ตลอดตอนทำงานฉันแทบไม่มีสมาธิในการทำงานเลยล่ะ เพราะมัวแต่คิดว่าเขาจะยังรอฉันอยู่ทั้งคืนเลยหรือเปล่า หรือเขาแค่มา แกล้งฉันเล่นเพราะว่าเหงา อันที่จริงฉันพยายามคิดหาเหตุผลที่เขาเข้าหาฉันไม่รู้ว่าเพราะอะไรกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ ฉันมั่นใจว่าเขาเข้าหาฉันแน่นอน
ช่วงเวลาตีสองฉันเป็นเวรที่ต้องเข้าไปทำสลัดบาร์ ฉันเดินไปเลือกผลไม้เพื่อที่จะเอามาทำสลัดที่ห้องด้านหลังพลางคิดไปเรื่อยเปื่อยว่าบางทีเขาคนนั้นอาจจะแค่หยอกเย้าฉันเล่นก็ได้ใครจะรู้ ก็ฉันไม่เคยเจอเขามาก่อน และฉันมั่นใจว่าเราสองคนเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกแน่นอน
“ฝัน ถ้าทำสลัดเสร็จแล้วก็ไปกินข้าวสิ”
พี่หมีแกอยู่แผนกเป็นเนื้อพ่อครัวในการทำอาหารให้กับพนักงานรอบดึก ปกติแล้วช่วงเวลาตีหนึ่งถึงตีสองจะเป็นเวลาพักของพวกเรา การทำงานที่นี่ค่อนข้างดีเพราะนอกจากจะมีเบี้ยขยัน ค่าเข้างานรอบดึก และฟรีค่าอาหารด้วย ฉันรู้สึกว่าชอบทำงานที่นี่มากพนักงานรอบดึกทุกคนเป็นกันเองจนฉันรู้สึกไม่แย่เลยที่ทำงานที่นี่
“ค่ะ พี่หมี” ฉันทำสลัดไปพลาง ฮัมเพลงไปพลาง พยายามสลัดความคิดที่ว่าจะมีใครบางคนกำลังรอฉันอยู่ กระทั่งตีสี่ฉันทำสลัดเสร็จ และจัดเรียบร้อยให้น่ารับประทาน จากนั้นก็ไปกินข้าวเมนูคืนนี้เป็นผัดกะเพราที่พี่หมีทำอร่อยที่สุด เมื่อกินเรียบร้อยฉันก็ออกมาประจำที่เคาน์เตอร์เก็บเงินรอพนักงานรอบเช้ามาเปลี่ยนกะการทำงาน เมื่อถึงเวลาหกโมงครึ่งพนักงานรอบเช้าก็เริ่มทยอยมากันแล้ว และเมื่อถึงเวลาเจ็ดโมงฉันต้องเข้าไปเคลียร์เงินในห้องผู้จัดการ เช็กเรียบร้อยไม่มีขาด ไม่มีเกิน ฉันก็สามารถเลิกงานได้แล้วล่ะ
ฉันเดินออกมาที่หน้าซูเปอร์กำลังจะเดินไปข้ามสะพานลอยเพื่ออาบน้ำแล้วเตรียมตัวไปเรียน ฉันมีเรียนเช้าตอนเก้าโมงถึงเที่ยง ใช้เวลาเดินทางจากที่พักของฉันไปที่มหาวิทยาลัยเพียงแค่ยี่สิบนาทีเท่านั้น
หมับ!
“ว้าย!” แขนของฉันถูกใครบางคนคว้าเอาไว้ในตอนที่กำลังก้าวขาขึ้นบันไดสะพานลอยฉันหันไปด้วยความตกใจมืออีกข้างกำลังง้างขึ้นหมายจะตบตีคนที่มาคว้าแขนของฉันเพื่อป้องกันตัว
“ทำไมหนีมาแบบนี้ล่ะครับ” คุณคนนั้น?
ฉันลืมเขาไปเลยจริง ๆ ไม่สิ อันที่จริงแล้วฉันไม่คิดว่าเขาจะมา ฉันดูเขาอีกครั้งตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าเขายังอยู่ในชุดเดิมไหมนะ หรือว่าเพิ่งมา?
“พี่ไปอาบน้ำที่บ้านมาครับ บ้านพี่อยู่แถวนี้” แล้วบอกฉันทำไม? หรือว่าเขากลัวว่าฉันจะเข้าใจผิดกันนะ แต่ก็ช่างเถอะในตอนนี้สิ่งที่ฉันสงสัยก็คือเขาตามฉันทำไมมากกว่า หรือว่าฉันเคยเหยียบเท้าของเขาแล้ววิ่งหนีมา?
“ค่ะ” ฉันตอบออกไปแล้วหมุนตัวจะเดินหน้าต่อไป แต่เขาก็ยังคว้าแขนของฉันเอาไว้แน่น
“จะไปเรียนใช่ไหมครับ”
“จะกลับที่พักค่ะ ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วไปเรียน คุณมีอะไรรึเปล่าคะ” เขาขมวดคิ้วนิดหน่อยเหมือนจะไม่ค่อยพอใจแต่มือยังจับที่แขนของฉันอยู่ เราสองคนยืนค้างอยู่อย่างนั้นที่บันไดสะพานลอย อาจจะเพราะตอนนี้ยังเช้าอยู่มากคนเลยไม่ค่อยเดินเยอะ เลยทำให้การกีดขวางทางเดินตรงบันไดสะพานลอยนั้นไม่ได้เดือดร้อนคนอื่นมากนัก
“ทำไมเรียกคุณล่ะครับ เรียกพี่ลมสิ”
“เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นนี่คะ อันที่จริงฉันก็สงสัยว่าทำไมคุณถึงตามฉันขนาดนี้ ฉันเคยเหยียบเท้าคุณเหรอคะ? หรือเดินชนคุณแล้วไม่ขอโทษ ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันก็ขอโทษด้วยแล้วกันนะ...”
“อุ๊บ” ฉันได้ยินเสียงเขากลั้นหัวเราะเลยรีบหันไปมองดูอีกครั้ง ถึงได้เห็นว่าเขากำลังกลั้นหัวเราะจริง ๆ เล่นเอาเสียฉันไปไม่เป็นเลยทีเดียว ขำอะไรนักหนา พ่อหน้าหล่อคนนี้นี่!
“ขอโทษครับ ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง พี่แค่อยากรู้จัก เรามาทำความรู้จักกันหน่อยดีมั้ยครับ” เขาใช้มืออีกข้างซับน้ำตาที่มาจากการหัวเราะฉันแล้วขยับขายาว ๆ ตามฉันมายืนขนาบข้างก่อนจะปล่อยมือออกพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้มที่เห็นลักยิ้มข้างซ้ายอย่างชัดเจน บอกตรง ๆ ฉันเองก็แทบแย่ในชีวิตนี้ไม่เคยเจอคนหน้าตาดีแบบนี้มาก่อนเลย หรือหากเจอคนหน้าตาดีคนเหล่านั้นก็มักจะไม่สนใจฉันหรอก
“ทะ ทำไมถึงอยากรู้จักฝันล่ะคะ”
ฉันต้องกันไว้ก่อน พวกหน้าตาดีพวกนี้อันตรายบางทีอาจจะเห็นว่าฉันเงียบ ๆ เลยเข้าหาเพราะหวังบางสิ่งบางอย่างจากฉันแน่ ๆ
“หวังอะไรจากฝันหรือเปล่าคะ” ฉันถามออกไปอย่างลังเลอันที่จริงฉันก็ไม่ได้อยากจะถามออกไปแบบนี้หรอกนะ แต่ในเมื่อเขามาแบบนี้แล้วฉันก็ต้องถาม
“หวังสิครับ” อ่า... ให้ตายเถอะ ทำไมเขาถึงตรงไปตรงมาอย่างนี้นะ
“ฝันไม่มีอะไรให้พี่หรอกนะคะ” เขายิ้มอีกแล้ว ยิ้มราวกับว่ากำลังจะอวดลักยิ้มข้างแก้มของเขาให้ฉันดูอย่างนั้นแหละ ไม่รู้ว่าจะยิ้มอะไรนักหนา
“มีสิครับ”
“ถ้าหวังตัว ก็ฝันไปเลยค่ะ” ฉันได้ยินเสียงเขาหัวเราะขึ้นจมูก บางทีก็สงสัยนะว่าในโลกเราสามารถมีคนที่หน้าตาดี สะอาด เนี้ยบ และดูอบอุ่นแบบนี้อยู่ด้วยเหรอ ฉันเดินเมินเขาข้ามสะพานลอยไปที่พักของตัวเองโดยมีเขาเดินตามฉันต้อย ๆ คอยพูดนั่นพูดนี่อยู่เรื่อยข้างหู จะว่าไปแล้วเช้านี้ก็เป็นเช้าที่เปลี่ยนไปมากสำหรับฉันอยู่เหมือนกัน
“น้องฝันพักที่นี่เหรอครับ”
“ค่ะ ก็บอกแล้วไงคะ ว่าฝันไม่มีอะไรให้พี่หรอก”
“ไปอาบน้ำเถอะครับ พี่จะนั่งรอตรงนี้แล้วเดี๋ยวเราไปเรียนพร้อมกัน” ฉันพยักหน้าให้เขา แล้วเดินเข้ามาในอาคาร แอบชำเลืองมองนิดหน่อยก็เห็นว่าเขากำลังนั่งอยู่ที่ม้านั่งหน้าที่พักของฉัน ฉันเองก็ไม่รู้ตัวเลยว่าทำไมถึงได้ไว้ใจคนได้ง่ายขนาดนี้ เราเจอกันแค่สองครั้งฉันกลับเดินนำเขามาถึงที่พักนี่เสียดาย อาจจะเพราะว่าเขาไม่ได้ดูไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นล่ะมั้ง
ฉันอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว และเดินออกมาจากหอพักแล้ว ฉันพักอยู่ที่ชั้นสามหอที่นี่ค่อนข้างดีตรงที่ไม่มีห้องฝั่งตรงข้ามทำให้รับลมได้อย่างเต็มที่เลยทีเดียวเชียวล่ะเสียเพียงแค่อย่างเดียวที่ไม่มีลิฟต์ฉันต้องเดินขึ้นลงเองเหนื่อยชะมัด เมื่อลงมาถึงข้างล่างฉันก็มองหาคนที่บอกว่าจะรอฉันแต่ก็ไม่เจอ ฉันแอบผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็ทำใจได้อย่างรวดเร็ว ก็คนที่ไม่มีอะไรเลยอย่างฉันใครเขาจะมาสนใจกันเล่า ฉันเดินออกมาจากหน้าที่พักกำลังจะเดินออกไปที่ป้ายรถเมย์โดยที่ไม่ทันได้สังเกตสิ่งที่อยู่รอบข้าง ในตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงเรียกฉันมาจากรถยนต์คันหนึ่ง
“ขึ้นมาสิครับ จะไปไหนน่ะ”
“เอ๋?” พี่สายลม?
ฉันคิดว่าเขาไปแล้วเสียอีกแต่ที่ไหนได้ นี่เขาไปเอารถมางั้นเหรอ รถที่ฉันไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมีบุญได้นั่งรถบีเอ็มดับเบิลยูสีขาวซึ่งบ่งบอกถึงฐานะที่ต่างกันกับฉันอย่างชัดเจน ฉันไม่มีหนี้ แต่มีพ่อเป็นหนี้ แถมพ่อยังมารบกวนฉันที่ยังตั้งตัวไม่ได้จนต้องลำบากถึงตอนนี้อยู่เลย
“ขึ้นมาสิครับ เดี๋ยวสายนะ”
ถึงแม้ว่าการนั่งรถเมย์หากออกไปตรงเวลาถึงป้ายรถเมย์ตอนแปดโมงเช้าฉันจะถึงมหาวิทยาลัยในเวลาแปดโมงยี่สิบ หรือยี่สิบห้าก็ตาม แต่หากนั่งรถเขาไปฉันเชื่อว่าจะถึงมหาวิทยาลัยได้ภายในสิบถึงสิบห้านาทีด้วยซ้ำ
“หรือว่าโกรธที่ลงมาไม่เจอพี่ครับ พี่ไปเอารถมาน่ะอย่าโกรธพี่เลยนะครับ”
ฉันยังอึ้งอยู่แต่ก็ยอมเดินไปขึ้นรถเขาอย่างง่าย ๆ จนบางทีฉันก็โมโหตัวเองเหมือนกันที่ทำไมถึงได้เป็นคนง่ายอย่างนี้ หากโดนเขาหลอกขึ้นมาละก็ฉันก็คงโทษใครไม่ได้
“เดี๋ยวเราแวะกินข้าวเช้ากันก่อนเนอะ หน้ามหา’ ลัยมีร้านโจ๊กไก่ฉีกใส่ข้อไก่ด้วยอร่อยมากเลย” เขายังคงชวนฉันคุยก่อนจะใช้มือข้างซ้ายปรับแอร์มาทางฉันอย่างใส่ใจอีกด้วย
ตึกตัก... ตึกตัก... ตึกตัก...
หัวใจไม่รักดี!