแต่ไม่ทันระวังหน้าผากต้องกระแทกกับชั้นวางที่สูงกว่ายังดีที่แรงกระแทกไม่เยอะเพราะมีมือใหญ่กันเอาไว้ “มานี่เลย”
พี่กวางเลือกคว้าหนังสือจากมือฉันไปไว้ตรงที่เดิมจากนั้นก็จับดึงคอเสื้อของฉันเหมือนที่เคยทำตอนเอาใบเตยที่บ้านจนไปถึงเคาน์เตอร์ชำระเงิน รอไม่นานนักเราสองคนก็เดินออกมาแล้วรู้ไหมพี่กวางยังไม่ปล่อยคอเสื้อฉันเลยไม่ว่าจะเดินไปจุดไหนจนมาถึงชั้นสามซึ่งมีร้านกาแฟชื่อดังและเป็นร้านอาหารในตัวเด่นออกมา
พี่กวางพาฉันเข้าร้านนี้
พี่กวางสั่งทุกอย่างให้เสร็จสรรพแต่ทุกครั้งที่สั่งเขาก็มักจะถามว่าชอบไหม แพ้หรือเปล่าและที่ทำให้แปลกใจเลยก็คืออยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า ไม่มีใครเคยพูดกับฉันสักครั้งนี่เป็นครั้งแรกก็ว่าได้
“ถามอะไรได้มั้ยใจ”
“ได้ค่ะ”
“สองคนที่เจอร้านหนังสือเพื่อนเหรอ?”
“ก็... ใช่ค่ะ ใจเข้าเรียนมอหนึ่งก็มีแค่ฟ้ากับฝนที่สนิท ถ้าแบ่งกลุ่มก็ได้อยู่กับสองคนนี้ตลอดเลย” คงเพราะข้ามเวลารออาหารมั้งพี่กวางถึงได้อยากรู้พอเครื่องดื่มมาฉันก็หยุดพูดส่วนพี่กวางนั้นก็ค้นถุงที่วางไว้บนเก้าอี้ตัวข้างๆ เป็นถุงจากร้านอุปกรณ์การเรียน “ตอนนี้จะขึ้นเทอมสองก็มีแค่ฟ้ากับฝนแน่เลยค่ะพี่กวาง”
“หาไว้บ้าง”
“คะ?”
“คบคนอื่นไว้บ้างนอกจากสองคนนี้” อ่า... พี่กวางพูดขยายความชัดเจนจากประโยคแรกใบหน้าหล่อทำสีหน้าจริงจังก่อนที่จะดื่มลาเต้ทุกอย่างอยู่ในสายตาของฉันหมดแม้กระทั่งมือใหญ่ที่ค่อยๆ เคลื่อนมายังตรงหน้าฉัน “แล้วนี่พี่ให้”
“…” นี่... ปากกาสีชมพูสวยบนตรงฝาปิดเป็นรูปชาไข่มุก
“เห็นว่าอยากได้”
“แต่...” ใช่ฉันกำลังจะปฏิเสธ
“สองด้ามเลยพี่ให้ใจถือว่าเป็นของขวัญวันเปิดเรียนเล่มหนึ่งแล้วแทนคำขอบคุณที่พาพี่มาซื้อของ”
“ขอบคุณค่ะ” ฉันยกมือไหว้พี่กวางแล้วยิ้มแฉ่งให้กับปากกาสองด้ามที่เป็นสีชมพูด้ามหนึ่งและสีน้ำตาลเข้มด้ามหนึ่งจะรักษาเอาไว้อย่างดีเลย “พี่กวาง...”
“หื้ม?”
“ใจจะตั้งใจเรียนเลย”