EP.13 เรือนไม้ ณวดี
"ฝนเป็นอะไรปะ" ใบหม่อนเห็นว่าหินกระเด็นไปข้าง ๆ เธอจึงไม่มั่นใจว่าโดนตัวเพื่อนเธอหรือเปล่า
"อ๋อ ไม่เป็นไร ๆ มึงขี่ต่อไปเถอะหหม่อน" ปลายฝนตอบกลับเพื่อนไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทั้ง ๆ ที่พอใช้มือแตะที่แผลแล้วก็พบว่ามีเลือดออกตรงบริเวณที่ถูกปาหินใส่จริง ๆ
หอพักนักศึกษา
หลังจากที่ปลายฝนกลับมาถึงหอพัก พวกเพื่อนสนิทก็แห่กันมาปลอบขวัญเธอทันทีเลย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ปลายฝนทะเลาะกับครอบครัวตัวเองมา แต่เป็นครั้งแรกที่เธอกล้าตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้าแทน
"จริง ๆ ย้ายมาอยู่กับกูเลยก็ได้นะเว้ย" ใบหม่อนพูดกับปลายฝนด้วยใบหน้าที่จริงจัง
"มึงยังมีพวกกูอยู่นะเว้ย" เพื่อนชายใจหญิงอีกคนก็เข้ามาโอบกอดเธอด้วยอีกคน
"จริงด้วย ย้ายมาอยู่หอเดียวกันแบบนี้สนิทดีออก...ไม่ต้องกลับไปบ้านแล้วนะ" ยายทับทิมเอ่ยเสริมขึ้นด้วย
"ขอบใจพวกมึงมากเลยนะ ถ้าไม่มีพวกมึงกูก็ไม่รู้จะหนีออกจากบ้านไปไหนเลยอะ" ปลายฝนพยายามเข้มแข็งให้ได้มากที่สุดแม้ว่าสุดท้ายเธอก็ร้องไห้ออกมาด้วยความอ่อนแออยู่ดี
อย่างน้อยในเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมด เธอยังโชคดีที่ได้เจอเพื่อนดี ๆ แบบทั้งสามคนนี้
ใบหม่อนเป็นเพื่อนจากโรงเรียนเดิม ที่สนิทกันมาก ๆ และได้ทุนมาเรียนต่อด้วยกัน แต่ต่างกันตรงที่บ้านของใบหม่อนสนับสนุนด้านการเรียนทุกอย่าง
แถมเมื่อปลายปีก่อนแม่ของใบหม่อนก็เพิ่งจะตกลงปลงใจแต่งงานใหม่กับเศรษฐีชาวดูไบไปหยก ๆ เลยทำให้คุณภาพชีวิตของเธอก็ดีขึ้นมาก ๆ
แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยก็คือมิตรภาพระหว่างใบหม่อนกับปลายฝน ที่ยังคงแน่นแฟ้นเหมือนเดิม
ปลายฝนจำได้ว่าแม่ของใบหม่อนใจดีมาก ๆ และเข้าใจลูกทุกอย่าง เธอยังเคยอิจฉาใบหม่อนเลยที่มีแม่ที่แสนดีได้ขนาดนั้น
ส่วนทับทิม หญิงสาวตากลมผมสั้น กับบาสตี้ ชายหนุ่มเกย์ควีน ที่โผเข้ามากอดเธออยู่ในตอนนี้ ทั้งสองคนก็คือเพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่วันรับน้องของมหาวิทยาลัย วันสอบ วันกีฬาสี เรียกได้ว่าตลอดสองปีที่เรียนด้วยกันมา ถ้าขาดใครคนหนึ่งคนใดไป ชีวิตในมหาวิทยาลัยคงจะจืดชืดมาก ๆ
ด้วยความที่ทั้งสี่คนมีความชอบเหมือนกัน เป็นคนติดตลก ไม่ขายสวยแต่ขายขำ จึงทำให้เข้ากันได้ง่ายและกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันแบบทุกวันนี้
ตามจริงแล้วครอบครัวของบาสตี้รวยมาก แต่เขาก็เพิ่งจะทะเลาะกับพ่อแม่ไปไม่นานมานี้ เพราะพ่อของเขาดันจับได้ว่าบาสตี้มีแฟนเป็นผู้ชาย แน่นอนว่าพ่อของบาสตี้รับไม่ได้เป็นอย่างมาก เขาโกรธขนาดที่ประกาศตัดพ่อตัดลูกกันไปเลย
"หอพักห้องนี้นี่มันศูนย์รวมเด็กมีปัญหาทางครอบครัวชัด ๆ เลย" ทับทิมพูดติดตลกออกมา ทั้งสี่คนเงยหน้ามองกันและกันก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา
ส่วนทับทิมเองที่เธอตัดสินใจขอแม่ย้ายออกมาอยู่หอกับเพื่อน ก็เพราะว่าพ่อเลี้ยงคนใหม่ของเธอมักจะลวนลามเธอทางสายตาอยู่บ่อยครั้ง และเคยหนักสุดถึงขั้นที่แอบซ่อนกล้องไว้แอบถ่ายเธอในห้องน้ำด้วย
ซึ่งแม่ของทับทิมก็ทำอะไรมากไม่ได้เพราะพ่อเลี้ยงค่อนข้างมีฐานะ เธอจึงทำได้แค่เพียงรีบให้ลูกย้ายมาอยู่ที่หอกับเพื่อนไปก่อน
"ก็จริง งั้นคืนนี้เราปาร์ตี้แก๊งเด็กมีปัญหากันหน่อยดีกว่า เดี๋ยวกูเลี้ยงเองเพิ่งถูกหวยมา เดือนนี้เราอิ่มกันทั้งเดือนแน่ ๆ ไอ้เพื่อนยาก" ใบหม่อนโอบกอดเพื่อน ๆ ทุกคนแน่น ก่อนที่ทั้งสี่คนจะชวนกันออกไปซื้อของมาทำหมูกระทะนั่งกินกันในห้อง กับเบียร์เย็น ๆ อีกคนละกระป๋องสองกระป๋อง
พอได้อยู่กับเพื่อนแล้วสภาพจิตใจของปลายฝนก็เริ่มดีขึ้น เพื่อน ๆ ทั้งสามทำให้เธอสามารถยิ้มและหัวเราะได้อีกครั้ง
พอมองย้อนกลับไปที่ครอบครัว ตั้งแต่จำความได้เธอก็แทบจะไม่เคยมีความสุขเลย พวกเขาเหมือนไม่เคยเห็นเธอสำคัญเลยจริง ๆ มีแค่ย่าคนเดียวที่รักเธอ
แต่ย่าก็จากโลกนี้ไปแล้ว ตอนนี้เธอไม่เหลือใครที่จะเรียกว่าครอบครัวได้อีกแล้ว
"อย่าเศร้าดิวะ" ใบหม่อนที่เห็นว่าปลายฝนซึมไปก็รีบชวนคุยทันที
"ความทุกข์อยู่กับเราได้ไม่นาน ...เงินก็เช่น" บาสตี้ยกกระป๋องเบียร์ขึ้นมาพร้อมชนกับเพื่อน ๆ
"เออจริง" ทับทิมหัวเราะอย่างเห็นด้วย ทั้งสี่คนนั่งกินหมูกระทะ จิบเบียร์ตั้งแต่เย็นไปจนดึกดื่น
.....เช้าวันต่อมา…..
ก๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูห้องใบหหม่อนดังขึ้นแต่เช้าตรู่
"ป้าดวงแน่เลยอะ" ใบหหม่อนลุกพรวดขึ้นมาทันที ซึ่งเพื่อนอีกสามคนก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
"เชี่ยแล้ว!" ทั้งสามคนหันมองหน้ากัน ก่อนจะวิ่งหาที่หลบทันที
ป้าดวงก็คือ ป้าคนคุมหอพักนักศึกษาที่เขี้ยวมากเป็นที่หนึ่งของมหาวิทยาลัยนี้เลย
ก๊อก ๆ ๆ
"เปิดประตูเดี๋ยวนี้เลย" เสียงป้าดวงเคาะดังมากขึ้นกว่าเดิม
"ค่ะ ๆ ๆ ป้าดวง" ใบหม่อนรีบเดินไปเก็บเตาหมูกระทะไว้ใต้เตียงทันที ก่อนที่เพื่อนทุกคนจะวิ่งไปซ่อนตามมุมต่าง ๆ ทั้งในตู้เสื้อผ้า ห้องน้ำ ระเบียง
แอ๊ด...ใบหม่อนเดินไปเปิดประตูพร้อมกับทำท่าทางงัวเงีย ๆ เหมือนเพิ่งตื่นนอน ทั้งที่เธอตื่นตัวอย่างเต็มที่แล้วในตอนนี้
"กว่าจะเปิดให้ได้นะแม่คุณ" ป้าดวงเดินตรงเข้ามาถึงก็บ่นให้ใบหม่อนทันทีด้วยน้ำเสียงดุ ๆ พร้อมกับกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่ง
"ใบทวงค่าหอเหรอคะป้าดวง แต่เหมือนแม่บอกว่าจ่ายล่วงหน้าไปหกเดือนเลยนะคะ" ใบหม่อนขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจ
"ไม่ใช่ใบทวงเงินจ้ะ ใบไล่ออกจากห้องเพราะทำผิดกฎของหอมาสามครั้งแล้ว" ป้าดวงพูดพร้อมกับเดินวนไปรอบ ๆ ห้อง
"ข้อแรก ห้ามประกอบอาหารภายในหอ" เธอหยิบเอาเตาหมูกระทะของเด็ก ๆ ออกมาจากใต้เตียงในทันที
"ข้อสอง ห้ามพาบุคคลภายนอกเข้ามานอนในหอใน" ป้าดวงเดินมาเปิดประตูตู้เสื้อผ้าและห้องน้ำ ดึงเอาทั้งทับทิมและปลายฝนออกมาทีละคน ๆ
"และข้อสาม ห้ามไม่ให้พาผู้ชายเข้าหอพักหญิงโดยเด็ดขาด" ป้าดวงพูดจบก็เดินไปเปิดที่ระเบียงและดึงชายกระโปรงของยายบาสตี้ เดินตามออกมาด้วยทันที
"ใส่กระโปรงขนาดนี้ ยังจะเรียกผู้ชายได้อีกเหรอคะคุณพี่ดวงขา" บาสตี้ยิ้มเจื่อน ๆ ทำทีพูดจาอวยใส่ป้าดวงไป
"เอาล่ะ ๆ ยังไงครั้งนี้ก็ต้องย้ายออกกันแล้วจริง ๆ กฎยังไงก็ต้องเป็นกฎ" ป้าดวงส่ายหน้าใส่เด็ก ๆ แต่ถึงแม้ท่านจะดูดุ ๆ แต่ลึก ๆ ท่านก็เข้าใจพวกเด็กวัยรุ่นดี
"นี่ถ้าพวกเธออยากจะอยู่รวมกันจริง ๆ ทำไมไม่ลองไปหาบ้านเช่าแถว ๆ มหาวิทยาลัยอยู่รวมกันดูล่ะ"
"ป้าว่าพวกเธอเองก็โต ๆ กันแล้วนะ ออกไปอยู่นอกหอใน น่าจะสะดวกสบายกว่าเยอะ"
"ค่าใช้จ่ายก็น่าจะถูกลงด้วยนะ ถ้าหารกันสี่คนน่ะ"
"ทำอาหารก็ได้ บ้านก็กว้างขึ้น ทีนี้จะพาใครมาอยู่ก็ไม่ผิดกฎแล้ว" ป้าดวงเอ่ยสั่งสอนใบหม่อน พร้อมกับมองหน้าของเด็กแต่ละคนอย่างนึกสงสาร
"หนูกับเพื่อน ๆ คงไม่มีเงินมากพอที่จะเช่าบ้านแถวนี้หรอกค่ะป้าดวง" ใบหม่อนตอบกลับไปด้วยใบหน้าจ๋อย ๆ เพราะเธอเข้าใจสถานการณ์ทางการเงินของเพื่อนแต่ละคนดี
"พวกเราติดความหรูหรา ความสบายกันไหมล่ะ" ป้าดวงกวาดสายตามองทุกคนอย่างพิจารณาอีกครั้ง
"คะ?" ทั้งสี่คนขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจคำถามของป้าดวงสักเท่าไร
"ก็ถ้าพวกเอ็งไม่ติดหรู ป้าก็พอจะมีบ้านไม้ธรรมดา ๆ แถวหลังมหาวิทยาลัยแนะนำให้อยู่บ้าง"
"สนใจค่ะ ๆ " ทั้งสี่คนเห็นพ้องกันในทันที
"มันเป็นบ้านไม้ธรรมดา ๆ บ้านไม่มีแอร์ ไม่มีทีวีอะไรเลย อยู่แถว ๆ ทางซอยตัน ถัดจากหอเราไปสองซอย"
"รู้สึกว่าจะติดราคาไว้แค่สี่พัน ยังไงก็ลองไปดูกันเอาเองแล้วกัน แต่ยังไงก็ต้องรีบย้ายออกภายในสองวันนะ ไม่งั้นเงินมัดจำล่วงหน้าป้าจะไม่ทำเรื่องขอคืนให้ เพราะเราละเมิดกฎของหอพัก" ป้าดวงพูดทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นก่อนจะรีบเดินกลับไป
เรือนไม้ ณวดี
ทั้งสี่คนขี่มอเตอร์ไซค์มาสองคัน เพื่อมาดูบ้านหลังที่ป้าดวงแนะนำเอาไว้ ซึ่งบ้านหลังสุดท้ายที่ตั้งอยู่สุดซอยตันเลยก็คือ บ้านไม้ที่ไม่ได้ดูเก่าอะไรเลย ออกแนวคลาสสิกเสียด้วยซ้ำ
และแน่นอนว่าเด็กคณะโบราณคดีอย่างพวกเขาทั้งสี่คน มีเหรอจะไม่ชอบอะไรที่มันดูเก่า ๆ ขลัง ๆ แบบนี้
"สวยมาก" ปลายฝนมองที่ตัวบ้าน ด้วยแววตาที่ตะลึงในความสวยงามของบ้านเรือนไทยโบราณ ที่ไม่คิดเลยว่าจะมีอยู่ในตัวเมืองกรุงเทพด้วย
"เรือนไม้ ณวดี " ทับทิมอ่านป้ายชื่อพร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบ ๆ
"ราคาเช่าสี่พันบาท ได้บ้านทั้งหลังขนาดนี้เลยเหรอ" บาสตี้หยิบป้ายประกาศหาผู้เช่าขึ้นมาอ่าน ก่อนจะกดโทรศัพท์โทรหาทางเจ้าของบ้านในทันที
ซึ่งโชคดีว่าทางคนที่ปล่อยเช่าบ้านเองก็แวะมาทำธุระแถว ๆ นี้ก็เลยเป็นโอกาสดีที่จะเปิดบ้านพาพวกเด็ก ๆ เข้าไปดูภายในตัวบ้านได้เลยในช่วงเย็นวันนี้
ภายในบ้านไม่ถึงกับเก่ามาก มีฝุ่นเกาะเล็กน้อยแต่ก็ถือว่ายังพอจะปัดกวาดเช็ดถูให้เสร็จในวันเดียวได้แน่ ๆ เพราะมีกันอยู่ตั้งสี่คน
"นี่พี่จะให้กุญแจพวกเราไว้เลยเหรอคะ เรายังไม่ได้จ่ายเงินเลยนะ" ใบหหม่อนลังเลที่จะรับกุญแจบ้านเอาไว้ แต่ทางผู้ให้เช่าก็บอกว่าไม่เป็นไร เพราะเห็นว่าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยดังอยู่แล้ว คงไม่มีอะไรที่น่ากังวลใจ