ลมแดดหอบความร้อนระอุมาต้องกายคน ใครหยิบอะไรได้ก็นำขึ้นมาพัดโบกหวังให้คลายความร้อน ทว่าความร้อนนี้คงจะยากที่จะดับเพราะสตรีนางหนึ่งถูกทำให้หัวใจบีบเกร็งเพราะสีหน้าไม่พอใจเมื่อมองถ้วยยาตรงหน้า
“ว่าไง?” น้ำลายก้อนใหญ่ถูกกลืนด้วยเจ้าของเมื่อถูกคำถามที่ง่ายๆ แต่ยากที่จะตอบ
“ในเมื่อรู้ว่าอากาศร้อนถึงเพียงนี้ ยาร้อนๆ ยังส่งมาให้ข้าดื่มอยู่ได้” เจ้าของคำถามถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ข้าหายแล้วและอากาศเช่นนี้ข้าอยากกินแตงโม” นางยกนิ้วขึ้นมาเพื่อสำรวจปลายเล็บและลอบดูท่าทีของบ่าวที่ยังคงไม่รับปากตนเสียที นางตวัดหางตามองทำให้จิวลู่ที่เพิ่งเป็นบ่าวเพียงไม่กี่เดือนจนนางสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ รีบก้มหน้าก้มตามองพื้นแต่ไม่ยอมทำตามคำสั่ง
เถียนซูหลินที่เมื่อเดือนก่อนจมน้ำแอบก้มหน้าอมยิ้มกับอากัปกิริยาของบ่าวตรงหน้า
“จิวลู่ เจ้าวางยาไว้ตรงนี้แล้วก็ออกไปเสีย ข้าจะพักผ่อนแล้ว” สาวใช้นามจิวลู่รีบวางยาแล้วสาวเท้าออกไปทันที เพราะนางกลัวโทสะของผู้เป็นนายสาวคนนี้ยิ่ง การถูกอีกฝ่ายสั่งให้ออกไปถือว่าเป็นคำบัญชาจากสรวงสวรรค์ชั้นฟ้าที่ช่วยชีวิตนาง
เมื่อพ้นร่างของสาวใช้ เถียนซูหลินพยายามเค้นสมองว่าตนเองเป็นใครกันแน่ เพราะยามหลับนางมักฝันว่านางเป็นคนโน้นคนนี้ แต่ทุกครั้งชีวิตมักจบลงก่อนวัยอันควร แต่นั่นยังไม่น่ากลัวเท่ากับความร้อนของเปลวเพลิงที่รายล้อมทุกสรรพสิ่งที่นางมองเห็นในความมืด
“ข้าฝันหรือ แต่ทำไมช่างเหมือนจริงเหลือเกิน” มือน้อยค่อยๆ ยกขึ้นมาเท้าคาง จู่ๆ นางก็นึกบางอย่างได้ เมื่อเห็นสาวใช้หอบผ้าเดินเข้ามา “อาม่าน” สาวใช้อีกนางที่เดินเข้ามาในเรือนพอดีสะดุ้งตกใจเมื่อถูกผู้เป็นนายสาวขานเรียกชื่อของตนเองออกมา
“จะ...เจ้าคะคุณหนู”
“ระหว่างที่ข้านอนป่วยอยู่ โหย่งเฉียนเข้ามาเยี่ยมข้าบ้างไหม?” อาม่านคิดไม่ตกว่านางจะส่ายหน้าหรือพยักหน้าดี นางยังไม่ทันตอบก็ตกใจอีกครั้งเพราะเสียงฝ่ามือตบเข้าที่โต๊ะดัง ‘ปัง!’ พร้อมเสียงเชิงตัดพ้อเอ่ยออกมาและตามมาด้วยการตำหนิตัวเอง
“เขาไม่มาล่ะสิ ข้าพูดไปได้อย่างไรกันว่าจะไม่ให้เขารับผิดชอบ” นางพึมพำกับตัวเองจนทำให้อาม่านรู้สึกสับสนว่าสตรีตรงหน้ากำลังสนทนากับตนเองหรือไม่
“อาม่าน” เถียนซูหลินหันไปสบตานางโดยตรง ความรู้สึกหนึ่งเข้ามากระทบในใจอย่างไม่รู้ตัว แม้ใบหน้าจะไม่ใช่แต่นางกลับรู้สึกว่าสาวใช้คนนี้เป็นคนที่อยู่ในความฝันและมีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดีกว่าตน นางหรี่ตามองอาม่านอีกครั้งและเอ่ยปากถาม
“อาม่าน เจ้าคิดว่าข้าลงทุนเอาชีวิตไปเสี่ยงมากเกินไปหรือไม่ ข้าว่ายน้ำเป็นแต่ถ้าไม่เพราะ...”
“สุนัขจิ้งจอกยอมเผยหางออกมาแล้วสินะ” เสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามาและไม่นานก็มาปรากฎกายอย่างถือวิสาสะ ดวงตารังเกียจมองเถียนซูหลินที่อยู่บนเตียงจนอีกฝ่ายเชิดหน้าจ้องตอบ
“อะไรของเจ้าชิวยี่”
“หึ! ข้าคิดอยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องใช้แผนจับพี่สามและเป็นอย่างที่ข้าคิดไว้ไม่มีผิด ข้าไม่รู้ว่าสวรรค์เมตตาเจ้าหรือนรกไม่รับวิญญาณกันแน่ ที่ทำให้เจ้าแค่เกือบตาย” คำกล่าวนี้ทำให้เถียนซูหลินตระหนกตกใจจนหน้าซีด คำว่า ‘นรก’ ทำไมถึงทำให้นางกลัวได้สุดขั้วหัวใจจริงๆ ทั้งที่ชีวิตนี้นางไม่เคยมีคำว่ากลัวมากเท่านี้มาก่อน
“นี่! เจ้าเป็นอะไร อย่ามาทำให้ข้าตกใจนะ” เจิ้งชิวยี่ตวาดเสียงดังระคนตกใจเจืออยู่ไม่น้อย เพราะเห็นสีหน้าอีกฝ่ายดูหวาดกลัวกับคำพูดของตนจนปิดไม่มิด เถียนซูหลินถูกทำให้หลุดจากภวังค์ความคิดเมื่อครู่ หันหน้ามามองอีกฝ่ายนิ่งจนเจิ้งชิวยี่ขนลุกชัน
“เจ้า...เจ้ามองข้าทำไม”
“ใช่! ข้ามองหน้าเจ้าทำไม อ๋อ...ข้าจะถามว่าเจ้ามีอะไรถึงได้มาถึงเรือนนี้ได้”
เจิ้งชิวยี่สะอึกกับคำถามนาง ยังนึกว่านางคงแสร้งถามคำถามที่ไม่ได้ความกับตน “จวนนี้เป็นของสกุลเจิ้ง แล้วทำไมข้าจะมาที่เรือนนี้ไม่ได้ ข้านี่โชคดีจริงมาทันที่จะได้ยินประโยคนั้นของเจ้าเข้าพอดี เสียใจด้วยที่แผนไม่สำเร็จ”
“ไม่เป็นไรว่าแต่เจ้าก็ไม่โง่นี่ที่รู้ทันข้า ไม่แน่ว่าแผนต่อไปข้าอาจจะไม่ได้พุ่งเป้าไปที่พี่ชายของเจ้าก็ได้ แต่อาจจะเป็นเจ้า!”
“เถียนซูหลิน!” เจิ้งชิวยี่ไม่พอใจ ตรงเข้าไปหมายจะประทุษร้ายอีกฝ่าย ฝ่ามือที่ง้างขึ้นกำลังจะฟาดลงที่ใบหน้าที่ซีดเซียวแต่กลับถูกเสียงหนึ่งตะโกนสั่งห้ามเสียก่อน
“หยุด!” เจิ้งชิวยี่หันมองตามเสียงเห็นผู้เป็นมารดาเดินตรงมาพร้อมพี่สะใภ้ใหญ่ “ท่านแม่ พี่สะใภ้” มือที่ง้างเมื่อครู่ได้ลงมาแนบที่ลำตัว “นางเพิ่งจะฟื้นไข้ ยังกล้าก่อเรื่องอีกหรือ” จูลี่ถิงเอ่ยเสียงแข็งอย่างไม่พอใจนักที่จู่ๆ บุตรสาวกล้ามาก่อเรื่องกับคนที่เพิ่งจะหายป่วย
“แต่ท่านแม่เป็นนางที่หาเรื่องข้าก่อน”
“แต่เจ้าเข้ามายังเรือนนาง”
“ท่านแม่!” จูลี่ถิงไม่ฟังคำของบุตรสาว เพียงหันหน้าไปมองถ้วยยาที่วางอยู่ก่อนที่จะตวัดสายตามาเผชิญหน้ากับเถียนซูหลิน
“เหตุใดเจ้าไม่ดื่มยา”
“คือ...ข้าหายแล้ว” นางมองสายตาของอีกฝ่ายที่ส่งมาว่าไม่เชื่อนางรีบเปลี่ยนคำพูดทันที “มันขมเจ้าค่ะ”
“ยาย่อมขมเป็นธรรมดา เจ้าก็อย่าก่อเรื่อง หากเกิดเรื่องใดกับเจ้าจะให้ข้าอธิบายกับบิดาเจ้าอย่างไร”
“เจ้าค่ะ” นางหลุบตาต่ำเอ่ยตอบ
“เช่นนั้นก็ดื่มเสีย ข้ามีงานที่ต้องทำอีกมาก” จูลี่ถิงเตรียมหันหลังกลับพร้อมสะใภ้ใหญ่ แต่ก็หยุดฝีเท้าแล้วผินใบหน้าหันมามองอีกฝ่ายก่อนที่จะเอ่ยประโยคหนึ่งด้วยน้ำเสียงเรียบทว่าแฝงคำสั่ง “เจ้าไม่ต้องรอโหย่งเฉียนหรอก เขามีงานที่กองทัพต้องทำ”
“เจ้าค่ะ” เถียนซูหลินย่อกายส่ง แต่ก็ทันเห็นสีหน้าของเจิ้งชิวยี่ที่ดูจะพึงพอใจกับคำพูดของมารดาตนยิ่ง