CHAPTER 10

1637 คำ
CHAPTER 10 “กวางแก่แดดต่างหากไม่เด็กหรอกทำไมแม่คลอดมาจะไม่รู้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงมีลูกสองแล้วมั้ง” “ผมเลือกเยอะจะตายครับจะลูกสองได้ไงกัน” เพราะผมไม่เหมือนคนอื่นๆ คนที่เข้ามามันก็แค่ความตื่นเต้น ความอยากรู้อยากลองและก็แยกย้ายไม่มีใครอยู่นานหรอก “อีกไกลครับเรื่องนั้น” ผมยังไม่คิดมีคนรัก ผมยังไม่คิดมีใครในตอนนี้ และผมยังอยากใช้ชีวิตคนเดียวอยู่ “แม่จะคอยดูแล้วกันนะกวาง” “เชื่อเถอะครับ” “ไม่ แม่มองออกถ้าเป็นลูกแม่แต่สำหรับน้อยใจแม่ก็โอเคนะของแค่ให้เกียรติน้องก็พอ” “วกเข้ามานี่จนได้นะครับ กวางง่วงแล้ว” “สู้ไม่ได้แล้วก็หนีนะ” “สู้กับแม่ไม่ได้หรอกครับยังไงผมก็แพ้แน่ๆ” ตามนั้นครับผมไม่สู้แม่หรอกเพราะอีกฝ่ายรู้จุดอ่อนของผมดีกว่าใครๆ ทั้งหมดมีเหรอที่ผมจะชนะผู้หญิงคนนี้ไม่มีทาง “ยอมแพ้แบบไม่สู้ดีกว่า” “พรุ่งนี้พาน้อยใจไปเที่ยวหน่อยนะกวาง” “ทำไมครับ” แบบแม่ไม่ทำอะไรโดยไม่มีเหตุผล แบบแม่มันต้องมีอะไรซุกซ่อนอยู่แน่ๆ “แม่จะจัดการอะไรนิดหน่อยเด็กไม่ควรอยู่” “ครับ” “แล้วมีฮู้ดตัวเล็กๆ กว่าเสื้อที่น้องใส่ในตอนนี้หรือเปล่าเอาไปให้น้องด้วยนะ” “เดี๋ยวๆ” ชักแปลกใจแล้วสิ “เพราะแม่ชอบเอาเสื้อกวางให้น้องใส่ตลอด ตัวใหญ่ๆ โคร่งๆ พวกนั้นที่อยู่บนตัวน้อยใจเสื้อกวางทั้งนั้นลูก” ถึงว่ามันรู้สึกคุ้นๆ ยังไงพิกล แต่แม่ให้ยัยนั่นใส่เสื้อผมทุกครั้งงั้นเหรอ จะบ้าตาย... ความจริงแล้วยังไม่ง่วงหรอกแต่ถ้ายังดึงดันจะนั่งอยู่แบบนั้นแทนที่จะเข้าห้องผมคงต้องโดนแม่ซักจนขาวสะอาดผุดผ่องไม่หลงเหลืออะไรอีกทั้งคนรู้ทันทุกอย่างแบบนั้นมีเหรอจะตามไม่ทันความคิดของผมที่ยังไม่ค่อนลงรอยเท่าไหร่นักคำตอบแน่ชัดยังให้ตัวเองไม่ได้เลยแบบนี้จะทำยังไงกับสถานการณ์ที่เหลือทางเลือกทำได้ก็คือหลีกเลี่ยงพาตัวเองเข้าห้องมานอนลืมตามองเพดานห้องท่ามกลางดวงไฟสลัวแบบนี้ไงล่ะ หลากหลายความคิดแล่นสาดเข้าใส่ตัวผมซ้ำๆ ทางตัดและทางมืดเข้ามารวมตัวกันเรื่อยๆ ถึงอยู่ในสภาวะเป็นเด็กวัย 18 แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องให้เครียดนะ ‘เป็นเด็กเครียดอะไรนักหนา’ หึประโยคนี้ยุคสมัยแบบนี้ยังใช้ได้อยู่งั้นเหรอ ประสาท... ประสาทในเรื่องที่ไม่ควรประสาท เด็กก็มีความคิด เด็กก็มีสมอง เด็กก็เหมือนผู้ใหญ่ทำไมจะเครียดไม่ได้เพียงแค่เรื่องเครียดมันอาจต่างระดับกันก็เท่านั้นเหมือนที่ผมเป็นอยู่ในตอนนี้ เรื่องน้อยใจทำให้ผมเครียด เรื่องน้อยใจทำให้ผมกังวลกว่าเรื่องอื่น และเรื่องของน้อยใจทำให้ผมยกมีเป็นเรื่องลำดับหนึ่ง ช่างแม่ง... คำนี้ใช้ไม่ได้ ต้องไม่ช่างแม่งดิ ไม่ได้เด็ดขาด “อยากไปไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าใจ” มาถึงเช้าวันต่อมาที่ผมไม่รู้ว่าตัวเองนอนหลับไปเมื่อไหร่รู้แค่ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงการเคาะประตูห้องปลุกของน้อยใจเด็กที่ยังยืนยิ้มตรงหน้าของผมในขณะนี้ น้อยใจตัวเล็กสวมเสื้อแขนยาวสีฟ้าอ่อนของผมพร้อมกับกางเกงยีนสั้นพอดีตัวอีกทั้งปล่อยผมยาวน่ารักยืนสะบัดแขนทั้งสองเล่นกับแขนเสื้อยาวอยู่อย่างงั้นเรื่อยๆ “บอกพี่มาวันนี้จะพาเที่ยวหน่อย” “รู้ทางใช่มั้ยพี่กวาง” โหโคตรดูถูกอ่ะ “ไม่” “อ้าว” น้ำเสียงตกใจเกิดขึ้นเล็กน้อยการทะเลาะกับเสื้อบนตัวก็หยุดลง “แล้วทำไงละคะ” “ก็ไปมันเรื่อยๆ ไม่หลงแน่ก็แค่เชียงรายอ่ะ ขึ้นรถไป” ปากเล็กหมุบหมิบยกทำขึ้นอย่างหมั่นเขี้ยวนั่นรู้ไหมมันทำให้ผมกลั้นใจหลายครั้งที่จะไม่ยื่นมือเข้าไปจับบีบเป็นก้อนบีบเล่นให้ตายเถอะ “ใจ” “คะ?” “จะไปไหน” “ก็ขึ้นรถยังไงคะ” น้อยใจหยุดแล้วหันใบหน้ามาทางผมด้วยความสงสัยรถที่อีกฝ่ายกำลังจะมุ่งหน้าเดินไปมันเป็นคันที่ผมเคยพาน้อยใจไปซื้ออุปกรณ์การเรียนแต่วันนี้ไม่ใช่ผมไม่ใช้คันนั้น “มีอะไรหรือเปล่าพี่กวาง” “คันนี้ครับไม่ใช่คันนั้น” คันที่ผมใช้ในวันนี้เป็นคันโปรดอีกคันหนึ่งที่พึ่งได้มาเมื่อต้นปีส่วนสีก็เป็นสีขาวเรียบแต่ยังคงเป็นรถสัญชาติยุโรปเช่นคันอื่นๆ บอกเลยส่วนมากรถของผมเป็นสัญชาติทางยุโรปมากกว่าเอเชียคงเป็นเพราะความชอบแล้วก็อะไรหลายๆ อย่างที่ใช้ประกอบการตัดสินใจซื้อไม่ใช่แค่ความชอบเพียงอย่างเดียว ผมเรียนรู้ทุกอย่างจากคนเป็นพ่อการเรียนรู้ที่ค่อยๆ สะสมไปเรื่อยๆ แต่ไม่หยุดกับที่เฉยๆ การพัฒนาเติบโตขึ้นตามสเตปที่ได้วางเอาไว้นั้นเป็นจุดหมายที่ต้องฟันฝ่า พ่อเป็นคนสอนทุกอย่างด้วยตัวเองผมรู้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ท่านเผชิญมาล้วนๆ ไม่มีปกปิดเอาไว้ ผมมีต้นทุนมากกว่าคนอื่นคงเป็นทรัพย์สิน แต่รู้ไหมสิ่งที่ผมเหมือนคนอื่นๆ ก็คือการเริ่มทำอะไรเองเสมอ “คันไหนอ่ะ... อ๋อคันนั้นเหรอ” “ไม่” รู้ไหมสิ่งที่น้อยใจใช้นิ้วชี้ไปนั้นเป็นแค่รถจักยานที่แม่ใช้ในการเดินทางที่บ้านกับร้านกาแฟในบางครั้งเท่านั้นจึงถูกจอดทิ้งไว้ในสภาพที่ดีพร้อมใช้งานแต่ไม่ใช่ตอนนี้ไงครับ ผมจะไม่ปั่นจักยานเที่ยวทั่วจังหวัดหรอกยังไงก็ไม่มีทางถึงจุดหมาย “คันโน้นสิ” “อ่าไม่ใช่รถจักยาน ใจนึกว่ารถจักยานปั่นเที่ยวในไร่ค่ะ” “นอกไร่” “ค่ะนอกไร่ค่ะ” “เด๋อ” “ก็ ก็คนมันไม่รู้มั้ยคะ” น้อยใจยังหยุดอยู่ที่เดิมไม่เดินไปไหนคงอยากถามเช็กเพื่อความมั่นใจก่อนละมั้งแล้วก็ใช่เมื่ออีกฝ่ายหันหน้ามาถามผมอีกครั้ง “คันสีขาวใช่มั้ยคะ” “ขาวซ้ายสุดเลยใจ” เพราะมีสีขาวอีกหลายคน บอกกำหนดจุดไปก็ดีแล้วแหละ “น้ำหอมหอมจังค่ะ” “หื้ม?” “ใจหมายถึงพอเข้ามาในรถกลิ่นหอมเลย” “อ้อ” กลิ่นหอมอ่อนๆ ไม่ฉุนมากสูดโดยไม่มีอาการเวียนหัวแบบนี้สินะที่น้อยใจหมายถึงมันเป็นกลิ่นน้ำหอมผมเองครับไม่ใช่น้ำหอมปรับอากาศในรถซึ่งผมก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากบังคับรถขับออกจากไร่ ที่แรกของทริปวันนี้คงเป็นไร่ชาที่ช่วงนี้เห็นหลายคนไปแล้วถ่ายรูปอวดโซเชียลล่ะมั้งผมคิดภายในใจและก็พาอีกฝ่ายมาถึงไร่หนึ่ง สายตาของผมมองไปยังคนตัวเล็กด้านล่างที่เกือบสูงเท่ากับแถวต้นชาที่เรียงขั้นไปตามที่ราบจะสะดุดหน่อยก็คงเป็นสีเสื้อของอีกฝ่ายเด่นออกมา ผมมองน้อยใจจากระเบียงชมวิวที่มีโต๊ะนั่งให้บริการ ผมมองรอยยิ้มแฉ่งของเธอตอนกำลังฉีกยิ้มถ่ายรูปกับโทรศัพท์ มองแบบนั้นซ้ำๆ ไม่ละสายตาไปที่ไหน วันนี้จำนวนคนเยอะแต่เวลานี้ก็ยังไม่มีใครเข้ามาในบริเวณนี้มากนักเพราะแสงแดดเริ่มสาดส่องเพิ่มความร้อนหลายคนจึงเลือกนั่งชมวิวตากเครื่องปรับอากาศที่ในร้านกาแฟมากกว่า ดูท่าน้อยใจจะเริ่มร้อนแล้วเช่นกัน นั่นไงวิ่งแจ้นกลับมาแล้ว “ไหนว่าหนาวคะ ทำไมร้อนแบบนี้พี่กวาง” มาพร้อมกับการบ่นก่อนปากจะหยุดงับดูดชาเขียวเข้าไปอึกใหญ่ “เสื้อตัวนี้ใส่แบบนี้ไม่ได้” “ก็ตอนเช้าที่ไร่เรา... เอ้ย! ไร่พี่กวางหนาวนิคะ” “นั่นมันบนดอย บนภูเขาอากาศเหมือนที่นี้ที่ไหนกันใจ เปลี่ยนมั้ยล่ะ” คำตอบที่ได้จากน้อยใจก็คงเป็นการส่ายหน้าปฏิเสธทั้งที่กรอบหน้ามีเหงื่อผุดเต็มเลย “ไม่ไหวแน่ใจ” “ไหวค่ะ” “อย่าดื้อไม่ไหวก็ตอบว่าไม่ไหวจะอดทนเก่งอะไรขนาดนั้นครับ” ผมเห็นน้อยใจก้มใบหน้าลงเล็กน้อยก่อนพยายามหลบสายตา “ไปที่อื่นต่อได้แล้ว” ก่อนไปที่อื่นผมแวะร้านขายของฝ่ายแล้วเลือกชุดเดรสผ้าฝ้ายที่มีลวดลายของทางเหนือติดมือมาด้วยตอนนี้ก็รอให้น้อยใจเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำครู่เดียวเสียงเปิดประตูรถจากอีกฝั่งก็ทำลายความเงียบแถมเป็นชนวนชั้นดีให้หันไปมองก็พบว่าน้อยอยู่ในอีกชุดหนึ่งเรียบร้อย ไม่มีอะไรมากก็แค่เหมาะสมดี กะระยะจากสายตาก็พอดีเหมือนกัน “ชาเขียวยังดื่มมั้ย” “ดื่มค่ะ” “งกตัวแม่เลยใจ” “แล้วพี่กวางสะพายกล้องมาได้รูปสวยมั้ยคะไม่อยากจะอวดเลยว่าใจได้เยอะมากๆ แต่รูปวิวสวยกว่าด้วย” รอยยิ้มร่า แววตาวิบวับ ท่าทางร่าเริงราวกับได้เที่ยวครั้งแรกทำเอาผมอดยิ้มไปด้วยไม่ได้ด้วยซ้ำ คนเรามันจะมีความสุขอะไรแบบนี้ได้จริงเหรอแค่เที่ยวเองนะรู้ไหมตอนนี้มันได้คำตอบแล้ว โลกของคนเราไม่เหมือนกันจริงๆ นั่นแหละ “ได้แถมได้ถ่ายเด็กเด๋อแถวนี้เป็นนางแบบคนแรกของกล้องด้วย” กวาง เปรมินทร์ นาคนิล : TALK END
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม