อรุณย่ำรุ่ง
"หนูรสาอยู่ไหนจ๊ะ?" คุณลักษมีถามหาสะใภ้คนโปรดเมื่อนางเดินลงมายังห้องโถงกลางบ้านแต่ทว่าไร้วี่แววของหญิงสาว
"คุณรสากำลังทำอาหารอยู่ในครัวเจ้า" 'คำนาง'สาวใช้วัยกระเตาะเอ่ยขึ้นระหว่างจัดเตรียมโต๊ะอาหาร
"หนูรสาเขาอาสาเข้าไปทำอาหารเช้าเองหรือจ๊ะ"
"ใช่เจ้า คุณรสาบอกว่าอยากทำอาหารให้ทุกคนทานเจ้า" นางระบายยิ้มละมุนแล้วจึงเดินตรงเข้าไปในห้องครัว จึงเห็นว่าลูกสะใภ้ผู้อ่อนโยนแลดูมีความสุขกับการทำอาหาร
"หนูรสาไม่เห็นต้องทำอาหารเองเลย ที่นี่มีแม่บ้านแม่ครัวตั้งหลายคน" แม้จะเอ่ยเช่นนั้นแต่ทว่าแววตาของนางกลับเปล่งประกายความภาคภูมิใจออกมาอย่างเต็มเปี่ยม
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณแม่ ถึงหนูไม่ทำอาหารหนูก็คงหาอย่างอื่นทำอยู่ดี เพราะฉะนั้นให้หนูทำอาหารเถอะนะคะ" หญิงสาวเอ่ยขึ้นกับมารดาของสามีตีทะเบียน
"แล้ว...พ่อเลี้ยงสิงห์ล่ะจ๊ะ เมื่อคืนเป็นยังไงกันบ้าง" นางเอ่ยถามด้วยแววตาคาดหวังคำตอบ รอยยิ้มละมุนบนใบหน้าหวานเลือนลางลง หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจพูดความจริงออกไป
"เมื่อคืนคุณสิงห์ออกไปดื่มค่ะ"
"หนูรสาว่าอะไรนะ ออกไปดื่มในคืนเข้าหอเนี่ยนะ แม่อุตส่าห์กำชับแล้วกำชับอีกว่าคืนเข้าหอห้ามออกไปไหนเด็ดขาด" นางเอ่ยขึ้นด้วยแววตาและน้ำเสียงขุ่นเคือง
"เขากลับมาตอนตีหนึ่งค่ะ แต่ว่าเมาแล้วก็ยังมีรอยลิปสติกติดอยู่ที่คอแล้วก็เสื้อของเขาด้วยค่ะ" แม้รสาจะเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนแต่ทว่าเธอกลับมีหัวใจที่เด็ดเดี่ยว สิ่งใดที่เห็นว่าไม่ถูกก็จำเป็นต้องพูดออกไป
"ตายแล้ว! แม่จะเป็นลม พ่อเลี้ยงสิงห์ไม่คิดจะไว้หน้าใครเลยอย่างนั้นหรอ เห็นทีว่าแม่จะต้องจัดการถึงขั้นเด็ดขาดแล้วล่ะ"
"คุยอะไรกันอยู่หรือคะคุณแม่ รสา" 'รสริน'น้องสาวของพ่อเลี้ยงสิงห์เอ่ยถามขึ้นด้วยรอยยิ้มสดใส
"ยายรส หนูรสาเขาเป็นพี่สะใภ้ของเรานะ จะเรียกรสาเฉยๆได้ยังไงกัน" นางเอ็ดบุตรสาวคนเล็กเสียงเบา
"แต่หนูอายุมากกว่ารสาตั้งสี่ปีนะคะคุณแม่ จะให้เรียกพี่รสาก็คงดูแปลกๆ"
"จริงของพี่รสนะคะ รสาขอเรียกพี่รสได้ไหมคะคุณแม่"
"ได้สิจ๊ะ เอาที่หนูรู้สึกสบายใจ แม่อยากให้หนูรู้สึกอบอุ่นเหมือนบ้านของหนูเอง อยากให้หนูรู้สึกว่าทุกคนที่นี่คือครอบครัวเดียวกัน" คุณลักษมีส่งยิ้มอบอุ่นให้รสาอีกครั้ง จากนั้นนางจึงเดินออกจากห้องครัวไป
"ตาสิงห์!" พ่อเลี้ยงสิงห์กำลังหาวหวอดเดินลงมาจากชั้นสอง
"ขอกาแฟหน่อยสิครับแม่" เขาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตรงโต๊ะอาหารด้วยท่าทางที่ยังไม่เต็มตื่นดีนัก
"แม่เรียกไม่ได้ยินหรือยังไง เมื่อคืนแกทำแบบนั้นได้ยังไง แม่บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าคืนเข้าหอห้ามออกไปไหนเด็ดขาด" นางต่อว่าให้บุตรชายราวกับเขาเป็นเด็กน้อยวัยห้าขวบ
"อย่าบอกนะครับว่าลูกสะใภ้คนโปรดของคุณแม่เอาเรื่องนี้มาฟ้อง"
"หนูรสาเขาไม่ได้ฟ้อง แต่เขารู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดเขาถึงได้บอกความจริงกับแม่"
"นั่นแหละครับฟ้อง เขาแค่เรียกร้องความสนใจครับคุณแม่ แต่งมาก็แพงไม่รู้เอามาทำประโยชน์อะไร" สิงห์หงุดหงิดใจเมื่อพูดถึงภรรยากำมะลอซ้ำยังตีทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายอีกต่างหาก
"พ่อเลี้ยงสิงห์อายุสามสิบปีแล้วนะ ลูกต้องรู้จักให้เกียรติหนูรสาในฐานะภรรยา ช่วยทำอะไรให้มันสมเกียรติพ่อเลี้ยงสิงห์แห่งไร่หน่อยได้ไหม" น้ำเสียงของผู้เป็นมารดาฟังดูตัดพ้ออ้อนวอนผู้เป็นบุตรชาย
"ผมไม่รับปากว่าผมจะทำอย่างที่คุณแม่ขอได้หรือเปล่า เพราะผมก็บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าผมยอมแต่งเพราะหนี้สินของเขา ไม่ได้แปลว่าผมจะเลิกกับนารา"
"พ่อเลี้ยง! แกอย่าทำให้แม่ต้องอับอายผู้คนโดยการกลับไปคบกับนาราอีก แกอยากถูกชาวบ้านตราหน้าว่าคบชู้หรือยังไง"
"ผู้หญิงคนนั้นต่างหากที่มาแทรกกลางระหว่างผมกับนารา"
"สิงห์! หนูรสามีทะเบียนสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมาย แม่สั่งให้แกเลิกคบกับนาราเด็ดขาด" คุณลักษมีโกรธควันออกหูเสียจนต้องเดินหนีออกไปหน้าบ้านเพื่อควบคุมสติอารมณ์
"อาหารเสร็จหรือยังครับ หิวจะแย่" สิงห์ตะโกนถามไปยังห้องครัว ระหว่างนั้นรสาและรสรินเดินออกมาจากห้องครัวพอดิบพอดี รวมถึงแม่บ้านหลายคนที่ยกอาหารเรียงรายออกมาจัดบนโต๊ะ
"รสานั่งข้างพี่สิงห์นะ"
"อะไรของเรายัยรส" พ่อเลี้ยงหนุ่มเอ่ยถามขึ้นระหว่างที่น้องสาวขันอาสาเลื่อนเก้าอี้ออกให้พี่สะใภ้นั่งลงข้างตน
"รสาก็ต้องนั่งข้างสามีสิคะ แล้วคุณแม่ล่ะคะ" รสรินเอ่ยถามในขณะที่เดินอ้อมกลับมานั่งประจำที่ของตนเอง
"คำนางออกไปตามคุณแม่มาทานข้าวด้วย" สิงห์ออกคำสั่งเสียงเรียบ จากนั้นเขาจึงเริ่มลงมือรับประทานอาหาร
หลังจากพ่อเลี้ยงหนุ่มตักอาหารเข้าปากคำแรกจึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่รสชาติอาหารที่เขาเคยทานเป็นประจำ ชายหนุ่มมองรสาและรสรินสลับกันก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
"ใครทำอาหาร?"
"เอ่อ...ฉันเองค่ะ" รสาตอบเสียงเบา เธอหันมามองหน้าสามีหนุ่มด้วยความรู้สึกแปลกใจ สิงห์จึงวางช้อนกับส้อมลงกระแทกจานเสียงดัง
"ทำไมหรือคะพี่สิงห์?" รสรินเอ่ยถามพี่ชายเสียงดุ
"ถามออกมาได้ ก็กินไม่ลงไงล่ะ" ร่างสูงหยัดกายลุกขึ้นจากเก้าอี้ เป็นจังหวะที่คุณลักษมีเดินกลับมาถึงโต๊ะอาหารพอดี
"พ่อเลี้ยงจะไปไหน?"
"จะออกไปที่ไร่แล้วครับคุณแม่" เขาพูดเสียงขุ่นแล้วจึงเดินกลับขึ้นไปบนห้องนอนทันที
"พอพี่สิงห์รู้ว่าเป็นอาหารฝีมือรสาก็ไม่ยอมทานเลยค่ะ อย่างนี้ต้องให้รสาทำอาหารเช้ากลางวันเย็นเลยนะคะ พี่สิงห์จะได้ไม่ต้องกินข้าว" หญิงสาวหมั่นไส้พี่ชายท่ามากของตน
"ตาสิงห์นะตาสิงห์ สงสัยแม่คงจะต้องใส่ยาแรงขึ้นไปอีกซะแล้ว" คุณลักษมีพูดพลางทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ประจำที่ของตน
"ไม่เป็นไรนะคะรสา เขาไม่อยากกินมันก็ทรมานตัวเขาเองนั่นแหละ"
"หนูรสาอย่าถือสาพ่อเลี้ยงเขาเลยนะลูก เดี๋ยวแม่จัดการให้เอง" คุณลักษมีบอกลูกสะใภ้คนโปรดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"รสาเข้าใจค่ะ แต่คุณแม่ไม่ต้องไปว่าอะไรคุณสิงห์หรอกนะคะ เดี๋ยวหนูจะพยายามทำให้เขาอ่อนโยนลงบ้าง" หญิงสาวบอกแม่สามีด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่ในขณะเดียวกันน้ำเสียงนั้นกลับเต็มไปด้วยความหนักแน่นที่นางสัมผัสได้ จากนั้นทั้งสามคนจึงลงมือรับประทานอาหารเช้าร่วมกัน