บทที่3

2600 คำ
บทที่ 3 พรึ่บ! “!!!” ก่อนที่ประตูบานใหญ่จะถูกเท้าแกร่งขององค์ไท่จื่อหนุ่มนาม ‘หลี่ไท่หยาง’ ถีบจนปลิวหวือตกลงเกือบกึ่งกลางห้องนอนกล้างใหญ่ภายในตำหนักรับรอง หลี่ปิงเฉิงกลับว่องไวกว่ากระชากผ้าห่มผืนโตขึ้นมาห่มกายตนและคนตัวเล็กเอาไว้ได้เฉียดฉิว “หลี่ปิงเฉิง ไอ้คนต่ำทราม!!!” ไอสังหารพวยพุ่งออกจากเรือนกายแกร่งในอาภรณ์สีดำลวดลายสีทองเต็มพิธีการในฐานะขององค์รัชทายาทของอาณาจักร ‘ต้าเซิ่ง’ เช่นหลี่ไท่หยางทันใด เมื่อพบภาพบาดตากรีดใจของตนอย่างแรงบนเตียง ต่อให้เป็นคนโง่เง่าเต่าตุ่นเพียงใดก็ย่อมแจ่มชัดว่าบัดนี้ ‘คนของตน’ เปลี่ยนไปเป็นของ ‘บุรุษอื่น’ ไปแล้วจริง ๆ “ฮ่า ฮ่า ฮ่า” หากทว่าหลี่ปิงเฉิงที่อ่อนวัยกว่าหลี่ไท่หยางเพียงสามเดือนกลับหัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติ ก่อนจะรับเอาเสื้อคลุมจากคนสนิทมาสวมทับเรือนกายแกร่งแล้วลุกขึ้นไปยืนเผชิญหน้ากับศัตรูคู่อาฆาตกันมาตั้งแต่เยาว์วัยจวบจนถึงวันนี้ด้วยกิริยาพร้อมจะ ‘มีเรื่อง’ มิหวั่นไหว ต่อให้อีกฝ่ายมีฐานะเหนือกว่าก็ตาม “ก็ไม่ต่างจากที่เจ้าเคยกระทำ หากข้าต่ำทราม เจ้ามันก็สารเลวกว่าเดรัจฉาน!” ผลัวะ! พลั่ก! หลี่ไท่หยางส่งหมัดไปยังใบหน้าของอีกฝ่ายหลังจากที่ถูกยั่วยุด้วยวาจาร้อนร้าย ซึ่งคนเช่นหลี่ปิงเฉิงมีหรือจะยอมเจ็บอยู่ฝ่ายเดียว จึงสวนกลับไปหนึ่งหมัด ทำเอาใบหน้าหล่อเหลาขาวสะอาดราวคุณชายสูงศักดิ์ยามที่หันกลับมาก็ปรากฏหยาดโลหิตสีแดงเข้มข้นแตะแต้มยังมุมปากงดงามราวสาวงามขององค์ไท่จื่อหนุ่มทันที ผิดกับคนหนังหนาเช่นหลี่ปิงเฉิงที่ไม่สะเทือน ไร้ร่องรอยใดให้เห็นนอกจากรอยเล็บและฟันของถานเมิ่งจีเท่านั้น “เสี่ยวเมิ่ง! น้องสี่!” ยังไม่ทันที่สองบุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์จะทันได้พุ่งกายเข้าโรมรันกันให้ได้อับอายขายขี้หน้าไปมากกว่านี้ สามพ่อลูกสกุลถานก็ตามมาทัน และตกใจแทบหยุดหายใจ ไม่เว้นแม้แต่ถานม่านอวี้เมื่อเห็นว่าบุรุษที่อยู่กับถานเมิ่งจีในสภาพที่ยากจะคิดดีไปได้นั้นเป็นท่านอ๋องแปดหลี่ปิงเฉิงจริง ๆ สาวใช้ของนางมิได้โกหกแม้เพียงครึ่งคำ! “ท่านพ่อ พี่สาม…” คนกำลังเสียขวัญและสับสน ไหนจะฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดที่ยังคงไม่จางหาย ถานเมิ่งจีเพียงแลเห็นบิดากับพี่ชายจึงปล่อยน้ำตาออกมาราวกับห่าฝนทันที นางตกใจ นางหวาดกลัว และเกินสิ่งใดนางอับอายและเสียใจยิ่งนักที่ตนขาดความระวังมากไป จนถึงขั้นประมาท นางปีศาจอสรพิษม่านอวี้จึงลงมือโหดเหี้ยม จนนางต้องมามีสภาพยับเยินเกินบรรยายเช่นนี้ “บัดสีสิ้นดี!” กลับเป็นสตรีสูงศักดิ์ที่มาถึงหลังจากสามพ่อลูกสกุลถานที่กล่าววาจาร้อนร้าย จนถานเมิ่งจีนั้นแทบไม่อยากมองหน้าผู้ใด นางอับอายอย่างถึงแก่น หมดสิ้นแล้วซึ่งความสง่างามและความภาคภูมิใจ พอสตรีซึ่งเคยเมตตามองกันด้วยสายตากล่าวหา ขวัญของผู้ไร้สติจึงเหมือนตนเองถูกผลักลงหุบเหวลึกยากจะปีนป่ายกลับขึ้นมาเผชิญหน้าผู้คนได้อีกแล้วจนถึงขั้นอยากตายไปเสียเดี๋ยวนี้ “ทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปด้านนอกกับเจิ้นให้หมด ถานไท่เว่ยท่านดูแลบุตรสาวให้เรียบร้อยแล้วเร่งพานางกลับจวนไปก่อน ทางนี้เจิ้นจะจัดการแทนเอง อีกสองวันจึงค่อยรอฟังข่าวจากเจิ้นอีกที” เป็น ‘หลี่อี้ฝาน’ บุรุษวัยห้าสิบหกหนาว ฮ่องเต้แห่งต้าเซิ่งผู้มาถึงล่าสุดที่เอ่ยจัดการทุกสิ่งได้เด็ดขาด และมีสติดีที่สุด เรื่องเสื่อมเสียเช่นนี้ยิ่งจัดการไวยิ่งดี แต่คนจะรู้แจ้งมากน้อยเกรงว่าต่อให้เขาผู้เป็นฮ่องเต้เองก็ยากจะควบคุม ไหนจะยังมีเรื่องสัญญาหมั้นหมายระหว่างบุตรสาวสกุลถานกับราชวงศ์หลี่อีกเล่าที่ดูจะยุ่งเหยิงไปหมด “หลินเจียว เจ้าไปช่วยคุณหนูแต่งกาย ข้ากับคุณชายสามและคุณหนูใหญ่จะรออยู่ด้านนอก” ถานหมิงฮ่าวรับคำของฮ่องเต้ผู้เป็นมากกว่า ‘นาย’ แล้วจึงเรียกสาวใช้ข้างกายของบุตรสาวคนเล็กให้มาดูแลแต่งกายให้คนที่ยังนั่งน้ำตาเต็มสองข้างแก้มบนเตียงด้วยน้ำเสียงรวดร้าว “ช้าก่อนถานไท่เว่ย” เป็นหลี่ปิงเฉิงที่กล่าวขัดขึ้นมาเสียก่อน ทำให้ทุกคนไม่เว้นแม้แต่หลี่อี้ฝานผู้เป็นฮ่องเต้หยุดฝีเท้า ไม่ก้าวออกไปดังที่ตั้งใจแต่แรก เพราะถูกบุตรชายลำดับที่แปดทัดทานเอาไว้เสียก่อน “เห็นทีคุณหนูสี่จะออกจากวังหลวงภายในราตรีมิได้หรอกถานไท่เว่ย” น้ำเสียงนิ่งกับสีหน้ายากจะจับอารมณ์ได้ ทำเอาทุกคนมีแค่สายตาสงสัยทั่วหน้า ไม่เว้นแม้แต่ตัวของถานเมิ่งจีเอง “มีอันใดเร่งกล่าวออกมาปิงเอ๋อร์” ในแผ่นดินนี้คงมีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่เรียกหลี่ปิงเฉิงเช่นนี้ได้ แต่ยามนี้ทุกคนล้วนไม่ใส่ใจแล้ว เพราะเหตุการณ์ตรงหน้าตึงเครียดเกินไปนั่นเอง “คุณหนูสี่นางถูกพิษยาปลุกกำหนัดที่ร้ายแรงที่สุด หากนางไม่ได้รับยาถอนพิษ หรือให้บุรุษช่วยเหลือ เกรงว่าดวงอาทิตย์ยังไม่ทันมาเยือนต้าเซิ่ง นางก็คงจบชีวิตลงแล้วเป็นแน่” เขากอดอกกล่าวเนิบช้า ผิดจากคนที่ได้ฟังทุกคนภายในห้อง “อันใดนะ?! / เกิดขึ้นได้เช่นไร?” มิใช่เพียงแต่ถานหมิงฮ่าวและถานเถียนหย่ง แต่ฮ่องเต้รวมไปถึงหลี่ไท่หยางเองก็ตื่นตกใจกับสิ่งที่เพิ่งทราบกันถ้วนหน้า แต่เพราะนี่คือวังหลวง และผู้ถูกพิษร้ายคือคุณหนูสี่ของถานไท่เว่ย และนางยังเป็นคู่หมายของไท่จื่อแห่งต้าเซิ่งอีกด้วย จะเอะอะออกไปมีเพียงเสียหาย “เช่นนั้นจะช้าอยู่ไย เร่งตามหมอหลวงสตรีมาโดยเร็ว!” คราวนี้เป็นหลี่ไท่หยางที่ออกคำสั่งบางส่วน ถานม่านอวี้นั้นดวงตาคู่งามไหววูบวาบไปด้วยความหวาดกลัว เพราะมิคาดว่าความลับของตนจะแตกเร็วเช่นนี้ ยิ่งมองไปที่บุรุษผู้เป็นท่านอ๋องแปด นางก็ให้แปลกใจ เพราะมิคาดว่าจะเป็นเขาที่เปิดปากเรื่องนี้ ในเมื่ออดีตเมื่อสามหนาวก่อนอีกฝ่ายแทบจะจับเอาถานเมิ่งจีมาสับกระดูกให้ตายตามเหลิ่งหลิวหรานกับเด็กในครรภ์ไปด้วยซ้ำ หากฮ่องเต้ไม่ออกหน้าคาดว่านางมารน้อยเมิ่งจีคงสิ้นชีพไปจนกระดูกกลายเป็นเถ้าธุลีสมใจของนางไปแล้ว แต่วันนี้เขาออกหน้าแทนนางมารน้อยเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร “จริงหรือนี่น้องสี่” แต่เพียงเสี้ยวลมหายใจ สตรีที่เก็บซ่อนทุกอารมณ์เก่งมาตลอดชีวิตก็ดึงสติแตกตื่นกลับมาได้ แล้วพุ่งกายเข้าไปโอบกอดคนที่เริ่มสั่นสะท้านเพราะฤทธิ์ร้ายของยาปลุกกำหนัดอีกครั้ง จนถานเมิ่งจีเองยังตั้งรับความหน้าด้านหน้าทนของอีกฝ่ายไม่ทัน “ปล่อยข้านะ!” เพราะสติกำลังจะเลือนหายอีกครั้ง ถานเมิ่งจีจึงแสดงความรู้สึกออกมาโดยมิทันได้ตรึกตรองให้ดีเสียก่อน ทำให้คราวนี้ทุกสายตามองมาที่นางคล้ายจะตำหนิ จนถานม่านอวี้กดยิ้มร้ายส่งให้เด็กสาวอย่างสาแก่ใจที่คราวนี้ก็เป็นเช่นในอดีตที่ทุกคนมองนางเป็นพี่สาวที่ดี แต่นางมารน้อยเมิ่งจีนั้นมีผู้ใดไม่ทราบบ้างเล่าว่านางไม่เอาไหนจนถึงขั้นนิสัยแย่เพียงใด “โธ่...น้องสี่ เจ้าคงทรมานมากใช่หรือไม่ ผู้ใดช่างลงมือเหี้ยมโหดกับน้องสี่เช่นนี้” คราวนี้ถานเมิ่งจีถึงกับกัดฟันกรอด ควบคุมสติให้มั่นคงก่อนจะปั้นรอยยิ้มอ่อนหวานออกมาได้ราวกับเมื่อครู่นางไม่ได้แสดงกิริยาอยากฆ่าคนออกมาจนสิ้น “พี่หญิงใหญ่ เมิ่งจีนั้นทรมานอย่างยิ่ง แต่เมิ่งจีโง่เขลาจึงมิอาจทราบได้ว่าเป็นนางปีศาจอสรพิษตนใดมันสารเลวลงมือกับเมิ่งจีเช่นนี้หึ!” กล่าวจบเด็กสาวก็บีบน้ำตาออกมาดังสั่งได้ให้ทุกผู้ได้เห็นว่านางทั้งอ่อนแอและบอบบางเพียงใด ทั้งที่นิ้วทั้งสิบของตนกำลังจิกลงไปบนเนื้อหนังของถานม่านอวี้ จนอีกฝ่ายถึงกับผงะถอยหนี ‘หึ! อยากเล่นบทพี่น้องรักใคร่ลึกซึ้งข้าย่อมสนองตอบอยู่แล้วนางปีศาจอสรพิษม่านอวี้’ ภายในใจนั้นคิดเช่นนั้น หากแต่ที่กล่าวออกไปกลับเป็น “พี่หญิงใหญ่จะไปที่ใด ฮือ...ท่านไม่รักน้องสี่แล้วหรือ?” หากแต่คราวนี้ถานม่านอวี้ไม่กล้าเข้าใกล้นางมารน้อยเมิ่งจีอีกแล้ว เพราะเนื้อหนังตรงท้องแขนของตนนั้นแทบขาดหลุดติดเล็บของอีกฝ่ายไปเมื่อครู่ ย่อมเป็นบทเรียนที่ดีว่าถึงถานเมิ่งจีจะตกอยู่ภายใต้ฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดหลายส่วน ทว่านางมารน้อยก็ยังคงเป็นนางมาร ไม่ยอมทิ้งลวดลายร้ายกาจดังที่เห็น “เอาละ ในเมื่อหมอหลวงมาแล้ว ทางนี้ก็ยกให้เป็นหน้าที่ของหมอหลวงไป พวกเราออกไปด้านนอกกันเถิด” หลี่อี้ฝานเอ่ยออกมาหลังจากหมอหลวงสตรีเข้ามาตรวจ และเริ่มวิธีถอนพิษให้แก่ถานเมิ่งจีแล้ว ทุกคนจึงออกจากห้องนอนใหญ่ภายในตำหนักรับรอง แล้วตรงไปรวมตัวกันยังอีกห้องที่จัดเอาไว้รับรองแขกเมื่อมีงานเลี้ยงภายใน “เถียนหย่ง เจ้าพาพี่หญิงใหญ่กลับจวนไปก่อน” พอออกมายืนอยู่ภายนอกห้องแล้วถานหมิงฮ่าวจึงคิดส่งบุตรสาวคนโตนั้นกลับจวนไปก่อน เพราะคาดว่าราตรีนี้คงต้องมีหลายสิ่งให้เขาต้องจัดการอีกไม่น้อยเป็นแน่ “เห็นทีจะไม่สมควรกระมังถานไท่เว่ย เพราะราตรีนี้ผู้ที่ข้าสงสัยว่าวางยาคุณหนูสี่จะเป็นคุณหนูใหญ่ถานผู้นี้มิผิดไป นางจึงสมควรรั้งอยู่ก่อน มิสมควรออกไปจากวังเด็ดขาด” เพียงจบคำของท่านอ๋องแปดหลี่ปิงเฉิงที่แต่งกายเรียบร้อยย้อนคืนกลับมายังห้องโถงกลางอีกครั้ง โลหิตในกายของถานม่านอวี้นั้นคล้ายจะเป็นน้ำแข็งโดยพลัน แข้งขานั้นก็สิ้นแรงจนทรุดลงไปนั่งกับพื้น ใบหน้ายิ่งขาวซีดดังซากศพ เพราะมิคาดว่าจะเป็นท่านอ๋องแปดอีกแล้วที่ออกหน้าแทนนางมารน้อยเมิ่งจีเช่นนี้ ‘เจ้าคนเสียสติผู้นี้มันหลงเสน่ห์นางมารน้อยเมิ่งจีแล้วเป็นแน่ จึงลืมสิ้นความแค้นครั้งเก่า!’ ถานม่านอวี้คิดด้วยความคับแค้นใจ “ท่านพ่อ มิใช่นะเจ้าคะ! มิใช่จริง ๆ ม่านอวี้มิเคยคิดร้ายกับเมิ่งจีเลยสักครั้ง” นางหันไปจับที่ขาแกร่งของผู้เป็นบิดา ก่อนจะปล่อยให้น้ำตามากมายไหลลงมาอาบแก้ม จนใบหน้างดงามที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาเช่นนี้หากผู้ใดพบเห็นล้วนสงสาร แล้วมีหรือผู้เป็นบิดาเห็นแล้วจะไม่พลันในใจอ่อนยวบยาบ เพราะถานม่านอวี้นั้นแต่เด็กแต่น้อยก็ถูกผู้คนในจวนรังแกมาโดยตลอด และผู้ที่รังแกบุตรสาวคนนี้มากที่สุดจะเป็นผู้ใดไปมิได้นอกเสียจากถานเมิ่งจี บิดาเช่นเขาจึงไม่อาจคิดไม่ดีกับบุตรสาวคนโตไปได้ “ท่านอ๋องแปดกล่าวเช่นนี้ก็ดูจะให้ร้ายพี่สาวของกระหม่อมไปหรือไม่” ถานเถียนหย่งผู้เป็นที่ปรึกษาขององค์ไท่จื่อหลี่ไท่หยางเป็นคนแรกที่ออกหน้าปกป้องพี่สาวคนโตของตน ซึ่งนอกจากจะถูกมารยาของพี่สาวหลอกลวงแล้ว ตัวของเขายังชิงชังท่านอ๋องแปดอยู่ก่อนแล้วอีกด้วย จึงเอ่ยปากถกเถียงโดยลืมคิดไปว่าน้องสาวคนเล็กบัดนี้น่าเห็นใจเกินกว่าผู้ใด “ใช่ เกรงว่าน้องแปดจะให้ร้ายคุณหนูใหญ่ถานเกินไปแล้ว ทั่วมหานครซั่วหยางแห่งนี้มีผู้ใดไม่ทราบบ้างว่าคุณหนูใหญ่รักใคร่เมิ่งจีเพียงใด หากไร้หลักฐานจะมากล่าวให้ร้ายป้ายสีคน ถึงเป็นท่านอ๋องแปดก็ไม่สมควร” ถานม่านอวี้หันไปมองหลี่ไท่หยางด้วยสายตาซาบซึ้งใจ จนมุมปากแกร่งของหลี่ปิงเฉิงกระตุก อารมณ์คันมือคันเท้าอยากถีบสตรีพลันบังเกิดอย่างไม่สมควร “หากเมิ่งจีมาได้ยินคู่หมายแก้ต่างให้สตรีร้ายกาจ นางคงเสียใจยากจะบรรยายเป็นแน่” “นี่เจ้า!” “เอาละ ๆ พวกเจ้าหยุด อย่าได้ถกเถียงกันให้ข้าอับอายขายขี้หน้าได้หรือไม่ หยางเอ๋อร์ ปิงเอ๋อร์” หลี่อี้ฝ่านยกมือขึ้นแตะไปยังข้างขมับของตนเอง ก่อนจะนวดไปมา เพราะปวดหัวอย่างยิ่งที่บุตรชายทั้งสองไม่รักใคร่กลมเกลียว มีเพียงมองกันและกันเป็นศัตรูคู่อาฆาต ผู้ใดพลาดมีแต่จะแทงข้างหลังกันให้ย่อยยับ “เรื่องสืบหาคนร้ายนั้นต้องทำแน่ แต่ยังรอช้าได้ ทว่าที่รอช้ามิได้เห็นทีจะเป็นเรื่องของพวกเจ้าทั้งสองคนแล้ว” ที่ฮ่องเต้กล่าวมามีหรือทุกผู้ที่อยู่ภายในห้องนี้จะไม่กระจ่าง เพราะถานเมิ่งจีคือคู่หมายของหลี่ไที่หยาง แต่ภาพที่ได้เห็นเมื่อครู่ใหญ่ทุกคนล้วนยิ่งกว่ากระจ่างว่าอันใดเป็นอันใด ระหว่างคุณหนูสี่กับท่านอ๋องแปดเกินเลยจนข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกไปจนสิ้นแล้ว เช่นนี้สัญญาเก่าก่อนก็ยากแล้ว “เช่นนั้นก็เปลี่ยนจากคุณหนูสี่เป็นคุณหนูใหญ่เถิดเพคะฝ่าบาท” เป็นกู้ฮองเฮาที่ออกความคิดเห็น หลี่ปิงเฉิงมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหยียดหยาม แต่เขาจะไม่ยื่นเท้าไปขัดขวางแผนการของนางเป็นแน่ เพราะเพียงแค่นางขยับปาก ที่สงสัยแต่แรกว่าเหตุใดสตรีเช่นถานม่านอวี้จึงฮึกเหิมจนถึงขั้นบังอาจทำเรื่องต่ำทรามเช่นวางยาปลุกกำหนัดภายในวังหลวงได้หากไร้ผู้มากอำนาจหนุนหลังจึงกระจ่างชัดเจน “หากแต่เพราะม่านอวี้เป็นเพียงบุตรสาวสายรอง เช่นนั้นคงเป็นได้เพียงพระชายารองในไท่จื่อได้เท่านั้น มิอาจแต่งเข้ามาเป็นไท่จื่อเฟยเช่นที่เคยตกลงกันไว้” ‘หึ! ช่างสมกับเป็นนางปีศาจเฒ่าแห่งวังหลังจริง ๆ’
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม