ต้นข้าว & วิคเตอร์ - 1 ตามตื้อ
ต้นข้าว & วิคเตอร์ - 1 ตามตื้อ
@คณะแพทยศาสตร์
“ต้นข้าวขอยืมเลคเชอร์ได้ไหมเราไม่ค่อยเข้าใจเลยอาจารย์สอนเร็วขนาดนี้เราคงได้สอบตกแน่”
ใบชาวิ่งตามหลังฉันไว ๆ จนได้ยินเสียงหายใจหอบ ฉันจำใจหยุดชะงักตามเสียงเรียกแล้วหันกลับมา
“อ๋อ มันก็ยากจริง ๆ นั่นแหละนะ”
ฉันปลอบใจพลางค้นกระเป๋าสะพายสีดำด้านหาสมุดเลคเชอร์ก่อนจะส่งให้ใบชา
“ขอบใจนะ”
“อื้มไม่เป็นไรจ้ะ”
ใบชาได้เลคเชอร์ของฉันแล้วก็รีบวิ่งกลับไปหากลุ่มเพื่อน แน่นอนว่าคงจะมีแค่ฉันเท่านั้นแหละที่ชอบไปไหนมาไหนคนเดียวตลอด ฉันค่อนข้างมีระยะห่างกับทุกคนในห้องและสวมใส่แว่นกรองแสงอยู่แทบจะทั้งวัน
รูปร่างผอมบางสวมใส่ชุดไปรเวทสบาย ๆ ขอแค่มีเสื้อโปโลสีขาวกับกระโปรงทรงเอก็มากพอสำหรับฉันแล้วล่ะ
หนุ่มวิศวะกลุ่มหนึ่งกำลังยืนเก๊กหล่อคุยกันอยู่ข้างทางเดินเหมือนทุก ๆ วัน ฉันเห็นพวกเขาเวลาที่เดินผ่านทุกครั้งจนชินตา และมันก็แอบจะรู้สึกรำคาญนิดหน่อยที่มีสายตาจับจ้องมาที่ฉัน ใครต่างก็รู้ว่ากลุ่มนี้มีงานอดิเรกเป็นอะไร ฉันจะบอกให้นะว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งกับพวกเขาแม้แต่เสี้ยวเดียวเพราะพวกเขาเอาแต่จีบคนนั้นทีคนนี้ทีแล้วเฮลั่นกันเสียงดัง
สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดยามที่พบเจอคืออย่าไปสนใจและรีบเดินหนีไปให้ไว
นั่นแหละคือคติประจำใจของฉัน
“เดี๋ยว ๆๆๆ”
เสียงเข้มของใครบางคนตะโกนเรียก ไม่พอยังตามสะกิดไหล่บางของฉันเบา ๆ
“คุณหมอ~…เธอจะรีบไปไหนนักหนา”
เขาลากเสียงยาวล้อเลียนขณะถือวิสาสะมาแตะอั๋งฉัน มือหนาบีบต้นแขนฉันจนรู้สึกเจ็บ ฉันจึงรีบสะบัดออกห่างด้วยความไม่พอใจ ฉันล่ะเบื่อจริง ๆ คนแบบนี้ขอแค่เดินไปให้พ้น ๆ ก็พอ
แต่ทว่ายิ่งฉันจ้ำอ้าวเร็วขึ้นเท่าไหร่เขาก็ยิ่งตามมาติด ๆ พร้อมเอาวงแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่งนั้นมาถูไถเบียดเสียดจนฉันรู้สึกคลื่นไส้
“ฉันรีบ นายมีอะไรหรือเปล่า”
“ทำไมต้องทำเป็นรังเกียจกันด้วย ให้ไปส่งมะ”
“ไม่…ฉันไม่สะดวก”
“ฮ่าฮ่าฮ่า คุณหมอบอกว่าไม่สะดวกว่ะ” เสียงหัวเราะแทรกมาจากด้านหลัง บ่งบอกว่าพวกเขาเร่งเดินตามฉันมาทั้งกลุ่ม มือหยาบกร้านของใครสักคนกำลังดึงหางม้าของฉันม้วนไปมาอย่างอารมณ์ดี
“พวกมึงพอเลย เดี๋ยวเขาก็ตกใจกันพอดี ไป ๆๆๆ” คนอันธพาลที่เดินเบียดเสียดฉันเอ่ยไล่เพื่อนทั้งหลายแหล่และพวกนั้นก็หยุดตามมาทันที ช่างขึ้นชื่อเรื่องสามัคคีกันเสียจริง
“ขอบคุณ แต่ไม่ต้องตามมาแล้วเราไม่ได้รู้จักกัน” ฉันบอกปัด แต่เขาก็ยังตามมาไม่เลิกรา อยู่ดี
“เธอชื่อต้นข้าวใช่ไหม” เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ
“ก็ไม่ได้แปลว่าฉันจะรู้จักนาย”
เขาคงจะคิดว่าฉันรู้ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมนี้ล่ะสิ ฉันฉลาดเป็นกรดเลยนะแต่ก็แค่…ชอบอยู่เงียบ ๆ เท่านั้นเอง เขาดูอั้มอึ้งไปเล็กน้อย ไม่นานกลับยิ้มหน้าระรื่นชื่นบานออกมาซะงั้น
“ชื่อวิคเตอร์ ทีนี้เราก็รู้จักกันแล้วถูกไหม”
เขาบอกชื่อตัวเองห้วน ๆ พลางยื่นหน้าอันหล่อเหลาเข้ามาใกล้ฉัน แน่นอนว่าฉันเบี่ยงหลบอัตโนมัติ
“…” ฉันไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงกับชายแปลกหน้าให้มากความ ถือว่าเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ก็แล้วกัน
“แล้วนี่เธอจะไปไหนต่อ รถฉันว่างนะ ไปส่งเธอได้”
“…” ฉันเมินเฉยและเดินหนีเขาต่อไป
“เฮ้ย!” น้ำเสียงแข็งกร้าวตะคอกเรียก
เขาจับมือฉันด้วยแรงกระชากอย่างถือวิสาสะ แถมยังดูเหมือนคนที่กำลังจะคุกคามกันไม่มีผิดเพี้ยน เขาคิดว่าฉันจะยอมง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอ
ไม่ล่ะ
ฉันสะบัดมือออกทันทีพร้อมกับเดินข้ามถนนไปอีกฟากฝั่งหนึ่ง นิสิตเยอะแยะขนาดนี้เขาไม่อายบ้างหรือไงนะ ฉันอายจนจะมุดแผ่นดินหนีอยู่แล้ว
ฉันใช้ชีวิตที่สงบสุขและระมัดระวังตัวมาตลอด เป็น ‘ต้นข้าว’ ที่เสงี่ยมเจียมตัวและเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ ถึงจะมีระยะห่างเหมือนคนหยิ่งทะนงตนแต่ก็มีเพื่อนร่วมสาขาเข้ามาทักทาย และเป็นมิตรกับฉันอยู่เสมอ มันเป็นชีวิตที่ดีมากทั้งสงบ เรียบง่ายและไม่เป็นที่รู้จักมากนัก
ฉันเปรียบเป็นเสมือนเงา…จนกระทั่งได้เจอกับ ‘วิคเตอร์’
“ถ้านายตามมาอีกฉันจะแจ้งตำรวจแล้วนะ!!” ฉันวีนเขาโดยไม่หันกลับไปมอง
“เฮ้ย! ระวังงง!”
เสียงของวิคเตอร์ทำให้ฉันตื่นจากภวังค์พลางหันขวับกลับไปหาเขา ชายตรงหน้าฉันดูตกใจเล็กน้อยพร้อมกับกระโจนตัวเองเข้ามาคว้าตัวฉันกลับจนตัวโยน
โคร่ม!!....เอี๊ยดดดด~
“โอ๊ยย…แสบฉิบหาย”
ฉันนั่งตาถลนอยู่กับพื้นข้างทางจ้องมองวิคเตอร์ที่กำลังพยุงตัวเองขึ้นมาจากหน้ากระโปรงรถของใครบางคน เขาดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับบาดแผลเท่าไหร่นัก แต่ว่า…เมื่อกี้นี้เขาพึ่งจะลากฉันจนตัวปลิวออกมาแล้วรับแรงปะทะแทน เรียกได้ว่าเขาถูกชนเข้าเต็ม ๆ
“เป็นอะไรไหมครับพี่”
“มึงก็ดูสภาพกูสิ ทีหลังก็ขับช้า ๆ หน่อยดิวะ มึงคิดว่านี่เป็นสนามแข่งรถเหรอ” วิคเตอร์ตบศีรษะเด็กที่ลงมาจากรถอย่างหัวเสีย
“ขอโทษครับแต่ว่าผมไม่รับผิดชอบนะพี่ ก็พี่มาชนรถผมเอง”
“เออ ๆๆ ไปเถอะไป”
วิคเตอร์ไล่ปัดรุ่นน้องของเขาเหมือนกับว่าจะรู้จักกันก่อนจะเดินขากะเผลกตรงมาหาฉันที่กำลังลุกขึ้นยืนด้วยความงงงวยอยู่
“ไม่เป็นไรนะเธอน่ะ บ้านอยู่ไหนจะไปส่ง”
“ไม่เป็นไร แต่นายขับรถไหวเหรอ”
ฉันมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ตามร่างกายที่ดูแข็งแรงไม่เบานั้นมีแต่รอยเปื้อนฝุ่นตามพื้นถนน ข้อศอกทั้งสองข้างมีรอยแผลถลอกยาว เขาเอาแต่ลูบคลำปัดฝุ่นที่ติดเสื้อผ้าอย่างไม่สนใจไยดี มันทำให้ฉันอดที่จะตอบแทนบุญคุณไม่ได้ อย่างน้อยก็น่าจะรับผิดชอบค่าทำแผลให้กับเขาก่อน
“ไหว”
เขาเดินนำฉันมาที่รถ แล้วขับไปตามเส้นทางที่ฉันบอก ฉันสังเกตวิคเตอร์ตลอดทาง ดูก็รู้ว่าความซ่าของเขาหายไป สีหน้าดูจริงจังจนน่าเกรงขาม ไม่ใช่ว่าคงจะเจ็บมากอยู่หรอกนะ
“ไปทางไหนต่อ”
“อะ...อ๋อ โรงพยาบาลอยู่ข้างหน้า”
“ฉันจะไปส่งเธอไม่ได้จะไปโรงพยาบาล” เขาลากเสียงยาวอย่างเหนื่อยหน่าย
“แต่นายมีแต่แผลเลยนะ ทำแผลก่อนสิถ้าติดเชื้อขึ้นมาทีหลังฉันไม่มีเงินจะรับผิดชอบไปตลอดชีวิตหรอกนะ” ฉันบ่นอุบ
“รับผิดชอบอะไร ไม่ตงไม่ต้อง”
วิคเตอร์เอ่ยตอบแล้วเร่งความเร็วผ่านหน้าโรงพยาบาล ซึ่งนั่นมันไม่ใช่คอนโดที่ฉันอยู่และมันห่างออกไปไกลเรื่อย ๆ
“นายจะขับไปไหน ช้าลงหน่อยสิ!” ฉันทำน้ำเสียงดุดันใส่เขาเล็กน้อยทั้งที่ในใจก็กลัวความเร็วมากเช่นกัน แต่พอดีว่าฉันมันเป็นคนแมน ๆ น่ะสิ มนุษย์ introvert อย่างฉันจะมาเสียฟอร์มเพราะเรื่องแค่นี้ได้ยังไง
“แล้วสรุปบ้านอยู่ไหน”
“กลับรถ อยู่คอนโดหน้ามหาวิทยาลัยไง!” ฉันตัดสินใจบอกความจริงหลังจากที่ล่อเขาออกมาโรงพยาบาลไม่สำเร็จ
“อ้าว” เขาขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะรีบขับกลับด้วยความเร่งรีบ เหมือนว่าจะเริ่มเจ็บแผลขึ้นมาแล้วสินะ ในเมื่อเขาไม่ไปฉันจะทำแผลให้เองก็แล้วกัน
“ขึ้นไปทำแผลบนห้องกับฉันสิ” ฉันเอ่ยชวนด้วยสภาวะจำยอม
คนถูกชวนดูยิ้มร่าขึ้นมาราวกับว่าเจอชิ้นเนื้ออันโอชะและไม่ปฏิเสธที่จะขึ้นไปบนห้องชั้นบนสุดกับฉัน