“คุณชื่ออะไร” เขาถาม เป็นจังหวะเดียวกับเสียงโทรศัพท์มือถือของตัวเองดังขึ้น
“ฉันเหรอ” เธอชี้นิ้วที่หน้าตัวเอง “ศลิษาค่ะ”
“ผมศิวนาถ” เสียงมือถือรบกวนเขาจนต้องหยิบโทรศัพท์ออกมารับสาย
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ถ้าเจอกันก็ทักกันได้นะคะ”
หญิงสาวก้มศีรษะให้เล็กน้อย เขาเหมือนจะพูดอะไรต่อแต่ทำไม่ได้เพราะต้องรับโทรศัพท์ ศลิษาไม่ได้สนใจอะไรนัก หน้าตาอย่างเธอ ขนาดเพื่อนร่วมงานยังไม่สนใจ แล้วนับประสาอะไรกับผู้ชายหน้าตาดีแถมบุคลิกดีอีกต่างหากจะมาสนใจ การได้พบคนแปลกหน้าครั้งนี้ทำให้เธอตัดสินใจอะไรได้ แม้เธอจะมีตัวเลือกอยู่แล้วก็ตาม แต่ ‘เขา’ เข้ามาเป็นตัวกระตุ้นในการตัดสินใจของเธอก็เท่านั้น
ศลิษาขอเข้าพบหัวหน้า เธอตัดสินใจขอลาออก ไหนๆ ก็อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว เธอเชื่อว่าเธอหางานใหม่ได้ หรืออย่างน้อยเธอเชื่อมั่นเหลือเกินว่า ตัวเองจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ไม่ยาก
“คุณคิดดีแล้วเหรอศลิษา” หัวหน้าออกจะแปลกใจ ไม่เคยเห็นหญิงสาวมีปัญหาอะไรกับที่ทำงานเลยสักนิด เธอทำงานได้ดีแทบไม่มีอะไรผิดพลาด
“คิดดีแล้วค่ะ”
“มีปัญหาอะไรหรอเปล่า”
“นิดมีปัญหาแต่ไม่ใช่ที่ทำงาน เป็นปัญหาส่วนตัวค่ะ”
“เอาอย่างนี้ไหม ตั้งแต่ทำงานที่นี่คุณไม่เคยลาพักร้อนเลย ผมให้คุณหยุดติดกันสิบห้าวัน ถ้าหยุดงานแล้วคุณยังอยากลาออก ผมก็จะไม่ห้ามอะไร”
ศลิษานิ่งไปครู่ใหญ่ เธอรักและเคารพหัวหน้าของเธอมากแม้ว่าจะไม่ได้สนิทสนมอะไร แต่ท่านก็เป็นกลาง ไม่เข้าข้างใคร เธอยกมือไหว้ด้วยความรู้สึกรักและเคารพจริงๆ
“ขอบคุณค่ะ”
“งั้นเอาตามนี้แหละ ผมให้คุณลาพักร้อนสิบห้าวัน”
“ค่ะ”
“คุณทำงานดี ถึงจะไม่ได้มีตำแหน่งอะไรแต่ผมก็ไม่อยากเสียลูกน้องทำงานดีๆ ไปเหมือนกัน ไปพักผ่อนเสียหน่อยก็แล้วกัน ไปเที่ยว ไปทำอะไรที่อยากทำ คุณอายุยังน้อยอาจจะยังไม่รู้ว่าตัวเองอะไรก็ได้”
“ขอบคุณมากค่ะ”
หญิงสาวยกมือไหว้แล้วถือโอกาสขอตัว เธอเดินไปเก็บของบนโต๊ะ ไม่ได้บอกใครเป็นพิเศษ คงไม่เป็นไรหรอก เธอแทบไม่มีตัวตนอยู่แล้ว หญิงสาวหยิบขอสำคัญใส่ถุงผ้าแล้วเดินออกมาด้วยหัวใจเบิกบาน นานแค่ไหนที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้
ศิวนาถ อธิษฐ์โภคินเดินสวนทางกับหญิงสาวที่เดินออกมาจากลิฟต์พอดี เขาอยากจะทักทายพูดคุยมากกว่านี้ แต่เพราะต้องรีบไปประชุมงานกับผู้บริหาร เขาจึงได้แต่มองคนตัวเล็กผอมบางเดินออกไป เธอไม่สวยและแทบไม่มีอะไรโดดเด่น เพียงแค่รู้สึกเหมือนได้คุยกับใครสักคนแล้วสบายใจก็เท่านั้นเอง
เอาเถอะ ถ้ามีวาสนาต่อกันคงได้พบกันอีก
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เขามีความคิดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ศิวนาถ อธิษฐ์โภคินชายหนุ่ม32ปี เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า แขนข้างหนึ่งทิ้งลงข้างตัวแล้วอีกข้างยกมือนวดเบ้าตา เสียงหัวเราะคิกคักที่ดังตามมาทำให้เขาเลิกคิ้วขึ้นแล้วยกมือลงมองเจ้าของเสียงหัวเราะที่ก้าวเข้ามายืนอยู่ใกล้ๆ
“หมดสภาพเลยหรือคะพี่คิง”
“นี่พี่ไม่อยู่แค่ปีสองปี งานมันไร้ระเบียบขนาดนี้เลยเหรอ” เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่งในท่าปกติ จ้องมองหญิงสาวในชุดเดรสเข้ารูปทันสมัย ไม่เหมือนสาวทำงานออฟฟิศสักเท่าไหร่ เหมือนเป็นชุดใส่ไปเที่ยวมากกว่า
“ก็ใครให้พี่คิงไปอยู่ต่างประเทศตั้งนานค่ะ” ปนัดดาหัวเราะร่วนแล้วเอาใจด้วยการบีบนวดไหล่ให้ศิวนาถ
“พี่ไปขยายงาน ไม่ได้ไปเที่ยว” เขาทำเสียงดุญาติผู้น้อง “น้องครีมนั้นแหละ เลิกเที่ยวเล่นแล้วมาช่วยงานที่บ้านได้แล้ว”
“พี่คิงใจร้าย ครีมมาทำงานทุกวันนะคะ” เธอแสร้งทุบบ่าเขาแรงๆ ไปทีหนึ่ง
“พี่ไม่ได้พูดเล่นนะครีม นี่บริษัทของคุณอา ครีมเป็นลูกสาวคนเดียวต้องสืบทอดกิจการต่อ พี่แค่เข้ามาช่วยดูได้นิดๆหน่อยๆเท่านั้น”
“ค่ะๆ ทราบแล้วค่ะ พี่คิงก็อย่าเครียดนักเดี๋ยวเส้นเลือดในสมองแตกนะคะ”
“เฮ้ยๆ นี่เป็นห่วงหรือแช่งกัน”
ศิวนาถหรือพี่คิงของปนัดดา เริ่มอารมณ์ดีขึ้น เขาเป็นญาติผู้พี่ของปนัดดา พ่อของเขาเป็นพี่ชายพ่อของเธอ ปู่กับย่ามีลูกหลายคนแต่ละคนก็ไปสร้างฐานะกันเอาเอง แต่พ่อเขากับพ่อเธอช่วยกันสร้างบริษัทขึ้นมา ขยายสาขาแผ่จนครอบครัวร่ำรวย ส่วนตัวเขาเป็นลูกชายคนเดียว นอกจากงานของครอบครัว เขามีธุรกิจส่วนตัวคือบริษัทนำเขารถยนต์หรูจากต่างประเทศ สองสามปีมานี่เขาเดินทางบ่อย อยู่ไม่ติดที่ โดยเฉพาะโซนยุโรปจึงไม่ค่อยได้กลับเมืองไทยนัก พอกลับมาก็ต้องมาช่วยทำแผนฟื้นฟูบริษัท แม้อยู่เมืองไทยนานแต่เขาก็ติดตามข่าวและอ่านรายเสมอ คิดว่าคุณอาคงเอาอยู่ แต่ดูท่าจะยุ่งเหยิงจนต้องบินกลับมาจัดการเอง
“กินข้าวเที่ยงกันเถอะคะพี่คิง” ปนัดดาฉุดให้ศิวนาถลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วหญิงสาวก็ทำจมูกฟุดฟิด
“อะไร?”
“กลิ่นอะไรไหม้ๆ” ปนัดดาย่นจมูก
“ไม่มีเสียหน่อย”
“มีซิ” หญิงสาวสูดดมเข้าไปอีกที “พี่คิงไปแอบดูดบุหรี่มาแหง๋ๆเลย”
“ยุ่งน่า ไม่ใช่เรื่องของเด็ก” เขาผลักหัวน้องสาวเบาๆ
“งั้นครีมเลี้ยงข้าวพี่คิงก็แล้วกัน”
“ใจดีปานนั้น งั้นพี่ไม่เกรงใจ จะกินให้พุงกางเลย”
“มีร้านอาหารไทยอร่อยๆ ไม่รู้พี่คิงคิดถึงอาหารไทยมั้ย”
“มีคนเลี้ยง อะไรก็กินทั้งนั้น ”