EP.3 มรสุมชีวิต
บัดนี้ผู้หญิงที่กล้าเชิดหน้าท้าชนกับผู้ชายตัวโตไม่เหลือเค้า เมื่อใบหน้าของหญิงสาวหม่นเศร้า ดวงตาแดงก่ำร่ำร่ำจะร้องไห้เสียให้ได้ รวิชญ์มองหน้าหลานสาวแล้วถอนหายใจยืดยาว รู้สึกหนักใจหากจะต้องบอกความจริงให้เธอรับรู้
เขาสาวเท้าเดินไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ในสวนหย่อมหน้าโรงพยาบาลโดยมีนับดาวเดินตามไปเงียบๆ สายลมเย็นพัดโบกจนต้นไม้น้อยใหญ่ไหวลู่ ปลิดปลิวใบไม้สีอ่อนหลุดร่วงจากกิ่งก้าน บรรยากาศชวนผ่อนคลายทว่าทั้งสองกลับรับรู้ได้ถึงความเครียดขึงของอีกฝ่าย
“หนูต้องทำใจดีๆ เพราะเรื่องที่อาจะเล่ามันเป็นเรื่องใหญ่มาก”
สีหน้าลำบากใจของผู้เป็นอาทำให้นับดาวใจหาย ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ พร้อมที่จะรับฟังไม่ว่าเรื่องที่อารวิชญ์จะเล่ามันจะร้ายแรงสักเพียงใด
“ค่ะคุณอา”
“พ่อของหนูยักยอกเงินของบริษัทไปยี่สิบล้านบาท”
“อะไรนะคะ เป็นไปไม่ได้! คุณพ่อไม่เคยคดโกงใคร คุณพ่อทำงานด้วยความสุจริตมาตลอด”
นับดาวปฏิเสธเสียงแข็ง ถึงแม้บิดาของเธอจะไม่ได้ทำงานในตำแหน่งใหญ่โตมีหน้ามีตาในสังคม แต่ท่านเป็นคนมีความสามารถ ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทางการเงินให้กับบริษัทมาหลายสิบปี หากท่านจะโกงท่านคงไม่ประวิงเวลาจนเกือบจะเกษียณอย่างแน่นอน
“อาก็หวังอย่างนั้น แต่ตอนนี้ไม่มีใครพบไผท เขาไปอยู่ที่ไหนไม่มีใครรู้ อาเองก็จนปัญญา คุณนนท์ท่านโกรธมาก ทุกวันนี้อาแทบเข้าหน้าไม่ติด”
รวิชญ์เป็นเพื่อนสนิทของไผท ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคล เขาเองก็ตกใจไม่น้อยเมื่อได้ยินจากเจ้านายว่าเพื่อนสนิทของเขายักยอกเงินกว่ายี่สิบล้านแล้วหลบหนีไปอย่างไร้ร่องรอย จะว่าไปแล้วหากฝ่ายตรวจสอบไม่ฉุกใจสงสัย ไล่ตรวจดูบัญชีย้อนหลัง ก็อาจไม่มีใครรู้ว่าภายในสองปีที่ผ่านมาเงินของบริษัทได้ถูกยักย้ายไปกว่ายี่สิบล้านบาท
“คุณชญานนท์”
หญิงสาวทอดเสียงต่ำเมื่อเอ่ยชื่อเจ้านายของบิดา นึกเกลียดขี้หน้าเขาอย่างบอกไม่ถูก แววตาคมกร้าวยามทอดมองเธอนั้นทำให้นับดาวรู้สึกประหลาดราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นปราดไปทั่วเรือนร่าง หัวใจของเธอสั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งเธอไม่ชอบอาการเหล่านี้เลย
“อารวิชญ์บอกความจริงดาวได้มั้ยคะ คุณพ่อทำงานการเงินที่บริษัทอะไรกันแน่คะ ทำไมเจ้านายของคุณพ่อถึงได้มีท่าทางเหมือนพวกมาเฟีย มีลูกน้องชุดดำแถมยังพกปืนอีกต่างหาก”
“หนูพบกับคุณนนท์แล้วหรือ”
ชายวัยกลางคนเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ นับดาวพยักหน้า
“ค่ะ นายชญานนท์มาข่มขู่คุณแม่ถึงที่โรงพยาบาล เขาดูน่ากลัวมาก ตกลงคุณอาจะบอกดาวได้หรือยังคะว่าบริษัทที่คุณพ่อกับคุณอาทำงานมันเป็นบริษัทอะไรกันแน่”
หญิงสาวเอ่ยถามซ้ำอีกครั้ง แววตามุ่งมั่นมองเพื่อนสนิทของบิดาอย่างจับผิด เมื่อเห็นท่าทางลำบากใจของอีกฝ่าย เธอก็ค่อนข้างแน่ใจว่านายชญานนท์ต้องประกอบธุรกิจผิดกฎหมายอย่างแน่นอน ถ้าเช่นนั้นที่บิดาถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินยี่สิบล้านก็อาจจะเป็นกลลวงของนายชญานนท์ ที่จงใจใส่ไคล้ผู้บริสุทธิ์เพื่อผลประโยชน์ด้านมืดของตนเอง เหมือนในละครหลังข่าวที่เธอกับมารดามักนั่งดูด้วยกันทุกเย็น
“คุณพ่อของหนูเป็นผู้จัดการฝ่ายการเงินดูแลเรื่องเงินเข้าออกของบริษัททั้งหมด ส่วนอาเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลจริงๆ แต่ธุรกิจของคุณนนท์ เอ่อ...”
รวิชญ์มีสีหน้ายุ่งยากใจ แม้เขากับเพื่อนจะทำงานกับชญานนท์มาตั้งแต่รุ่นพ่อจนมาถึงรุ่นลูก แต่เพราะพวกเขามีลูกสาว จึงได้แต่บอกกับพวกเธอว่าทำงานอยู่บริษัททั่วๆ ไปย่านสีลม แต่มาถึงขั้นนี้แล้วความจริงอย่างไรเสียก็เป็นความจริง ต่อให้เขาไม่บอกเธอในวันนี้ นับดาวก็ต้องไปสืบเสาะจนรู้ความจริงอยู่ดี
“คุณนนท์ทำธุรกิจเกี่ยวกับผับ และธุรกิจร้านอาหารคาราโอเกะ ทั้งยังร่วมหุ้นทำกาสิโนกับเพื่อนชาวต่างชาติอีกหลายแห่งในไทย”
“ไม่ได้ต่างไปจากที่คิดไว้เท่าไหร่เลย ความเลวครบวงจร นี่ถ้าหากมีการค้ากามคงสมบูรณ์แบบมากกว่านี้”
หญิงสาวเอ่ยประชด เม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างนึกรังเกียจชญานนท์
“ธุรกิจพวกนี้มีเงินเข้าออกแต่ละวันหลายล้านบาท อาคิดว่านี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พ่อของหนู เอ่อ...ยักยอกเงินแล้ว...”
“คุณอาคะ ยังไงดาวก็ไม่มีวันเชื่อว่าคุณพ่อจะยักยอกเอาเงินไป ทุกวันนี้แม้ว่าครอบครัวของเราจะไม่ร่ำรวยแต่เราก็มีความสุข เราไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้เงินมากมายขนาดนั้น เงินตั้งยี่สิบล้านยักยอกเอาไปแต่ก็ไม่ได้ใช้ ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ดาวคิดว่าคุณพ่อไม่มีทางทำแบบนั้นแน่ ยังไงดาวก็ไม่เชื่อ”
หญิงสาววิ่งกลับเข้าไปในโรงพยาบาล หัวสมองหนักอึ้ง บิดาทำงานเป็นผู้จัดการการเงินก็จริง แต่ท่านดูแลเงินจัดการเงินที่เต็มไปด้วยกิเลสและอบายมุข นี่หรือเปล่าที่ท่านไม่เคยพาเธอไปที่ทำงานเลยสักครั้ง บิดาโกหกเธอว่าทำงานแถวสีลมเกี่ยวกับธุรกิจนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่น ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย
“ดาวเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือเธอร้องไห้ทำไม”
ชายหนุ่มรูปร่างสูงคว้าแขนของหญิงสาวเอาไว้
“วิน”
เธอเรียกชื่อเขาเพียงเท่านั้นก่อนจะโผเข้ากอดเขาเต็มแรง ร่ำไห้กับอกกว้าง เธอรู้สึกสับสนและเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้หัวใจจะพยายามบอกตนเองว่าบิดาไม่มีทางทำเรื่องเช่นที่ถูกกล่าวหา แต่ความจริงที่ว่าบิดาปิดโทรศัพท์หนีหายโดยไม่ยอมติดต่อกลับมา กลับทำให้หญิงสาวอดที่จะหวาดหวั่นไม่ได้
“ใจเย็นๆ นะดาว น้าเดือนอาการไม่ดีขึ้นเลยหรือ”
ชายหนุ่มจับไหล่บางเอาไว้ ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยน้ำตาที่แก้มเบาๆ
เสียงฝีเท้าหนักๆ เดินมาหยุดอยู่หน้าคนทั้งสอง ธาวินมองเหล่าชายชุดดำด้วยความตกใจ
“หลีกทาง ฉันจะเข้าไปพบแม่ของเธอ”
ชายที่ยืนอยู่ตรงกลางใส่ชุดสูทสีดำไม่ต่างไปจากคนอื่นๆ แต่มีรังสีบางอย่างจากตัวเขาที่ทำให้คนพบเห็น แค่มองก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่าง รังสีบางอย่างสั่งให้ธาวินกระชับมือบางของนับดาวเอาไว้
“ฉันไม่ให้คุณเข้าไป กลับไปซะที่นี่ไม่ต้อนรับคุณ”
หญิงสาวกางแขนออกยืนขวางหน้าประตูเอาไว้ แววตามุ่งมั่นมองชายหนุ่มอย่างเอาเรื่อง เธอยอมสู้จนตัวตายดีกว่าให้เขาเข้าไปหามารดาของเธอ ไปทำให้ท่านทุกข์ใจอย่างแสนสาหัสยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ ทว่าชญานนท์กลับสาวเท้าเข้าหาหญิงสาว เธอถอยร่นจนแผ่นหลังชิดประตู จังหวะนั้นเขาโน้มหน้าลงมาใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนเป่ารด