ตอนที่ 2

1306 คำ
อึดอัด ทรมาน ข้าหายใจไม่ออก มือน้อยกวัดแกร่งสะเปะสะปะ ตะเกียกตะกายพร้อมกับปลายเท้าพยายามถีบเพื่อหาหนทางดึงตัวเองเข้าหาอากาศ เปลือกตาลืมโพลงขึ้น น้ำ! นี่ข้าจมน้ำหรือเนี่ย สตรีนางนั้นก้มลงมองเบื้องล่าง เห็นขาที่ได้รูปถูกวัชพืชใต้น้ำพันที่ปลายเท้า ทำให้นางไม่สามารถแหวกว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำได้ นางพยายามกัดฟันม้วนตัวไปดึงวัชพืชออกจากปลายเท้า และก็ทันกับที่มีคนลงมาช่วย เขาชักมีดสั้นออกมาและเฉือนเข้าที่ลำต้นบริเวณหนึ่งเพื่อให้พ้นพันธนาการ ต่อจากนั้นจึงช้อนร่างขึ้นสู่ผิวน้ำ “เจอแล้ว นั่นๆ” เสียงหลงร้องด้วยความดีใจระคนตื่นกลัว เมื่อเห็นร่างบางขึ้นจากผิวน้ำได้และดันร่างวางลงพื้นหญ้า แต่ยังไม่มีใครกล้ายืนยันได้ว่าจะไม่เกิดอันตราย “คุณหนู!” เสียงร้องเรียกหวังให้ผู้เป็นนายลืมตาด้วยเจ้าของเสียงก็เกรงกลัวกับความผิดที่ตนเองมิได้ก่อ ไม่นานก็มีเสียงไอพร้อมกับการสำลักน้ำออกมา “คุณหนู คุณหนูฟื้นแล้ว” ภายใต้สายตามองของคนที่ยืนดูเหตุการณ์ต่างจ้องมองร่างที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำ ดวงตาค่อยๆ เปิดมองสรรพสิ่งรอบกายด้วยความมึนงง จู่ๆ ดวงตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมา ลำตอตีบตันหาได้เพราะเกิดจากความเสียใจแต่เป็นความอิ่มเอมที่ยากจะหาคำใดจะอธิบาย ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใดหรืออาจเป็นเพราะนางรอดจากการจมน้ำ หางตาค่อยหลั่งน้ำตาออกมา สร้างความตะลึงให้กับสาวใช้และคนที่ยืนดูเหตุการณ์ เพราะเท่าที่ผ่านมานายสาวแทบจะไม่เคยหลั่งน้ำตาให้เห็น “ยังไม่พานายเจ้ากลับเรือน” เสียงทรงอำนาจตวาดลั่นของ จูลี่ถิง—ฮูหยินสกุลเจิ้ง จนทำให้บ่าวสะดุ้งตกใจโหย่ง รีบตะลีตะลานพากันประคองนายที่อ่อนแรงลุกจากพื้นเพื่อพากลับเรือน “ไม่ใช่ว่าคิดวางแผนจับพี่สาม เรียกร้องความสนใจเหมือนอย่างเคย” เสียงหนึ่งดังขึ้นหวังให้หญิงที่เพิ่งพ้นประตูนรกมาหมาดๆ ได้ยิน เจิ้งชิวยี่ดรุณีน้อยบุตรสาวคนเล็กของตระกูลเจิ้งเปิดปากเหน็บแนมคนที่เพิ่งถูกช่วยขึ้นมา “นี่! เจ้าจะพูดจะจาอะไร ระวังปากบ้างนะ” คำตำหนิแต่พื้นเสียงกลับไม่จริงจังดังคำเอ่ยขึ้นมา ทำให้สาวน้อยเอ่ยวาจาอย่างไม่ยี่หร่ะใดๆ ออกมาอีกครั้ง “ก็มันจริงนี่ท่านแม่ ไม่รู้เมื่อไหร่ท่านลุงเถียนจะกลับมาเสียที จะได้ไปพ้นๆ จวนเรา อยู่จวนตัวเองไม่ได้หรืออย่างไร ต้องมาเป็นกาฝาก สร้างความเดือดร้อนให้กับจวนเราไม่หยุดหย่อน” “ชิวยี่!” น้ำเสียงตักเตือนอีกครั้งทว่าครั้งนี้กลับไม่เหมือนครั้งเมื่อครู่ทำให้บุตรสาวนามเจิ้งชิวยี่หยุดวาจา แต่นั้นยิ่งกลับเหมือนจะทำให้นางยิ่งรู้สึกไม่พอใจ “ท่านแม่!” เสียงต่อล้อต่อเถียงทำให้เถียนซูหลินที่เดินฝ่าบ่าวไพร่และผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ระทึกเมื่อครู่ต้องหยุดฝีเท้าและหันกลับมาเผชิญหน้า เจิ้งชิวยี่เบ้ปากอย่างไม่สบอารมณ์ นางคาดการณ์ว่าสตรีร้ายกาจที่ยืนแสร้งไร้เรี่ยวแรงจะต้องหันมาเปิดคารม พูดจาโป้ปดมดเท็จโยนความผิดเข้าตัวเองว่าประมาทเลินเล่อและหาข้ออ้างให้พี่สามนามเจิ้งโหย่งเฉียนได้แตะเนื้อต้องตัวยามลงไปช่วยเหลือนางตอนจมน้ำ และจะบีบบังคับให้แต่งงาน ทั้งที่ฝ่ายชายหาได้มีใจให้ คนที่เขาชอบแท้ที่จริงคือสตรีงดงามทั้งรูปลักษณ์ภายนอก ทั้งมารยาทงาม ศาสตร์ของสตรีที่ไม่เป็นลองใครซึ่งนางยืนอยู่ข้างๆ พี่สามนั่นต่างหากเล่า ไม่ใช่สตรีที่รูปสวยแต่แก่นแท้ด้านในชอนไชไปด้วยหนอน “ข้าต้องขอโทษทุกคนที่สร้างความเดือดร้อน ความผิดนี้เป็นข้าเองที่ก่อขึ้น” นางทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า โค้งศีรษะเป็นการยอมรับผิด แม้บ่าวทั้งสองที่ช่วยประคองยังไม่รู้ถึงแผนที่คิดได้รวดเร็วของผู้เป็นนาย ทำเพียงหันไปมองหน้ากันไปมาด้วยสีหน้าเลิกลั่ก “ขอบคุณคุณชายสามที่ยอมเสี่ยงชีวิตเข้าช่วย ข้าไม่มีสิ่งใดตอบแทนพระคุณครั้งนี้และไม่คิดเรียกร้องให้ท่านต้องรับผิดชอบต่อสิ่งใด ทุกคนวางใจได้” หัวคิ้วขมวดมุ่นของจูลี่ถิง ฮูหยินใหญ่ตระกูลเจิ้ง รวมทั้งบุตรสาวและบุตรชายที่ยืนตัวเปียกปอนข้างๆ คุณหนูหลิว นามถานซวงบุตรสาวใต้เท้าหลิว นามว่าหลิวเปี้ยน ผู้ตรวจการของเมืองหลวง “เอ่อ...อย่ามัวมากล่าวขอโทษขอโพยกันเลย ไปๆ พวกเจ้าก็ไปเปลี่ยนชุดที่เรือน ประเดี๋ยวจะป่วยไข้กัน” จูลี่ถิงเห็นบ่าวใช้ของเถียนซูหลินยังไม่ประคองนาย ก็ดุขึ้นอีกคราจนพวกนางรีบประคองนายพากลับเรือน “ท่านแม่...นางกินน้ำในสระบัวมากเกินไปจนสติเลอะเลือนหรือเปล่าเจ้าคะ เพราะแต่ไหนแต่ไรมามีหรือที่นางจะยอมคุกเข่าให้กับใคร เอ๊ะ! หรือว่าผีจะเข้าสิงนาง .ใช่...ต้องเป็นอย่างหลังแน่ๆ” จูลี่ถิงฟังคำของบุตรสาวก็เม้มปาก ไตร่ตรองคำพูดของนาง สักพักก็ตีเข้าที่หัวไหล่ “ท่านแม่ข้าเจ็บนะ ท่านมาตีข้าทำไม” “เจ้านะ พูดจาอะไรไม่คิด นางเกือบเอาชีวิตไม่รอด เรื่องผีสางอะไรกันพูดจาไร้สาระ ไปดูแลคุณหนูหลิวแม่จะไปดูนางเสียหน่อย” “เจ้าค่ะ” นางตกปากรับคำ เพราะสตรีมากความสามารถอย่างหลิวถานซวง นางย่อมอยากผูกมิตรเป็นสหายอยู่แล้ว “คุณหนูหลิว ขอโทษแทนเถียนซูหลินด้วยที่ทำให้ท่านต้องตกใจ” หลิวถานซวงได้ฟังก็ส่ายหน้าพลางเอ่ยตอบปฏิเสธกับเรื่องราวระทึกขวัญเมื่อครู่ “ไม่เป็นไรหรอก นางอาจจะเข้าใจผิดเรื่องระหว่างข้ากับท่านแม่ทัพเจิ้ง” แม้นางจะตอบเช่นนั้นทว่าก้นบึ้งกลับคล้ายมีความหวังเล็กๆ อยู่ “เข้าใจผิดน่ะดีแล้ว” หลิวถานซวงส่งแววตาฉงน เจิ้งชิวยี่รีบยิ้มรับเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว “ก็แหม...นางออกจะร้ายกาจขนาดนั้น คิดมาชอบพี่สาม ถึงแม้หมั้นหมายกัน...” ดรุณีแรกแย้มวัยย่างเข้าสิบสี่เอ่ยขึ้นเสียไม่ได้ “หมั้นหมาย?” “เอ่อ...ที่ข้าพูดผิดน่ะ คุณหนูหลิวอย่าได้สนใจเลย” “ข้าว่าเมื่อครู่นี้ข้าฟังไม่ผิดหรอก เชิญคุณหนูเจิ้งเล่าต่อเถอะ ข้าอยากรู้” เจิ้งชิวยี่แสดงสีหน้าไม่ถูก ยิ่งถูกแววตาคาดคั้นของอีกฝ่ายยิ่งทำให้นางรู้สึกลำบากใจ “ก็ได้” จากนั้นนางก็เล่าเรื่องการหมั้นหมายที่เคยตกลงกันไว้ของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายระหว่างตระกูลเจิ้งกับตระกูลเถียน แท้จริงการหมั้นหมายนี้สมควรเกิดขึ้นระหว่างพี่ใหญ่นามเจิ้งโหย่งเหรินหรือพี่รองเจิ้งโหยว่หยี่ แต่เป็นเพราะเถียนซูหลินในวัยเยาว์มิยินยอม เพราะเมื่อในอดีตนางกับเจิ้งโหย่งเฉียนมักพบและเล่นกันตามประสาเด็กตลอดจึงสนิทสนมกันมากกว่าพี่ใหญ่และพี่รอง ทั้งสองตระกูลจึงตัดสินใจหมั้นหมายให้นางต้องแต่งเป็นสะใภ้บ้านสามกอปรกับที่เจิ้งโหย่งเหรินและเจิ้งโหยว่หยี่แต่งสะใภ้เข้าบ้านแล้ว เรื่องนี้จึงไม่จำเป็นว่านางต้องเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลเจิ้ง หลิวถานซวงพยักหน้ารับรู้มองตามทางเดินที่คนกลุ่มหนึ่งเพิ่งเดินจากไป ในใจกลับรู้สึกยากจะอธิบายและเกิดตั้งคำถาม ‘เหตุใดเขาไม่เล่าให้นางฟัง’
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม