“ท่านแม่ทัพ คือคุณหนูสวีนาง-” ยังไม่ทันที่นายกองไห่จะได้เอ่ยอธิบาย เจี้ยนอี้โจวอุ้มลี่อิ่งออกมาจากตรงนั้น
“ทะ ท่านจะพาข้าไปที่ใด พี่ไห่ฉงไปบอกพี่ใหญ่เร็วเข้า”
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านปล่อยคุณหนูลงก่อนเถิดเจ้าค่ะ” มี่มี่วิ่งตามผู้เป็นนายไป ส่วนนายกองไห่ก็รีบนำเรื่องนี้ไปแจ้งรองแม่ทัพสวี
ลี่อิ่งมองสีหน้าถมึงทึงของชายหนุ่มก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก แต่แทนที่หญิงสาวควรกลัว กลับนึกสนุก ทั้งผลัก ทั้งดิ้นออกจากอ้อมกอดแกร่ง
“อยู่นิ่งๆ หากตกลงไปจะเจ็บตัว”
“เช่นนั้นท่านก็ปล่อยข้า ข้าฝึกม้ากับพี่ไห่ฉงอยู่ดีๆ ท่านจะมายุ่งทำไมกัน”
“มี่มี่ เจ้ารออยู่ด้านนอก!” ร่างใหญ่หันมาสั่งเสียงเข้ม จนบ่าวสาวขาแข็ง มิอาจก้าวเดินตามนาย ที่ถูกพาเข้าไปในกระโจมส่วนตัวของแม่ทัพใหญ่ได้
ร่างเล็กถูกวางลงบนเก้าอี้ ก่อนที่ชายหนุ่มจะมายืนปักหลัก กอดอกอยู่ตรงหน้าว่าที่ภรรยา
“เหตุใดจึงไปกอดรัดกับนายกองไห่ ชายหญิงไม่ควรเข้าใกล้กัน หรือเจ้าไม่รู้”
“เช่นนั้นท่านอุ้มข้าเข้ามาในกระโจมทำไมกัน ชายหญิงมิควรเข้าใกล้กัน ท่านก็รู้อยู่แล้ว”
“อย่ายอกย้อน! เจ้าเป็นคู่หมั้นข้าจะทำสิ่งใดก็ไตร่ตรองให้ดี อ่อ หรือว่าเจ้าคิดใช้แผนการทำให้ข้าขายหน้า เพื่อเอาคืนข้า เรื่องเสี่ยวปิง” คู่หมั้นปันใจให้ชายอื่น ผู้ใดรู้คงหัวเราะเยาะเขาจนฟันร่วง
แต่คิดไปคิดมา เรื่องนี้ก็เป็นประโยชน์ต่อเขามิใช่หรือ
“…”
“ดี เช่นนั้นเจ้าก็กลับไปสานสัมพันธ์ต่อกับนายกองไห่เถิด ข้าจะได้ยกเรื่องที่เจ้าลอบพบกับชายอื่นมาถอนหมั้น”
“ข้ากับพี่ไห่ฉงมิได้มีความคิดชั่วช้าเช่นพวกท่าน เราบริสุทธิ์ใจต่อกัน ท่านจะเอ่ยว่าข้าลอบพบเขาไม่ได้! อีกอย่างเมื่อครู่เขาก็เพียงช่วยข้ามิให้ตกม้า มี่มี่และทหารที่อยู่บริเวณนั้นล้วนเป็นพยานได้”
“อ่อ อย่างนั้นหรอกหรือ น่าเสียดายจริง” ไม่รู้ว่าลี่อิ่งมองผิดไปหรือไม่ ที่เห็นแววตาโล่งใจของอีกฝ่าย
แต่คงมิใช่กระมัง เขาจะโล่งใจเรื่องใดเล่า
“ข้าจะออกไปหาพี่ใหญ่”
“ผู้ใดรั้งเจ้าไว้เล่า เชิญ” มือใหญ่ผายไปทางประตู ทำให้ลี่อิ่งรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย จึงยืดตัวยืนอย่างไม่สบอารมณ์นัก
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอุบัติเหตุเมื่อครู่หรือไม่ ข้อเท้าเล็กจึงเจ็บจี๊ดขึ้นมา หากไม่มีมือใหญ่คว้าเอาไว้ บุตรสาวราชครูคงล้มหน้าคะมำไปแล้ว
“โอ๊ย!”
“เจ็บข้อเท้าหรือ นั่งลงก่อน” ลี่อิ่งถูกดันให้นั่งลงที่เดิม ก่อนที่ร่างสูงจะคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อดูข้อเท้าให้นาง จนคนถูกปรนนิบัติชะงักไปชั่วขณะ
ก็ในชาติที่แล้ว เขาไม่เคยทำให้นางจึงเพียงนี้
“ทะ ท่านชาย เรียกมี่มี่เข้ามาจัดการเถิด”
“อย่าเรียกข้าเช่นนั้นในค่าย” เพราะกว่าอี้โจวจะก้าวข้ามคำครหาว่าได้ตำแหน่งแม่ทัพมาเพราะเป็นเชื้อพระวงศ์ ก็ต้องผ่านมาหลายร้อยสนามรบ นายทหารทุกคนในนี้จึงถูกสั่งให้เรียกเขาว่าท่านแม่ทัพ แทนยศที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
“…”
“อยู่นิ่งๆ ข้าจะทายาให้” เรื่องฟกช้ำ ปวด บวม เป็นอาการที่เหล่าทหารล้วนต้องพบเจอ ยาแก้อาการเหล่านี้จึงถูกพกติดตัวอยู่เสมอ
อาการเจ็บจี๊ดที่ข้อเท้า ทำเอาลี่อิ่งเลิกดื้อรั้น ยอมอยู่นิ่งๆ ให้อีกคนทายาแต่โดยดี บรรยากาศในกระโจมจึงเงียบจนน่าอึดอัด ฝ่ายหนึ่งก็นั่งนิ่ง อีกฝ่ายก็บรรจงทายาอย่างเบามือ
กระทั่ง…
“ท่านแม่ทัพ ข้ามารับตัวน้องสาวขอรับ ไม่ทราบว่านางอยู่ด้านในหรือไม่”
“พี่ใหญ่! ข้าอยู่ด้านใน” สวีลี่อิ่งตะโกนตอบราวกับกลัวว่าจะมีใครแย่ง เจ้าของกระโจมจึงได้แต่ส่ายหัว
“เข้ามา”
“ข้ามารับ-” สวีต้าหัวอ้าปากค้าง เมื่อเห็นท่านชายที่พ่วงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของแคว้นกำลังคุกเข่า พันข้อเท้าให้น้องสาวของเขา ทั้งที่บอกว่าจะถอนหมั้น และไม่ยินดีจะแต่งงานด้วย
แต่การกระทำเช่นนี้ มันน่าแปลกนัก
“น้องสาวเจ้าบาดเจ็บที่ข้อเท้า หากคราหน้าจะให้นางขี่ม้า เจ้าก็ควรหาคนที่ไว้ใจได้ไปดูแลนาง”
“ขอรับ อิ่งเอ๋อร์เจ้าเจ็บมากหรือไม่”
“ไม่มากเจ้าค่ะ ข้าอยากกลับเรือนแล้ว” เมื่อน้องสาวว่าดังนั้น ต้าหัวก็รีบย่อตัวให้น้องสาวขึ้นหลัง แล้วพาขึ้นรถม้า กลับเรือนทันที
หลังจากวันนั้น สวีลี่อิ่งก็ยังนึกแปลกใจกับการกระทำของเจี้ยนอี้โจว ทั้งที่คิดว่าเขาจะต้องโมโหและโกรธเรื่องที่นางขอกับฝ่าบาทมากกว่านี้ แต่อีกฝ่ายกลับดูไม่ค่อยทุกข์ร้อนเท่าที่ควร
“หรือข้าจะวางแผนการผิดมาโดยตลอด”
คงมิใช่กระมัง เขาก็ยังตะคอกดุด่านาง เจอกับเสี่ยวปิงเมื่อใดก็ยังส่งสายตาหวานซึ้งให้กันอยู่ตลอด คงต้องเจ็บปวดทรมานอยู่บ้าง ที่มิอาจสมรสกับคนที่รักได้
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู”
“มีเรื่องดีอันใดมี่มี่ จึงได้วิ่งหน้าระรื่นมาเช่นนี้” ลี่อิ่งยิ้มขำกับสีหน้าของสาวใช้
“พระชายาเจ้าค่ะ พระชายาส่งเครื่องประดับและลายผ้ามาให้คุณหนูเลือก กล่าวว่าจะให้ท่านชายปักให้คุณหนูใช้ในวันเข้าพิธีสมรสเจ้าค่ะ”
“เสด็จแม่ยังแสนดีกับข้าเช่นเคย…เจ้าให้คนเอาไปไว้ที่ศาลาหลังเรือน ข้าจะไปเลือกที่นั่น” ลี่อิ่งพึมพำกับตนเอง ก่อนจะหันไปสั่งคนสนิท
“เอ่อ แต่คุณหนูใหญ่กำลังปักผ้าอยู่ที่นั่นนะเจ้าคะ”
“เช่นนั้นก็ยิ่งดี ข้าจะให้พี่หญิงช่วยเลือกผ้าเสียหน่อย” รอยยิ้มของเจ้านาย ทำให้บ่าวตัวน้อยรู้ทันทีว่าต้องทำอย่างไร
ช่วงนี้คุณหนูของนางมิได้ยอมอ่อนให้คุณหนูใหญ่เหมือนเมื่อก่อน คงเพราะความสัมพันธ์ที่ขาดสะบั้นลง แต่ก็ดีแล้ว มี่มี่เองก็ไม่ชอบให้คุณหนูต้องร้องไห้คนเดียว
ในเมื่ออีกฝ่ายทำให้คุณหนูเจ็บ ก็ต้องชดใช้กรรม
เครื่องประดับและผ้าเนื้องามถูกนำไปไว้บนศาลาหลังเรือน คนที่นั่งอยู่ก่อนจึงมองของล้ำค่าตาวาว
“ของพวกนี้ มาจากที่ใดกัน”
“เป็นของข้าเองเจ้าค่ะพี่หญิง เสด็จแม่ส่งมาให้ข้าเลือกไว้ใส่ในวันสมรส อย่างไรเสียพี่หญิงก็ช่วยข้าเลือกทีเถิด” ร่างอ้อนแอ้นเดินขึ้นศาลามา พลางตอบคำถามผู้เป็นพี่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ลี่อิ่งตั้งใจนำของพวกนี้มาเยาะเย้ยอีกฝ่าย เพราะรู้อยู่แล้วว่าพี่สาวชมชอบของสวยงาม มิเช่นนั้นเมื่อก่อนคงมิทำตัวน่าสงสาร ให้นางยกของมากมายให้
“…”
“อืม เครื่องประดับพวกนี้ ข้าควรเลือกชิ้นไหนดี”
“อิ่งเอ๋อร์เลือกเองเถิด พี่ไม่ว่าง จะออกไปตลาดเสียหน่อย” สวีเสี่ยวปิงเอ่ยเสียงเรียบ
“จะดีหรือเจ้าคะ ตอนนี้ข่าวฉาวของท่านดังไปทั่วตลาด หากไปตอนนี้อาจจะเจ็บตัวกลับมา ชาวบ้านที่ไม่ชอบพวกหญิงชู้มีมากนัก”
“…ขอตัว” ฟันขาวขบกันแน่น เพื่อสกัดกั้นความโกรธเอาไว้ แม้จะรู้ว่าข่าวพวกนี้มีต้นเหตุมาจากน้องสาว แต่ลูกอนุเช่นนางจะทำอันใดได้
นำไปพูดกับท่านพ่อ เขาก็คงไม่เข้าข้างนาง หากจะให้พึ่งท่านชายอี้โจว ช่วงนี้เขาก็ไม่แวะมาหานางเหมือนแต่ก่อน
น่าโมโหนัก!
“คุณหนูใหญ่คงอิจฉาคุณหนูของบ่าวจนมิอาจทนดูได้”
“จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือมี่มี่ สายตาของนางตอนที่พูดเรื่องเครื่องประดับติดรำคาญเสียมากกว่า” แทนที่จะเป็นแววตาที่โศกเศร้า น้อยเนื้อต่ำใจ หรือไม่ยินดี
“แต่เมื่อครู่คุณหนูใหญ่ก็ดูจะไม่พอใจนะเจ้าคะ”
“นั่นเป็นเพราะข้าพูดถึงเรื่องข่าวลือเสียหายของนาง” ตอนขอให้ช่วยเลือกเครื่องประดับงานสมรส แสดงท่าทีรำคาญ แต่พอพูดเรื่องข่าวลือจึงเปลี่ยนเป็นหงุดหงิด โมโห
“…”
“หมายความว่านางไม่สนใจการสมรสของข้ากับท่านชายหรือ” เด็กสาววัยสิบหกพึมพำกับตัวเอง
“…”
“มี่มี่ ไปเรียกป้าเถากับอาซิวมา ข้ามีเรื่องจะสอบถามพวกเขา” เรื่องการเลือกเสื้อผ้าเครื่องประดับถูกพักไว้ เพราะสายตาติดรำคาญของเสี่ยวปิง
หรือชายหญิงคู่นั้นจะแอบวางแผนบางอย่างเอาไว้ แต่ทุกครั้งที่เจี้ยนอี้โจวมาที่เรือน ก็มิได้ขอพบสวีเสี่ยวปิงเลยสักครั้ง หากไม่มาพูดคุยเรื่องการทหารกับพี่ใหญ่ ก็นำของจากจวนอ๋องมามอบให้
“คุณหนู”
“ท่านป้าเถา อาซิว นั่งลงก่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะสอบถาม”
“มีเรื่องอันใดหรือขอรับคุณหนู” บ่าวชายในเรือนเอ่ยถาม
“ช่วงนี้พวกท่านทั้งสองเห็นพี่หญิงทำตัวลับๆ ล่อๆ แอบออกไปที่ใดหรือไม่”
“เห็นออกไปนอกเรือนบ้างเจ้าค่ะ แต่มิได้ทำตัวลับๆ ล่อๆ หากไม่แจ้งนายท่าน ฮูหยิน หรืออนุเหลียงเอาไว้ คุณหนูใหญ่ก็จะบอกพ่อบ้านหยวนก่อนออกไปทุกครั้งเจ้าค่ะ” พ่อบ้านหยวนซูเป็นคนดูแลเรื่องในเรือน ไม่แปลกที่คนในเรือนจะแจ้งเขาทุกครั้ง เพราะเมื่อนายท่านของเรือนถามหา พ่อบ้านหยวนซูจะได้ตอบได้
“แล้วตอนกลางคืนเล่า”
“ไม่มีนะขอรับ แต่บ่าวเองก็ไม่ได้จับตาดูคุณหนูใหญ่เป็นพิเศษ จึงไม่แน่ใจนักว่านางแอบออกไปหรือไม่” อาซิวพูดไปตามความจริง
“อืม เช่นนั้นจากนี้รบกวนพวกเจ้าทั้งสองจับตาดูนางให้ดี มีเรื่องน่าสงสัยอันใดก็รีบมาแจ้งข้า นี่เป็นสินน้ำใจ”
“บ่าวรับไว้มิได้หรอกเจ้าค่ะ”
“บ่าวเองก็ด้วยขอรับ” ทั้งสองปฏิเสธเงินตำลึงที่เจ้านายยื่นให้
“รับไว้เถิด อีกไม่นานข้าก็ต้องย้ายไปอยู่จวนอ๋อง ถึงครานั้นหากมีเรื่องน่าสงสัย พวกเจ้าก็ช่วยนำข่าวไปบอกข้าที”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ขอบพระคุณคุณหนูมากเจ้าค่ะ” / “ขอบพระคุณขอรับ”
ลี่อิ่งยิ้มส่งบ่าวทั้งสอง พลางหันมาคิดเรื่องที่เกิดขึ้น
อี้โจวไม่ได้โมโห เกลียดชังนางเท่าชาติที่แล้ว สวีเสี่ยวปิงเองก็ไม่เจ็บปวดใจที่เห็นว่าน้องสาวจะเข้าพิธีสมรสกับชายคน
มันเป็นเพราะสิ่งใดกัน พวกเขาวางแผนอะไรไว้กันแน่!