หยางจิวฮุ่ย จ้องมองไปยังเหมยลี่อินด้วยสายตาคาดโทษ แต่ผู้ที่กำลังถูกทุกสายตาจับจ้องในขณะนี้ กลับไม่มีทีท่าหวั่นเกรงหรือหวาดกลัวอย่างเช่นที่ทุกคนคาดหวังจะได้เห็นเลยแม้แต่น้อย เหมยลี่อินทำเพียงยืนเช็ดมือที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของตนเองด้วยสายตารังเกียจ
"สกปรก"
นั่นคือคำพูดประโยคเดียวที่นางกล่าวออกมา เหมยลี่อินจำเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อชาติที่แล้วได้เป็นอย่างดี ทุกเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับนาง ก็เป็นเพราะแม่นมหลิวเป็นคนจัดฉากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ใส่ร้าย ว่านางวางยาพิษหยุนฟางเซียน หรือแม้กระทั่งเรื่องที่กล่าวหาว่านางคบชู้ ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นมานั้น นางล้วนตกลงไปในแผนที่พวกคนชั่วเหล่านี้ได้วางเอาไว้ทั้งสิ้น ในตอนนั้นนางช่างโง่งม เป็นฝ่ายถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียว จนเป็นเหตุให้สาวใช้คนสนิททั้งสองคนนางต้องสังเวยชีวิต ไปด้วยเหตุการณ์นี้ เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของเจ้านายตนเอง ดังนั้นเรื่องที่ทำในวันนี้ ถือว่ามันยังน้อยไปด้วยซ้ำกับสิ่งที่นางเคยได้รับมาทั้งหมด มันยังไม่หมดเพียงเท่านี้แน่ นางจะต้องเอาคืนพวกมันให้สาสมกับสิ่งที่พวกมันได้ทำไว้ ก่อนที่นางจะจากไป ในเมื่อไม่ยอมมอบใบหย่าให้นางโดยดี แค่เพียงกระดาษแผ่นเดียวนางจะสนใจอะไร นางจะต้องออกไปจากชีวิตของคนชั่วพวกนี้และมีชีวิตให้ดี
"หลังจากที่เจ้าทำเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดนี้แล้ว เจ้ากล่าวได้เพียงเท่านี้หรือ ช่างเป็นสตรีที่น่ารังเกียจเสียจริง ข้าละเสียใจจริงๆ เหตุใดเคยไปหลงรักสตรีที่มีจิตใจคออำมหิตเช่นเจ้ากัน"
"หม่อมฉันก็เสียใจจริงๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยหลงรักบุรุษโง่งมเช่นพระองค์"
บุคคลที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างก็ตกใจในคำกล่าวของพระชายาเหมยลี่อินเป็นอย่างมาก ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าพระชายาจะกล่าวคำนั้นออกมาต่อหน้าพระสวามีของตนเองได้
"บังอาจ! เจ้าไม่ต้องการจะมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่ ถึงได้กล่าวเช่นนั้นออกมา"
"แล้วมันจริงอย่างที่หม่อมฉันได้กล่าวออกไปหรือไม่ ตั้งแต่ที่พระองค์ทรงเสด็จมาถึงที่นี่ มีสักประโยคหรือไม่ ที่ถามหม่อมฉันว่ามันเกิดเหตุอันใดขึ้น มีเพียงแต่คำด่าทอหาว่าหม่อมฉันเป็นสตรีชั่วช้าอำมหิต หรือในพระทัยของพระองค์นั้น หม่อมฉันไม่สามารถเทียบได้แม้กระทั่งกับสุนัขรับใช้ของชายาคนโปรดของพระองค์ด้วยซ้ำ"
เหมยลี่อินจ้องไปที่บุรุษตรงหน้าอย่างไม่วางตา ในสายตาที่จ้องมองไปในตอนนี้ไม่ได้มีความน้อยใจ เสียใจ ผิดหวัง เลยแม้แต่น้อย มันมีเพียงความว่างเปล่าที่แสดงออกมาให้เห็นเพียงเท่านั้น
ความสงบของเหมยลี่อินในตอนนี้กลับเป็นเหมือนไฟที่กำลังแผดเผาหยุนฟางเซียนให้มอดไหม้ ยิ่งเห็นว่าสตรีตรงหน้ามีความสงบมากเท่าใด นางก็ยิ่งร้อนลุ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่นางทำได้เพียงแสดงออกตรงกันข้ามกับสิ่งที่นางกำลังรู้สึก
"ถ้าอย่างนั้นพี่หญิงจะสามารถบอกกับน้องได้หรือไม่ ว่าเหตุใดถึงได้ลงมือกับคนของน้องเช่นนี้ได้"
"เพราะคนของเจ้า บังอาจกล่าววาจาสามหาวกับข้า ไม่เคารพผู้ซึ่งเป็นนายในตำหนักอ๋องแห่งนี้ ตามกฎแล้วนางจะต้องถูกโบย และถูกขาย ออกไป แต่ข้านั้นยังถือว่ามีความเมตตา ที่เห็นว่านางเป็นแม่นมของเจ้าจึงได้ทำเพียงแค่ตัดลิ้น เพื่อเป็นการลงโทษสถานเบาเพียงเท่านั้น หากเจ้าคิดว่ายังไม่พอ เห็นทีว่าข้าคงต้องทำตามกฎเสียแล้ว แต่หากว่าเจ้าไม่เชื่อในถ้อยคำที่ข้าได้กล่าวออกไป คนของข้าสามารถเป็นพยานได้หรือแม้แต่กระทั่งนางกำนัลที่อยู่กับแม่นมหลิวก็สามารถเป็นพยานให้ข้าได้เช่นกัน จริงหรือไม่? "
กล่าวจบเหมยลี่อินก็เดินไปที่นางกำนัลสองนางที่นั่งตัวสั่นเทาอยู่ในตอนนี้ นางยื่นมือออกไปบีบคางของนางกำนัลผู้หนึ่งให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับตน
"เจ้าจะสามารถเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับทุกคนฟังอย่างละเอียดได้หรือไม่ หากว่าเจ้ากล้าโกหกแม้แต่เพียงครึ่งคำ เปิ่นหวางเฟยจะเป็นผู้ตัดลิ้นเจ้าด้วยมือของตนเอง"
ตั้งแต่ที่เหมยลี่อินได้กลับมายังโลกใบนี้อีกครั้ง นางก็ไม่เคยกล่าวคำราชาศัพท์ หรือวางอำนาจที่บ่งบอกว่าตนเป็นผู้ใดกับข้ารับใช้เลยแม้แต่น้อย ที่นางกล่าวเช่นนั้นกับนางกำนัลผู้นี้ ก็เพื่อที่จะบ่งบอกถึงอำนาจในมือของนางว่าสามารถทำอันใดได้บ้าง
เมื่อนางกำนัลผู้นั้นได้ยินถ้อยคำที่เหมยลี่อินกล่าวออกมาก็ให้หวาดกลัวจนตัวสั่นเทาไปหมดทั้งตัว นางรีบกุลีกุจอเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ให้กับทุกคนได้ทราบ อย่างไม่มีตกหล่นแม้แต่น้อย
เมื่อหยุนฟางเซียนและจวิ้นอ๋องหยางจิวฮุ่ย ได้ทราบเรื่องราวทั้งหมด ก็ได้แต่นิ่งเงียบไป โดยไม่สามารถกล่าวคำใดออกมาได้
"หม่อมฉันจะกลับตำหนักของตนเองได้หรือยัง ในเมื่อเรื่องทุกอย่าง ก็กระจ่างถึงเพียงนี้แล้ว หรือถ้าหากคิดว่าหม่อมฉันทำเกินไปก็ให้ลงโทษตามกฎของตำหนักอ๋องเถิด"
หยุนฟางเซียน ได้แต่จ้องมองไปที่เหมยลี่อินด้วยสายตาเคียดแค้นชิงชัง จะให้นางทำตามกฎของตำหนักอ๋องได้เช่นไร ในเมื่อกฎก็ได้กล่าวไว้ชัดเจน ว่าหากบ่าวไพร่มีความกำเริบเสิบสานไม่เคารพ ผู้ซึ่งเป็นนายในตำหนัก จะต้องมีโทษสถานหนัก คือไม่ถูกโบยจนตายก็ต้องถูกขายออกไปเป็นทาส มิว่าจะเลือกทางใดก็ล้วนแล้วแต่เสียเปรียบทั้งสิ้น หยุนฟางเซียนจึงทำได้เพียง ข่มโทสะของตนเอาไว้และนำแม่นมหลิวกลับไปยังตำหนักของตนอย่างฝืนทน
เมื่อมาถึงยังตำหนักของตนเหมยลี่อิน ก็ดูแลทำแผลให้กับลู่ลู่ด้วยตนเอง
"คุณหนูเดี๋ยวลู่ลู่ทำเองก็ได้เจ้าค่ะคุณหนูอย่าได้ลำบากเลย"
"เจ้านั่งอยู่เฉยๆ เถิดเดี๋ยวข้าจะทำให้เจ้าเอง อย่าได้กล่าวมากความ"
"เจ้าเคยกลัวเลือดมิใช่หรือ"
ทันใดนั้น ก็มีเสียงบุรุษดังขึ้นมาจากด้านหลังของพวกนาง เหมยลี่อินไม่ต้องหันกลับไปมอง ก็สามารถรับรู้ได้ในทันทีว่าเป็นเสียงของผู้ใด
"เคยกลัวก็เลิกกลัวได้ ไยจะต้องยึดติดในเมื่อมันเป็นเพียงแค่ความรู้สึก ความรู้สึกของคนเรามันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ใช่หรือไม่เพคะ"
"คงเป็นเช่นนั้น"
"พระองค์ทรงมาผิดตำหนักหรือไม่"
ท่าทีที่ไม่สนใจกับสิ่งใดของนางทำให้จวิ้นอ๋องถึงกับต้องขุ่นมัวพระทัยเป็นอย่างมาก เหตุใดนางถึงได้เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือมากมายถึงเพียงนี้ ในตอนที่นางให้ความสนใจกับเขาๆ กลับรู้สึกเบื่อหน่ายรำคาญ แต่ในตอนที่เห็นว่านางไม่ให้ความสนใจใดๆ กับตนอีกต่อไป ในใจของเขากลับรู้สึกร้อนรุ่มอย่างบอกไม่ถูก
"เปิ่นหวางเพียงแต่จะมาบอกกับเจ้าว่าอีก 3 วัน จะถึงวันเกิดของแม่ทัพหลิวซือหม่า ให้เจ้าเตรียมตัวไปร่วมงานกับเปิ่นหวางด้วย"
"มีเท่านี้ใช่หรือไม่ งั้นพระองค์ก็เชิญเสด็จออกไปจากตำหนักของหม่อมฉันได้แล้ว หม่อมฉันต้องการจะพักผ่อนเสียที"
"เจ้าไม่ต้องรีบไล่เปิ่นหวาง เปิ่นหวางก็ไม่ได้ต้องการที่จะรั้งอยู่ในตำหนักนี้นานนักหรอก"
พูดเสร็จจวิ้นอ๋องก็เดินออกไปจากภายในตำหนักทันที ด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว เหมือนทุกครั้งที่เขามายังตำหนักนี้
เมื่อจวิ้นอ๋องได้เสด็จจากไปแล้ว เหมยลี่อินก็ให้ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตน เมื่อชาติที่แล้ว ตอนที่นางกำลังจะตายบุรุษผู้นั้นเป็นเดือดเป็นร้อนวิ่งเต้นทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้นางมีชีวิตรอด เขาถึงขั้นคุกเข่าขอร้องจวิ้นอ๋องให้ช่วยชีวิตนาง ในตอนนั้น นางก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดเขาจึงทำเช่นนั้น ก่อนที่นางจะตาย บุรุษผู้นั้นหลั่งน้ำตาออกมาอย่างเจ็บปวด และคำถามอีกคำถามหนึ่งที่ยังค้างคาในใจของนางจนถึงตอนนี้ก็คือ
'เหตุใดเขาต้องหลั่งน้ำตาเพื่อนางกัน'