เย็นนี้สองพี่น้องไม่อดตาย นอกจากข้าวของเครื่องใช้แล้ว ยังมีอาหารแห้งที่ชาวบ้านแบ่งมาให้ พอให้ทั้งสองประทังชีวิตไปอีกระยะ
“วันนี้กินข้าวต้มผักไปก่อนนะ พรุ่งนี้พี่จะเข้าไปที่คอมมูนลงทำงานในบ้านของเราเอง ต่อไปอาหารที่ได้มาย่อมต้องเป็นของเราไม่ต้องแบ่งให้ใครอีกแล้ว อีกทั้งพี่จะขอไก่ไข่มาเลี้ยงด้วย อาฉีของพี่จะได้มีไข่ไก่กินอย่างไรล่ะ”
“ครับพี่ใหญ่” ฉีหลินตอบรับและรีบไปช่วยพี่สาวหยิบจับสิ่งของเพื่อหุงหาอาหาร แม้จะตัวเล็ก แต่ฉีหลินกลับไม่นิ่งนอนใจ พยายามช่วยเท่าที่ช่วยได้
ลี่อินมองการกระทำของน้องชายด้วยรอยยิ้ม แม้จะต้องอยู่กันเพียงสองคน แต่เธอกลับมีความสุขยิ่งกว่าอยู่บ้านใหญ่นัก อย่างน้อยเธอและน้องชายไม่ต้องกินเพียงน้ำข้าวอีกแล้ว และแต้มการทำงานก็น่าจะพอให้เธอและน้องชายอยู่กันได้ แม้จะไม่สบายนักก็ตาม
ทันทีที่อาหารเสร็จเรียบร้อย สองพี่น้องจึงนั่งกินกันด้วยรอยยิ้ม ถึงจะเป็นเพียงข้าวต้มผักเท่านั้น
หลังจากจบมื้อเย็น สองพี่น้องต่างช่วยกันทำความสะอาด ก่อนจะปูผ้านอน และหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า
วันต่อมา หลังจากเตรียมข้าวไว้ให้น้องชายเสร็จแล้ว ลี่อินจึงเดินมายังคอมมูนเพื่อขอทำงานในส่วนของตนเอง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับบ้านใหญ่อีก ที่ผ่านมาแม้เธอจะทำงานที่นี่ แต่นั่นก็เพียงเก็บผักเท่านั้นซึ่งแต้มการทำงานไม่มาก เธอจึงไม่คิดจะขอคืน
“แน่ใจหรือว่าต้องการทำงานแต้มแบบผู้ใหญ่ น้าว่ามันหนักไปหรือไม่” หัวหน้าคอมมูนนามว่าตู้หมิงเอ่ยถามเด็กน้อยด้วยความเป็นห่วงและสงสารในโชคชะตาของสองพี่น้องบ้านสามจางยิ่งนัก นอกจากจะสูญเสียพ่อแม่แล้วยังถูกผู้เป็นย่าไล่ออกจากบ้านอีก คงไม่มีใครโชคร้ายเหมือนลูกบ้านสามจางอีกแล้ว
“แน่ใจค่ะน้าหัวหน้าตู้ ฉันทำได้” ลี่อินยืนยันหนักแน่น สุดท้ายแล้วตู้หมิงจึงยอมให้ลี่อินไปทำงานในส่วนของผู้ใหญ่
หลังจากได้รับอนุญาตให้ทำงาน ลี่อินจึงเดินไปยังส่วนของแปลงงาน ช่วงนี้อยู่ในฤดูเพาะปลูก ดังนั้นเด็กน้อยจึงดำนาไม่ต่างกับผู้ใหญ่คนหนึ่ง
ชาวบ้านต่างมองมาที่เธอด้วยสายตาเวทนา เนื่องจากลี่อินอายุเพียงแปดขวบเท่านั้น แต่กลับต้องมาทำงานไม่ต่างกับผู้ใหญ่คนหนึ่ง
“ว่าแล้วก็สงสารลูกสาวบ้านสามจางนะ พ่อแม่ตายไม่ทันไรต้องถูกย่าแท้ ๆ ไล่ออกจากบ้าน ไม่รู้ว่าคนบ้านจางจิตใจทำด้วยอะไร”
“นั่นสิ หลานฉันอายุเท่านี้มีหน้าที่เรียนอย่างเดียว วันหยุดก็มาช่วยเก็บผักเล็กน้อยเท่านั้น เห็นแล้วอนาถใจแท้”
“นั่นสิ หลานฉันก็เหมือนกัน สงสารลี่อินนะ”
ชาวบ้านจับกลุ่มคุยกันด้วยความสงสาร ไม่คิดว่าชะตาของลูกสาวบ้านสามจางจะเป็นแบบนี้ ดูสิอายุเพียงแปดขวบกลับต้องเลี้ยงดูน้องชายวัยห้าขวบด้วยตัวเอง
จางลี่อินก้มหน้าทำงานไม่รับรู้ว่าชาวบ้านจะพูดถึงเธอเช่นไร และไม่สนใจใครด้วยเช่นกัน คิดเพียงแต่ว่าจะทำอย่างไรให้งานออกมาได้มากที่สุด เพื่อแต้มคะแนนจะได้มากตาม ดังนั้นมีเพียงป้าข้างบ้านเท่านั้นที่มาพูดคุยด้วย
“เย็นนี้เลิกงานแล้วแวะบ้านป้าหน่อยนะ เราชื่อลี่อินใช่ไหม” นางต้วนเอ่ยทักทายและชวนพูดคุยด้วยท่าทีเป็นมิตร ทำให้ลี่อินเงยหน้าจากงานและตอบกลับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“ค่ะป้า ฉันชื่อลี่อิน ว่าแต่ป้าให้ลี่อินไปที่บ้านทำไมหรือคะ” ลี่อินเอ่ยถามอย่างสงสัยระคนแปลกใจ
“เรียกป้าว่าป้าต้วนเถอะ คือเมื่อวานป้าเห็นชาวบ้านเอาผักมาให้ ไม่มีไข่ไก่เลย บ้านป้าพอจะมีเหลืออยู่ อีกทั้งป้าเองก็อยู่กับตาแก่สองคน ลูกสาวป้าและลูกชายทำงานในเมือง นาน ๆ กลับมาสักครั้ง เดี๋ยวป้าแบ่งให้”
ลี่อินคิดหนัก ไม่ใช่เธอไม่อยากได้ไข่ เธอต้องการเอามาทำอาหารให้น้องชายกิน แต่เพราะราคาไข่แพง และแต่ละบ้านเลี้ยงไก่ได้สองคนต่อหนึ่งตัวเท่านั้น เธอจึงมีท่าทางเกรงใจไม่น้อย
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่ บ้านป้าอยู่ใกล้ ๆ กับลี่อินนั่นแหละ เลิกงานแล้วกลับบ้านพร้อมกัน ป้าจะแวะเอาให้ อย่าเกรงใจเลย หากคิดมาก เมื่อไรที่ลี่อินมีค่อยเอามาคืนป้า ตกลงไหม”
ลี่อินรู้สึกขอบคุณป้าต้วนมาก และคิดว่าเธอจะไม่เอาของมาเปล่า ๆ หากวันใดสามารถยืนได้ด้วยตนเอง เธอพร้อมจะตอบแทนผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือเธอเช่นกัน
“ขอบคุณค่ะป้าต้วน”
จากนั้นทั้งสองต่างก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน แต่ทว่ายังมีการพูดคุยบ้าง นี่จึงทำให้ลี่อินรู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย และดีใจว่าวันนี้จะมีไข่ให้น้องชายได้กินแล้ว ไม่ต้องกินข้าวต้มกับผักเหมือนเช่นเมื่อวานและเช้าวันนี้อีก
เมื่อถึงเวลาเลิกงาน ลี่อินจึงเดินกลับบ้านพร้อมกับนางต้วน และแวะบ้านนางต้วนอย่างที่คุยกันไว้
“เข้ามาก่อนสิลี่อิน” นางต้วนเอ่ยชวนเพราะเห็นว่าเด็กน้อยไม่กล้าเข้ามาในรั้วบ้าน
“ขอบคุณค่ะป้า” ลี่อินเอ่ยขอบคุณก่อนจะก้าวเข้าในเขตบ้านของนางต้วน
เมื่อสายตาเห็นแปลงผักจึงเดินไปตักน้ำเพื่อมารดน้ำให้ อย่างน้อยเวลานี้เธอตอบแทนผู้มีพระคุณได้แค่นี้จริง ๆ
นางต้วนเข้ามาหยิบอาหารและของใช้บางอย่างให้ นั่นคือเสื้อผ้าที่คิดว่าลี่อินและน้องชายพอจะใส่ได้ หากดูใหญ่ไป เธอจะช่วยแก้ไขให้เอง นี่เป็นเสื้อผ้าของลูก ๆ เธอที่เธอเก็บไว้นานแล้วตั้งแต่ลูก ๆ ยังเล็ก อาจจะเก่าไปบ้าง แต่ดีกว่าเสื้อผ้าที่มีรอยปะแทบจะทั้งตัวที่ทั้งสองใส่กันอยู่
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วจึงรีบออกมาหาลี่อินทันที
“นี่คือเสื้อผ้าของลูกชายและลูกสาวป้าสมัยยังเด็ก ไม่รู้ว่าพอจะใส่ได้ไหม หากใหญ่ไปเอากลับมาให้ป้านะ ป้าจะแก้ให้” นางต้วนเอ่ยขึ้น ก่อนจะส่งตะกร้าไข่ไก่ยื่นให้อีกครั้ง
“ไม่เป็นไรค่ะป้า ฉันพอจะเย็บผ้าเป็น แค่นี้ก็มากเกินพอแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับข้าวของมากมายนี้นะคะ”
ลี่อินน้ำตาซึมไม่น้อยเมื่อได้รับข้าวของมากมายจากคนที่เพิ่งรู้จักกัน พอย้อนกลับไปคิดถึงบ้านจาง บ้านที่เธอเคยอยู่มาตั้งแต่เกิดกลับรู้สึกน้อยใจและเสียใจอย่างห้ามไม่อยู่ ทว่าเด็กน้อยกลับใช้หลังฝ่ามือปาดน้ำตานั้นทิ้ง และคิดว่าตนเองจะอ่อนแอไม่ได้ เธอยังมีน้องชายที่ต้องดูแลอยู่อีกหนึ่งคน
“อย่าร้องเลยลี่อิน ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว เวลานี้เราไม่ได้ตัวคนเดียว ยังมีน้องชายอีกหนึ่ง ป้าไม่ได้บอกว่าอ่อนแอไม่ได้ ทุกคนย่อมมีวันเหนื่อยล้า เพียงแค่อย่าถอยให้กับโชคชะตา ป้าเชื่อว่าพ่อกับแม่ต้องมองลี่อินและน้องชายจากสวรรค์ หากมีเรื่องอะไรที่ตัดสินใจไม่ได้ ให้มาหาป้านะลูก แม้ว่าเราเพิ่งจะรู้จักกัน แต่ป้ายินดีจะช่วยเหลืออย่างสุดกำลังเท่าที่ป้ามี” นางต้วนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เด็กอายุแค่นี้กลับต้องแบกภาระอันหนักอึ้ง ไม่รู้ว่าภายในใจนั้นต้องเข้มแข็งแค่ไหนถึงยืนได้ด้วยตัวเองเช่นนี้
“ค่ะป้า ลี่อินยังมีน้อง ลี่อินจะอ่อนแอไม่ได้ ขอบคุณมากนะคะสำหรับทุกอย่าง รวมถึงกำลังใจ” ลี่อินเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะขอตัวกลับบ้านเพราะเป็นห่วงน้องชาย
นางต้วนมองแผ่นหลังที่ดูจะหนาวเหน็บของลี่อินไปสุดสายตา เธอเองใช่ว่าจะมีฐานะ เพียงแต่ไม่ได้ลำบากเพราะลูก ๆ ส่งเงินกลับมาให้ทุกเดือน ทำให้จึงพอจะช่วยเหลือเด็กน้อยที่ชะตาอาภัพนี้ได้บ้าง
“สู้ต่อไปนะลี่อิน ป้าเอาใจช่วย” นางต้วนให้กำลังใจไปกับสายลม ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าบ้านเพื่อไปเตรียมอาหารให้กับสามี