ตอนที่1

3861 คำ
    พิชญากรทั้งงงและกังวลกับอาการของพี่ชายกำลังถูกคนที่บอกว่าเป็นหมอจูงมือออกมาจากห้องงานเลี้ยง เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีกครั้งทำให้คนที่จับจูงกันอยู่ชะงัก ก่อนที่ช่อดอกไม้จะถูกยื่นมาให้เธอถือไว้อย่างงง ๆ และคุณหมอควานหาต้นตอของเสียงออกมาจากกระเป๋าสะพายใบสวย "ค่ะใช่ หมอกำลังจะเข้าไปที่โรงพยาบาลค่ะ อ๋อ หมอนนท์ก็อยู่ในงานสงสัยจะปิดเสียงไว้เลยไม่ได้ยิน เอ่อ คนไข้ที่ได้รับอุบัติเหตุมาเป็นผู้ชายหรือเปล่าคะ แล้วอาการเบื้องต้นตอนนี้เป็นยังไงบ้างยังมีสติอยู่ไหม ค่ะ ๆ เดี๋ยวหมอจะรีบเข้าไป ไม่เกิน15นาทีปฐมพยาบาลเบื้องต้นไปก่อนนะคะ" กนิษฐาวางสายพร้อมถอนหายใจออกมากึ่งโล่งใจ ก่อนหันมามองคนที่ตนเผลอจูงมือลากออกมาตั้งแต่ห้องงานเลี้ยง และตอนนี้กำลังมองมาเหมือนอยากจะถาม "คนไข้น่าจะเป็นพี่ชายคุณจริงๆนั่นล่ะ อาการเบื้องต้นพยาบาลบอกศีรษะแตก แต่คนไข้ยังมีสติอยู่กำลังทำแผลและคงไปเอกซเรย์ร่างกายอีกครั้ง" คำบอกกล่าวที่ได้ฟังก็พอจะทำให้พิชญากรถอนหายใจตามไปด้วย อย่างน้อยพี่ชายยังมีสติคงจะไม่เป็นอะไรหนัก "เชิญค่ะ" มัวแต่คิดอะไรไม่รู้ตัว ว่าเดินตามอีกคนมาถึงรถแล้ว "ขอบคุณค่ะ" น้ำเสียงหวานเอ่ยขอบคุณคนที่เปิดประตูให้ ก่อนจะเข้าไปนั่งในรถคันหรู "เอ่อหมอคะ ช่อดอกไม้นี่เอาไว้เบาะหลังไหมคะ?" คนหน้าหวานเอ่ยถามขึ้น เมื่อเจ้าของรถคนสวยเข้ามานั่งประจำที่เรียบร้อย "อืม ไว้ได้ค่ะ แต่ตอนลงอย่าลืมเอาลงไปด้วยนะคะมันเป็นของคุณ" "หือ ของฉันเหรอคะ? เดี๋ยวนะคะ มันจะเป็นของฉันได้ยังไง ก็คุณหมอเป็นคนรับมากับมือนี่คะ?" พิชญากรมึนงงตั้งแต่เหตุการณ์ในห้องงานเลี้ยงแล้ว ไหนคุณหมอยังจะมายัดเยียดช่อดอกไม้นี่ให้กันอีก ถึงเธอจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องคนได้ดอกไม้งานแต่งจะได้แต่งงานเป็นคนถัดไป เธอก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมายกให้กันง่ายๆแบบนี้นะ กนิษฐายิ้มเหมือนจะขำก่อนจะตอบออกไปหน้าตาเฉย "ถ้าหมอไม่รับแทนน่ะ ศีรษะคุณก็คงรับช่อดอกไม้นี่ไปแล้วละค่ะ เพราะฉะนั้นถือว่าหมอช่วยรับไม่ให้คุณได้รับบาดเจ็บก็แล้วกัน เอามันกลับไปด้วยค่ะ" พิชญากรถึงกับหน้าเหวอไปเลยเมื่อเจอคำตอบแบบนั้นเข้า จะเถียงก็ไม่ใช่เพราะมันก็จริงหากคุณหมอไม่คว้าไว้มันก็หล่นใส่หัวเธอจริงๆนั่นแหละ เฮ้อ ช่างเหอะเอาไปจัดแจกันที่ห้องก็ได้ ดอกไม้นี่ก็ออกจะสวยดีหรอก "ขอบคุณค่ะ" สุดท้ายเธอก็กล่าวขอบคุณคนที่ทำหน้าที่ขับรถอยู่ให้หันมามองแวบหนึ่ง แต่ก็ทันได้เห็นว่าอีกฝ่ายยกยิ้มมุมปากก่อนจะหันกลับไปมองถนนตามเดิม ไม่นานรถยนต์คันหรูก็ขับมาจอดยังบริเวณลานจอดข้างตึกของโรงพยาบาล สองสาวลงจากรถตรงไปแผนกฉุกเฉินทันที "พี่พีท เป็นไงบ้างคะ?" พิชญากรตรงเข้าไปถามอาการพี่ชายที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ พีรวัฒน์ยิ้มเซียวให้น้องสาว "เย็บไปหกเข็ม หมดหล่อแน่เลยงานนี้" คำตอบขี้เล่นของพี่ชาย ก็พอจะเรียกรอยยิ้มจากคนเป็นน้องได้ "ยังจะมาห่วงหล่ออีกไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้วค่ะ พายเป็นห่วงแทบแย่ แล้วนี่ไปเอกซเรย์ร่างกายมาหรือยังคะ" "ไปเพิ่งกลับมานี่แหละครับ แล้วพายมายังไงนั่งแท๊กซี่มาเหรอ" "เปล่าค่ะ พอดีพายมากับคุณหมอ นั่นไงคะคนที่กำลังคุยกับพยาบาลน่ะ บังเอิญหมอเขาไปงานแต่งที่โรงแรมก็เลยได้มาด้วยกันค่ะ" "อ่อ อ้าวแล้วนี่ช่อดอกไม้ใคร ลูกค้าให้มาเหรอ" พีรวัฒน์เพิ่งสังเกตุเห็นว่าน้องสาวถือช่อดอกไม้ช่อใหญ่ก็ทักขึ้น แต่คนถือมันอยู่กลับยิ้มแหยส่งมาให้แทน "คือ จะพูดยังไงดีล่ะ มันบังเอิญน่ะพี่พีท พายบังเอิญเปิดประตูห้องจัดเลี้ยงงานแต่งเข้าไป ตอนเขาโยนช่อดอกไม้พอดี" พิชญากรเล่าเพียงแค่นั้น จะให้บอกว่าคุณหมอคนสวยยัดเยียดให้อีกทีก็กระไรอยู่ "หือ หึๆ รู้สึกวันนี้เราพี่น้องจะเจอแต่เรื่องบังเอิญนะ แต่พี่บังเอิญเจ็บตัวนี่สิ สงสัยต้องไปรดน้ำมนต์แล้วมั้งเนี่ย" พีรวัฒน์บ่นขำ ๆ แต่ก็ต้องทำหน้าเหยเกเมื่อรู้สึกเจ็บแป๊ปที่หน้าอก "เป็นอะไรพี่พีท! เจ็บเหรอคะ? หมอ หมอคะ!" พิชญากรร้องเรียกคนที่กำลังยืนคุยกับพยาบาลให้หันมามอง ก่อนร่างสูงโปร่งจะเดินเข้ามาข้างเตียงคนไข้ "เจ็บตรงไหนคะ?" กนิษฐาสอบถามคนไข้ที่เอามือกุมหน้าอกอยู่ "มันเจ็บแป๊บตรงหน้าอกครับคุณหมอ สงสัยจะเป็นช่วงสายเข็มขัดนิรภัยกระชากน่ะครับ" "เดี๋ยวรอผลเอกซเรย์สักครู่นะคะ หมอจะได้ดูว่ากระดูกร้าวหรือแค่กล้ามเนื้อช้ำ แล้วแผลที่ศีรษะยังปวดอยู่ไหมคะ? "ปวดนิดหน่อยครับ สงสัยยังชาอยู่" กนิษฐาพยักหน้ารับ "อย่าเพิ่งคุยเยอะนะคะเดี๋ยวขยับปากมาก ๆ แผลศีรษะขยับตามไปด้วยจะยิ่งปวดนะ" คำเตือนเหมือนจะดุหากว่าเรียวปากสวยไม่แย้มยิ้มน้อย ๆ มาด้วย ทำให้สองพี่น้องมองหน้ากันพลางยิ้มเก้อส่งให้คุณหมอ ก็ตั้งแต่มาทั้งคู่ยังถามไถ่กันไม่หยุดน่ะสิ พอคุณหมอเลี่ยงออกไปคุยกับพยาบาลต่อ พิชญากรก็ก้มกระซิบถามคนพี่แต่สายตาก็ไม่วายเหลือบมองไปยังคนที่ยืนหันข้างมาให้กันอยู่ "พี่พีทบอกใครหรือยังว่าได้รับอุบัติเหตุน่ะ" "ยัง พี่บอกให้พยาบาลโทรแจ้งพายแค่นั้นเดี๋ยวที่บ้านรู้จะตกใจกันไปหมด รอฟังผลตรวจจากคุณหมอก่อน ถ้าไม่มีอะไรหนักมากอาจไม่ต้องแอดมิทก็ได้" สองพี่น้องที่ก้มคุยกันเบา ๆ หารู้ไม่ว่าหางตาของคุณหมอนั้นเหลือบมาเห็นอยู่แล้ว กนิษฐาอยากจะขำอยู่เหมือนกันดูสิเหมือนเด็กที่โดนดุแต่ก็ยังพากันแอบทำสิ่งที่ห้ามทั้งที่ตัวก็โตกันทั้งคู่ จนเมื่อพยาบาลนำผลเอกซเรย์มายื่นให้นั่นแหละ เธอถึงได้เดินเข้าไปที่เตียงคนไข้อีกครั้ง "คุณพีรวัฒน์คะ จากผลเอกซเรย์หมอดูแล้วส่วนของศีรษะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่ถ้าหากมีอาการปวดหัวมากหรือตามัวยังไงก็ต้องรีบแจ้งกับพยาบาลนะคะ เพราะบางทีอาจมีผลข้างเคียงจากที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้ ส่วนเรื่องเจ็บช่วงอกดูจากกระดูกแล้วไม่มีรอยร้าวของกระดูก แต่กล้ามเนื้อน่าจะช้ำจากการถูกแรงกระชากอย่างที่คุณบอก หมอจะให้แอดมิทดูอาการสักวันสองวันก่อนนะคะ ถ้าปล่อยให้กลับไปเกิดมีอาการอย่างอื่นแทรกซ้อนขึ้นมา มันจะไม่ดีต่อคนไข้" เมื่อฟังผลตรวจเสร็จพีรวัฒน์ก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ให้คนเป็นน้องยิ้มบางส่งให้ "เดี๋ยวพายอยู่เฝ้าค่ะ พรุ่งนี้พายมีงานช่วงเย็น ยังไงคงต้องโทรบอกพี่แพทให้รู้ก่อนนะคะพี่พีท" พีรวัฒน์พยักหน้าให้น้องสาว "ถ้างั้นขอพักห้องพิเศษนะคะคุณหมอ พี่พีท พกบัตรประกันสุขภาพมาหรือเปล่าคะ? "น่าจะอยู่ในกระเป๋าสตังค์นะ พายถามคุณพยาบาลดูน่าจะอยู่ในกระเป๋ากางเกงพี่น่ะแหละ" "เรื่องห้องพิเศษหมอจะให้พยาบาลจัดการให้ถ้าอยากได้พยาบาลพิเศษยังไงก็แจ้งกับเจ้าหน้าที่นะคะ เดี๋ยวหมอจะจัดยาให้" "ขอบคุณครับคุณหมอ" ยี่สิบนาทีต่อมาพิชญากรก็ได้เข้ามาอยู่ในห้องคนไข้พิเศษกับพี่ชาย ซึ่งเจ้าตัวไม่ค่อยจะถูกกับโรงพยาบาลสักเท่าไหร "เอ่อ พี่พยาบาลคะพอจะมีแจกันเปล่าสักใบไหมคะ ฉันจะเอามาใส่ดอกไม้นี่ค่ะ" พยาบาลมองหน้าดาราสาวพลางยิ้มให้ "เดี๋ยวพี่ดูให้นะคะ แต่ขอแลกกับลายเซ็นต์น้องพายด้วยนะคะ พี่จะเอาไปฝากลูกสาว" "ยินดีเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ" สวยหวานพูดจาก็เพราะใครจะเชื่อว่านี่คือดาราสาว ที่รับบทเป็นนางร้ายในละคร แถมยังดังจนคนติดกันงอมแงมทั่วบ้านทั่วเมือง พยาบาลวัยสามสิบกว่าอดชื่นชมหญิงสาวในใจไม่ได้ ก่อนจะออกไปจัดการหาสิ่งที่อีกคนอยากได้ "พยายามทานยาให้ครบตามที่หมอจัดให้นะคะแผลจะได้ไม่อักเสบ และถ้ามีอาการปวดหัวตามัวอย่างที่หมอบอกก็ให้รีบแจ้งพยาบาลทันที ไว้พรุ่งนี้หมอจะมาเช็คอาการอีกทีนะคะ" "ครับคุณหมอ" หลังจากแจ้งย้ำกับคนไข้อีกครั้งกนิษฐาจึงได้ขอตัว เธอเองก็ต้องกลับไปพักผ่อนเช่นกันนี่ก็จะเที่ยงคืนอยู่แล้ว "หมอคะ" คุณหมอหันกลับมามองสาวสวยที่เดินตามมา "คะ? มีอะไรจะถามหมอหรือเปล่า" กนิษฐาเอ่ยถามคนที่ส่งยิ้มมาให้ และต้องขมวดคิ้วสงสัย เมื่อดอกกุหลาบสีชมพูดอกหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้าเธอ "ให้คุณหมอค่ะ ขอบคุณที่ช่วยรับมันแทนฉันและก็ขอบคุณที่ให้อาศัยรถมาด้วยค่ะ" คำกล่าวที่มาพร้อมรอยยิ้มทำให้คนที่ได้ดอกไม้แทนคำขอบคุณอดที่จะยิ้มตอบไม่ได้ ก่อนจะยื่นมือไปรับเอาดอกกุหลาบนั่นมาไว้ "ขอบคุณค่ะ หมอขอตัวก่อนนะคะ" "ค่ะ ขับรถดี ๆนะคะคุณหมอ" กนิษฐาวางช่อดอกกุหลาบดอกสวยไว้เบาะด้านข้าง เมื่อนึกถึงคนที่ให้มันมาก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ เธอเพิ่งจะรู้ว่าอีกคนนั้นเป็นดาราก็ตอนที่พยาบาลพากันไปขอลายเซ็นต์นั่นแหละ และที่ไม่น่าเชื่อก็ตรงที่สาวหน้าหวานรับบทนางร้ายไม่ใช่นางเอกอย่างที่เธอเข้าใจน่ะสิ ช่างเป็นคนที่มีอะไรให้น่าค้นหาจริง ๆเลยนะแม่คุณนางร้าย     หลังจากที่คุณหมอกลับไปแล้วพิชญากรก็โทรแจ้งข่าวให้พี่ชายคนรองรับรู้ และก็เป็นไปตามคาดคนเป็นพี่แทบจะบึ่งรถตามมาจนเธอต้องรีบบอกว่าพีรวัฒน์ไม่ได้อาการสาหัส หมอแค่ให้นอนพักเผื่อดูอาการแทรกซ้อนเท่านั้น พี่ชายถึงได้ยอมและจะมาเยี่ยมในตอนเช้าแทน "ยังไม่ง่วงเหรอคะพี่พีท" เมื่อเดินกลับมาที่เตียงยังเห็นพี่ชายนอนตาแป๋วอยู่ "เริ่มง่วงหน่อย ๆแล้วล่ะ  แพทว่าไงมั่ง ไม่ใช่แจ้นไปบอกพ่อกับแม่แล้วนะ" พีรวัฒน์เอ่ยถึงน้องชายฝาแฝดขำ ๆให้น้องสาวหลุดหัวเราะตาม "พายกำชับไปแล้วค่ะว่าพรุ่งนี้ค่อยบอกคุณพ่อคุณแม่ ขืนบอกตอนนี้มีหวังไม่หลับไม่นอนกันพอดี นี่ก็ตกใจจะมาดูอาการพี่พีทคืนนี้ให้ได้" "หึๆ เจ้าแพทจอมโวยวายกระต่ายตื่นตูม" พีรวัฒน์เอ่ยกลั้วขำเมื่อพอจะรู้นิสัยความขี้ห่วงของคู่แฝด "พี่พีทยังปวดแผลอยู่หรือเปล่า" พิชญากรนั่งลงข้างเตียงถามไถ่คนเจ็บอีกครั้ง "ไม่เท่าไหร่จ๊ะ ยาคงกำลังออกฤทธิ์อยู่มั้ง แล้วพายนอนโซฟาได้ใช่มั้ย หรือมานอนบนเตียงกับพี่มั้ยมันกว้างอยู่นะ" "ได้ค่ะ แหมนอนบนเตียงเดี๋ยวจะได้โดนคุณพยาบาลดุเอาสิคะ น้ำหนักเราสองคนเกิดเตียงหักนี่เป็นเรื่องเลยนะพี่พีท" หึ ๆ ฮ่า ๆ โอยย พิชญากรทั้งขำทั้งสงสารคนพี่ที่หัวเราะจนกระเทือนแผลเย็บ ให้นึกถึงคำเตือนของคุณหมอที่บอกอย่าพูดมากระวังจะเจ็บแผล "พายว่าพี่นอนพักเถอะค่ะนี่เที่ยงคืนกว่าแล้ว เช้าพรุ่งนี้มีหวังได้ตื่นมาต้อนรับครอบครัวเราแต่เช้าแน่" "โอเค ฝันดีครับ" "ค่ะ" เมื่อหรี่ไฟในห้องเรียบร้อยพิชญากรจึงเข้าไปจัดการล้างหน้าล้างตาตัวเองเมื่อส่องกระจกก็ต้องถอนหายใจ เธอลืมสนิทเลยว่าตัวเองยังไม่ได้ล้างเครื่องสำอาง "สิวจะขึ้นมั้ยเนี่ย รู้งี้ขอสำลีกับแอลกอฮอลล์พี่พยาบาลซะก็ดี" บ่นกับตัวเองเสร็จสุดท้ายนางร้ายคนสวยก็เลยต้องแก้ปัญหาชั่วคราวด้วยกระดาษทิชชู่ชุบน้ำเปล่า เช็ดแทนการใช้สบู่ก้อนเล็กที่มีในห้องน้ำ "เฮ้อ ฮาร์ดคอร์ซะไม่มีละชั้น" เมื่อพิศมองใบหน้าตัวเองก็อดขำไม่ได้ ถึงจะไม่เกลี้ยงเกลาเท่าปกติแต่ก็ยังดีกว่าปล่อยไว้แบบไม่ล้างทั้งคืนนั่นแหละ เมื่อกลับออกมาอีกครั้งก็เห็นคนเจ็บหลับสนิทไปแล้วเธอจึงเดินไปที่โซฟาตัวยาวมุมห้อง ดีหน่อยที่พยาบาลจัดหมอนกับผ้าห่มมาไว้ให้แล้วเรียบร้อย จะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกที่เธอต้องมานอนเฝ้าคนไข้ แถมเพิ่งจะเคยมาใช้บริการโรงพยาบาลแห่งนี้ครั้งแรกด้วยเหมือนกัน พอนึกถึงโรงพยาบาลความคิดก็ไขว้ไปถึงคุณหมอผู้ยัดเยียดช่อดอกไม้ให้เธอ คิดแล้วก็นึกภาพไม่ออกถ้าช่อดอกไม้นั่นหล่นใส่เธอจริง ๆไม่ใช่จะหน้าแหกไปอีกคนหรือเปล่านะ ช่อก็ไม่ใช่เล็ก ๆ นับคร่าว ๆคงจะ 99 ดอกด้วยละมั้ง เจ้าสาวคงถือเคล็ดเลขมงคล ห้องคนไข้พิเศษถูกเคาะตั้งแต่ยังไม่ถึงเจ็ดโมงเช้าด้วยซ้ำ พิชญากรที่ตื่นมาได้สักพักมองไปยังประตูก็เห็นมารดากับพี่ชายคนรองเดินตามหลังมา "เป็นยังไงบ้างลูก แม่ตกใจมากเลยนะเนี่ยตรวจร่างกายดีหรือยัง หมอเขาว่ายังไงบ้าง" "ใจเย็นครับคุณแม่ ผมแค่หัวแตกเย็บไม่กี่เข็มเองไม่ได้เป็นอะไรมากครับ" พีรวัฒน์ยิ้มตอบคนเป็นแม่ที่ปรี่เข้ามาจับตัวจับแขนตรวจสภาพร่างกายเขาด้วยความเป็นห่วง "อ่ะพาย นี่กระเป๋าเสื้อผ้าเรา ชุดเครื่องสำอางก็อยู่ในนั้นแหละ" พัชรวิชญ์ส่งกระเป๋าใส่เสื้อผ้า ที่น้องสาวฝากให้เอามาให้ด้วย "ขอบคุณค่ะ แล้วนั่นถุงอะไรคะ" พิชญากรถามขึ้นเมื่อในมือพี่ชายมีถุงกระดาษสีดำใบใหญ่ "อ๋อ อาหารเช้าพวกเรานี่แหล่ะ คุณแม่ให้แม่บ้านทำมาด้วยกลัวพีทกินข้าวโรงพยาบาลไม่ได้น่ะ" คำตอบยิ้มปนแซวพี่ชายฝาแฝด เพราะในความคิดคนไม่เคยป่วยหนักถึงขั้นนอนโรงพยาบาล แน่นอนว่าย่อมไม่เคยลิ้มรสชาติอาหารมาก่อน แต่การที่เคยได้ยินบรรดาญาติหรือปู่ย่าตายายท่านเคยผ่านมาแล้วได้แต่บอกว่า เป็นไปได้ทำอาหารมาจากบ้านเถอะ นั่นแหละคุณแม่ผู้รักและห่วงสุขภาพปากท้องของลูกทั้งสอง เลยจัดการทำอาหารมาเองอย่างที่เห็น พิชญากรเข้าไปจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาอีกรอบก็พอดีพยาบาลพิเศษเข็นรถสำหรับอาหารเช้าเข้ามาในห้อง ก่อนส่งยิ้มทักทายทั้งคนไข้และญาติ "คุณพยาบาลครับพอดีพวกเรานำอาหารมาจากบ้านด้วย คงไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ" พัชรวิชญ์บอกออกไป ให้คุณพยาบาลยิ้มบางส่ายหน้าเล็กน้อย "ไม่เป็นไรค่ะ ส่วนมากคนไข้กับญาติที่มาเยี่ยมก็มักจะนำอาหารมาเองเพราะกลัวอาหารทางโรงพยาบาลไม่อร่อย อันนี้เข้าใจค่ะ แต่ว่าคนไข้ที่ได้ทานแล้วก็จะชมกันเป็นส่วนใหญ่นะคะ" "คือ ขอโทษนะครับที่ทำให้เข้าใจแบบนั้น คือพวกเราเคยได้ยินบรรดาญาติ ๆบ่นกันว่าอาหารจืดบ้างอะไรบ้างน่ะครับ" ชายหนุ่มรีบกล่าวแก้ออกไปและไม่ลืมที่จะเหลือบมองสิ่งที่อยู่บนรถเข็นขนาดเล็ก ถาดใบใหญ่มีถ้วยอยู่สี่อันซึ่งมีฝาครอบเอาไว้ นอกนั้นยังมีแซนวิชชิ้นกำลังพอดีกินห่อซีลมาอย่างดีสองชิ้น กับนมอีกสองกล่อง พยาบาลพิเศษยิ้มขำ เมื่อฟังคำอธิบายของหนุ่มหน้าตาดีที่เคยเห็นตามข่าวสังคมบ้าง แถมมีน้องสาวเป็นถึงดาราดัง ก็ย่อมมีคนสนใจครอบครัวนี้เป็นเรื่องธรรมดา แล้วไหนจะหน้าตาที่ดูดีทั้งพี่ทั้งน้องก็ยิ่งเป็นที่จับตามองของคนทั่วไป "ถ้วยชามช้อนอะไรมีสำรองให้ในตู้ใต้ซิงค์ล้างจานนะคะ ใช้ได้ตามสบายค่ะ" โอ้โห นี่โรงพยาบาลแบบไหนกันมีบริการแบบนี้ด้วยเหรอ  พิชญากรหัวเราะขำพี่ชายคนรองที่ทำหน้าตาโตแปลกใจแบบปิดไม่มิด เธอก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหล่ะห้องพักพิเศษในโรงพยาบาลมีซิงค์ล้างถ้วยจานให้พร้อม ลองเปิดดูตู้ด้านล่างก็มีอุปกรณ์ถ้วยชามช้อนให้ครบชุดแม้กระทั่งมีดปอกผลไม้อันเล็ก "อาการเป็นยังไงบ้างคะคุณพีรวัฒน์ ปวดหัวตามัวหรือเปล่าคะ" "ปวดแผลนิดหน่อยครับรู้สึกตึงๆแผลเย็บ" "เดี๋ยวขอวัดไข้กับวัดความดันก่อนนะคะ" จากนั้นพยาบาลก็ทำหน้าที่ของตัวเองปล่อยให้ญาติคนไข้เดินไปจัดสำรับกับข้าวส่วนตัวที่โต๊ะมุมห้อง "เพอร์เฟคมากเลย นี่โรงพยาบาลหรือคอนโด ถ้ามีตู้กับข้าวกับเตาแก๊สด้วยพี่ว่าย้ายมานอนเอาแอร์เย็น ๆสักเดือนก็ได้นะแบบนี้ เปลี่ยนบรรยากาศ" หึๆๆ  เสียงพูดคุยกึ่งกระซิบของพี่ชายพาให้น้องสาวอดขำไม่ได้ แต่คนเป็นแม่ที่ได้ยินต้องตีแขนลูกชายทั้งบ่นเบาๆ "พูดให้มันเป็นลางนะตาแพท ใครเขาอยากมานอนที่โรงพยาบาลกันเล่นๆ ถึงจะสะดวกยังไงก็เถอะ" คุณลูกชายเลยได้แต่ยิ้มแหยส่งให้ มันก็จริงนั่นแหละ ขึ้นชื่อว่าโรงพยาบาลต่อให้สะดวกสบายเหมือนโรงแรมหรูก็คงไม่มีใครอยากจะมานอนแน่ๆ "ไข้ไม่มีนะคะ ความดันปกติ ยังไงประมาณสักเก้าโมงครึ่งถึงสิบโมงคุณหมอจะมาตรวจเช็คอาการอีกที หลังทานอาหารเช้าแล้วก็ทานยาตามที่หมอจัดให้เมื่อคืนได้เลยค่ะ อ้อ ประมาณแปดโมงจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาสอบถามเรื่องอุบัติเหตุเมื่อคืนนี้เพิ่มเติมนะคะ" "ครับ ขอบคุณครับ" "พี่พีทจะมานั่งทานกับพวกเราหรือจะทานบนเตียงคะ" พิชญากรเอ่ยถามพี่ชายหลังจากพยาบาลออกไปแล้ว "ไปนั่งด้วยกันแหละ พี่แค่เจ็บหัวค่ะ ขายังเดินได้" หึๆ "นี่ถ้าเป็นน้องอายถาม พี่ว่าพีทมันไม่ตอบแบบนี้หรอกเชื่อสิ มันคงตอบ พี่เจ็บแผลค่ะ ป้อนหน่อยได้มั้ยครับ" ฮ่า ๆ คิก ๆ น้ำเสียงพูดล้อเลียนแฝดคนพี่ที่กำลังลุกลงจากเตียง เรียกเสียงหัวเราะขำของสองพี่น้องและรอยยิ้มเอ็นดูของคุณแม่ แต่คนถูกล้อสิใบหน้าหล่อที่มีผ้าก๊อตพันหัวตอนนี้มีริ้วแดง ๆ แต้มให้เห็นแบบไม่ต้องสังเกตุเลย อาหารของโรงพยาบาลก็ถูกยกขึ้นมารวมกันบนโต๊ะ พอพิชญากรเปิดฝาครอบออก กลิ่นหอมของอาหารก็ลอยขึ้นแตะจมูก "หื้อ น่ากินนะเนี่ย ต้มจืดหมูมะระด้วย นั่นข้าวต้มอะไรพาย" "เหมือนจะเป็นปลานะคะพี่พีท ปลากระพงหรือเปล่า เขามีหอมซอยเตรียมมาให้ด้วยค่ะ โรงพยาบาลนี้บริการดีจังเน๊อะ" "ไหน พี่ขอชิมหน่อย" พัชรวิชญ์ลองตักชิมต้มจืดมะระก่อนจะพยักหน้าเหมือนว่ารสชาติผ่าน "ใช้ได้ อร่อยอยู่ ไหนขอลองข้าวต้มหน่อยครับ" ทุกคนนั่งยิ้มมองคนลงมือชิม ก่อนจะเผยยิ้มกว้างเมื่อพี่ชายยิ้มออกมา "อร่อยสมกับที่คุณพยาบาลเขาพูดเลยนะ แบบนี้คนไข้คงเจริญอาหารร่างกายแข็งแรงได้กลับบ้านกันเร็วๆ" "แล้วมันเกิดอุบัติเหตุได้ยังไงตาพีท แม่น่ะตกใจหมด นี่ถ้าตาแพทไม่บอกว่าแค่หัวแตก คงพากันแห่มาทั้งบ้าน" แพรวพิศเอ่ยถามลูกชายขณะที่พากันทานอาหารเช้ากันไปด้วย "มีรถกระบะวิ่งฝ่าไฟแดงมาครับ ก็ต้องรอฟังทางตำรวจว่าเขาสอบปากคำฝั่งนั้นมาว่าไงดีที่รถวิ่งไม่เร็วมาก ไม่งั้นผมก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงเหมือนกัน" "แล้วเขาได้รับบาดเจ็บเหมือนนายหรือเปล่า" "เห็นพยาบาลบอกแค่กล้ามเนื้อช้ำนะ คงแค่โดนสายเบลท์กระชากเหมือนกัน แต่รถฉันด้านหน้ายับไปพอสมควร" "ก็ถือว่ายังโชคดีอยู่เจ็บแค่นี้ ออกจากโรงพยาบาลไปหายดีแล้วต้องไปทำบุญกันหน่อยนะลูก" "ผมก็ว่างั้นแหละครับ สงสัยจะเบญจเพสรอบสองมั้ง" หึๆ คำพูดติดตลกของพี่ก็เรียกรอยยิ้มขำจากคนฟัง มันมีด้วยเหรอเบญจเพสสองรอบเนี่ย พอมื้ออาหารผ่านไปไม่นานเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายก็เข้ามาแจ้งข้อมูลและสอบถามฝั่งผู้ได้รับความเสียหายก็คือพีรวัฒน์ เมื่อตำรวจถามว่าจะเรียกร้องค่าเสียหายอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่าชายหนุ่มก็บอกไม่เป็นไร แต่ให้ลงโทษตามบทกฏหมายที่ทางนั้นทำผิดก็พอ จะได้ไม่เป็นเยี่ยงอย่างในการขับรถโดยประมาทแบบนี้อีก "คุณแม่ ถ้างั้นผมเข้าบริษัทก่อนนะครับ ถ้าหมอเขาให้ออกจากโรงพยาบาลก็ให้นายกลดมารับแล้วกัน" พัชรวิชญ์บอกกับมารดา "จ๊ะ ๆ ขับรถระวังด้วยลูก" "ครับ งานเย็นนี้ให้พี่ไปส่งหรือเปล่าพาย" "ไม่เป็นไรค่ะพี่แพท เดี๋ยวให้กระต๊อบมารับ ตอนเลิกพี่แพทค่อยไปรับพายทีเดียว" "โอเคค่ะ เดี๋ยวไปลางานกับน้องอายให้นะพีท ว่าแต่บอกน้องหรือยังเนี่ยว่าเข้าโรงพยาบาล" "ยัง ฝากนายบอกไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวคงโทรมาแหละ" อาย หรืออริณญา เป็นเลขาของพีรวัฒน์และทั้งสองคนก็เพิ่งเปลี่ยนสถานะเป็นแฟนกันไปเมื่อปีที่แล้วนี่เอง ใครจะไปคิดว่าสมภารจะอยากกินไก่วัดล่ะ แต่บังเอิญว่าไก่ตัวนี้เจ้าอาวาสดันแอบมองมาตั้งแต่น้องยังเรียนมหาลัยด้วยซ้ำ อริณญาเป็นลูกสาวเพื่อนรุ่นน้องของบิดานั่นเอง พอเรียนจบทางนั้นก็ให้มาช่วยงานที่บริษัทซึ่งเขามีหุ้นอยู่ในนี้ด้วย "อือ ๆ ถ้างั้นก็เจอกันที่บ้าน ไปล่ะ"
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม