หลังจากไม่มีพ่อแม่แล้ว จางลี่อินต้องทำงานเป็นสองเท่าให้กับบ้านจางเพื่อแลกอาหารประทังชีวิตของเธอและน้องชาย ทว่าบ้านใหญ่ยังไม่พอใจและคิดว่าไม่ควรจะเลี้ยงดูเด็กสองคนนี้อีก สะใภ้ใหญ่จึงเข้ามาพร้อมสะใภ้รองปรึกษาเรื่องนี้กับแม่สามี
“แม่คะ เวลานี้เจ้าฉีหลินห้าขวบแล้ว ใกล้จะต้องเข้าเรียนแล้วนะคะ ตัวลี่อินเป็นเด็กหญิงไม่ต้องเข้าเรียนก็ไม่เป็นอะไร แต่คำสั่งเสียของพ่อสามีหลานชายในบ้านต้องได้เรียนทุกคนนะคะ”
เรื่องนี้ปู่จางก่อนจะจากไปเคยสั่งเสียไว้ แม้จะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม ทว่าในหมู่บ้านนี้ยึดติดกับคำสั่งเสียของบรรพบุรุษยิ่งนัก นั่นจึงทำให้สองสะใภ้ปรึกษากันก่อนจะเดินเข้ามาคุยกับแม่สามี
“จริงสิ อีกไม่นานเจ้าฉีหลินจะต้องเข้าเรียนแล้ว แต่ฉันจะหาวิธีอะไรไล่สองคนนั้นล่ะ” ย่าจางเห็นด้วยที่จะไล่หลานทั้งสองออกไปจากบ้าน แต่จะหาวิธีไหนกันล่ะที่ไม่โดนชาวบ้านประณาม
“ต้องมีใครแกล้งป่วยสักคน แล้วบอกว่าสองคนนั้นเป็นตัวซวย ยังไงน้องสามและน้องสะใภ้สามก็ตายไปแล้ว” สะใภ้รองออกความคิดเห็นบ้าง แม้ว่าเธอจะไม่ได้เกลียดบ้านสาม แต่ถ้าต้องส่งลูกชายบ้านสามเรียนด้วย ความเห็นแก่ตัวที่มีย่อมไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น
“นั่นสิแม่ ความคิดของเฟิ่งจิ่งไม่เลวเลยนะ ว่าแต่เราจะให้ใครแกล้งป่วยดีล่ะ” สะใภ้ใหญ่เห็นด้วยกับความคิดของน้องสะใภ้ เพียงแต่ใครกันล่ะที่จะทำหน้าที่แกล้งป่วย
ย่าจางครุ่นคิดตามสะใภ้ทั้งสอง หากเธอไล่เด็กทั้งสองคนโดยไม่มีเหตุผล ชาวบ้านคงได้ประณามเธอแน่ แต่หากเธอแกล้งป่วยแล้วบอกว่าทั้งสองเป็นตัวซวย นอกจากคร่าชีวิตพ่อกับแม่มันไปแล้ว เธอยังมีอาการป่วยอีก
เหตุผลแค่นี้ชาวบ้านน่าจะไม่มีปัญหา
“เอาอย่างที่พวกหล่อนเสนอมาก็แล้วกัน เวลานี้ฉันไม่ต้องการให้เด็กสองคนนั้นอยู่บ้านจางอีกต่อไป ฉันจะแกล้งป่วยเอง” ในที่สุดย่าจางตกลงทำตามแผนการของสะใภ้ทั้งสองทันที
อาการป่วยกำมะลอของย่าจางล่วงเลยเข้าสู่วันที่เจ็ด เวลานี้ชาวบ้านต่างสงสัยกันว่าย่าจางอาจจะป่วยเหมือนบ้านสามและไม่นานคงจากไปเช่นเดียวกัน
“สองคนตามฉันมาหน่อย แม่สามีเรียกหา” สะใภ้ใหญ่เดินมาตามเด็กสองคนให้เข้าไปพบย่าจาง ส่วนสะใภ้รองนั้นทำหน้าที่ไปตามหัวหน้าหมู่บ้านและกรรมการของหมู่บ้านมาเช่นกัน
“ย่าเรียกอินอินกับอาฉีมามีเรื่องอะไรหรือคะ” ลี่อินเอ่ยถาม ทั้งที่ในใจนั้นมีลางสังหรณ์ไม่ดีเท่าไร
ฉีหลินนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา เพียงแต่กุมมือพี่สาวไว้แน่น แม้จะอายุเพียงห้าขวบแต่ฉีหลินกลับรู้ความและรู้ว่าใครประสงค์ร้าย ที่สำคัญเด็กน้อยกลัวผู้เป็นย่าและป้าสะใภ้มาก
“มาก็ดีแล้ว ฉันจะไม่โยกโย้ แต่จะบอกว่าจากนี้ไปแกทั้งสองคนไม่ใช่คนบ้านจางอีก เวลานี้ฉันให้ป้าสะใภ้รองพวกแกไปตามท่านผู้นำและกรรมการหมู่บ้านมาแล้ว ดังนั้นเตรียมเก็บของไปจากที่นี่เสีย” ย่าจางไล่อย่างไม่ไว้หน้า ทำให้ผู้นำและกรรมการหมู่บ้านที่เพิ่งมาถึงต้องเอ่ยเตือนสติ
“นางจาง เกินไปหรือไม่ ลี่อินกับฉีหลินอายุเพียงเท่านี้ ในเมื่อเด็กทั้งสองคนสูญเสียพ่อกับแม่ไปแล้ว เธอจะไม่เป็นร่มเงาให้หน่อยหรือ”
“หัวหน้าหมู่บ้านแหกตาดูก่อนจะตำหนิฉัน ก่อนหน้านี้พ่อแม่มันป่วยจนตาย เวลานี้ฉันป่วยมาหลายวัน และฉันไม่อยากตายเหมือนกัน ในเมื่อเด็กทั้งสองคนเป็นตัวซวย ทำให้พ่อแม่ตาย ต่อจากนี้ฉันไม่ยินดีที่จะเลี้ยงดูอีก”
ไม่ว่าใครได้ยินคำกล่าวนี้ของย่าจางก็ได้แต่เบือนหน้าหนี ไม่คิดว่าหญิงชราผู้นี้จะใจดำถึงขั้นทอดทิ้งหลานทั้งสองคนให้เผชิญชีวิตกันตามลำพัง
สุดท้ายเมื่อคัดค้านไม่ได้ หัวหน้าหมู่บ้านจึงทำหนังสือตัดขาดและหนังสือแยกบ้านให้กับสองพี่น้องที่มีชะตาอาภัพยิ่งนัก
หลังจากลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่าย กรรมการหมู่บ้านคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้เพราะย่าจางไม่ระบุทรัพย์สินที่ให้หลานทั้งสองคนแม้แต่เฟินเดียว
“แล้วนี่ไม่คิดจะแบ่งอาหารหรือว่าเงินให้หลานหน่อยหรือนางจาง อย่างน้อยยังพอให้เด็กทั้งสองได้พอประทังชีวิตไปก่อน”
“ไม่มีหรอก ลูกหลานบ้านนี้ออกจะเยอะแยะ ตัดขาดกันแล้วก็ไปให้พ้นสิ อย่ามาอยู่รกหูรกตาอีก” ย่าจางกล่าวอย่างไร้เยื่อใยก่อนจะหมุนตัวกลับห้องนอน ปล่อยให้สะใภ้ทั้งสองคนรับหน้าต่อ
ลี่อินรับรู้ชะตากรรมว่าโดนไล่ออกจากบ้านแล้ว หลังจากนี้เธอและน้องชายจะซุกหัวนอนที่ไหนกันเล่า
หัวหน้าหมู่บ้านพูดอะไรมากไม่ได้ ได้แต่สงสารชะตากรรมของเด็กทั้งสอง คนหนึ่งก็แปดขวบอีกคนก็ห้าขวบเท่านั้น แล้วหลังจากนี้จะดำรงชีวิตกันได้อย่างไร
“ทั้งสองไปเก็บของเถอะ ท้ายหมู่บ้านพอจะมีบ้านร้างอยู่ ไม่รู้ว่าทั้งสองจะอยู่กันได้หรือไม่ เดี๋ยวลุงจะเกณฑ์ชาวบ้านไปช่วยซ่อมแซมก็แล้วกัน”
นี่คือสิ่งเดียวที่เขาช่วยได้ และอาจจะมีอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ทั้งสองพอประทังชีวิตกันได้อีกสักระยะ
ลี่อินพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องของตนเองพร้อมกับน้องชาย
“พี่ใหญ่ เราโดนย่าไล่ออกจากบ้านใช่ไหม ทำไมเราต้องออกจากที่นี่ด้วย เราไม่ใช่หลานของย่าหรือครับ” เด็กชายถามด้วยความไร้เดียงสา แม้จะอายุเพียงห้าขวบ แต่กลับรู้ความยิ่งนัก
“ต่อไปนี้เราต้องอยู่กันเพียงสองคน อาฉีอยู่ได้ไหม”
“ได้สิพี่ใหญ่ อาฉีอยู่ที่ไหนก็ได้ ขอแค่ได้อยู่กับพี่ใหญ่ก็พอ”
เพียงแค่คำพูดของน้องชาย ทำให้ลี่อินต้องคว้าร่างของฉีหลินมากอด เวลานี้พ่อแม่จากไปแล้ว ที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของฉีหลินคือเธอ และเธอจะอ่อนแอไม่ได้อีกแล้ว
“อืม เช่นนั้นเก็บของกันเถอะ”
สองพี่น้องต่างช่วยกันเก็บของที่มีไม่มาก แต่ไม่ลืมเก็บเสื้อผ้า ของเก่า ๆ ของพ่อแม่ รวมถึงป้ายวิญญาณทั้งสองคนไปด้วย จากนั้นจึงพากันออกมาจากห้อง
“เรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่”
“ค่ะลุงผู้นำ”
“ไปกันเถอะ” หัวหน้าหมู่บ้านเอื้อมมือมาช่วยเด็กทั้งสองถือของ โดยมีชาวบ้านที่เห็นใจและสงสารในโชคชะตาของทั้งสองยื่นมือเข้ามาช่วยด้วยเช่นกัน ทำให้สองพี่น้องถือเพียงป้ายวิญญาณของพ่อแม่เท่านั้น ก่อนเดินไปยังท้ายหมู่บ้านที่มีบ้านร้างหลังนั้นอยู่
“เอาล่ะ มาถึงแล้ว พอจะอยู่กันได้ไหม” หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยถาม หลังจากเดินมาถึงบ้านหลังนี้
ลี่อินมองไปยังบ้านร้างที่สภาพโทรมไม่น้อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีที่ซุกหัวนอน
“อยู่ได้ค่ะ ขอบคุณลุงหัวหน้าหมู่บ้านมากนะคะ”
“เช่นนั้นลุงจะขอให้ชาวบ้านชายมาช่วยซ่อมแซมบ้านให้ก่อน และข้าวของเครื่องใช้ลุงจะขอบริจาคของเก่า ๆ จากชาวบ้านให้นะ หากลุงมีเงินลุงจะหาซื้อของใหม่ให้” หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยขึ้น บ้านเขาเองใช่ว่าจะมี เรื่องการหยิบยื่นความช่วยเหลือให้สองพี่น้องนี่คงทำได้ไม่มากนัก
จากนั้นหัวหน้าหมู่บ้านจึงเกณฑ์ชาวบ้านให้มาช่วยซ่อมแซมบ้านร้างหลังนี้ให้สองพี่ได้อยู่อาศัยและพักพิงต่อไป
ส่วนเรื่องข้าวของเครื่องใช้ ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านรับหน้าที่เดินขอบริจาคตามบ้านพร้อมกับสหายสองสามคน แม้ว่าบ้านแต่ละหลังจะไม่มีฐานะ แต่ก็มีคนช่วยมาอย่างละเล็กละน้อย สุดท้ายก็มีข้าวของให้สองพี่น้องได้ดำรงชีพกันต่อไป แม้ของบางอย่างอาจจะมีสภาพไม่สู้ดีนัก แต่ก็ยังใช้ได้
และตัวลี่อินเองก็ไม่คิดรังเกียจ เพราะนี่คือน้ำใจของชาวบ้าน น้ำใจนี้ลี่อินไม่มีวันลืม หากเมื่อไรที่เธอพอจะมี เธอพร้อมที่จะตอบแทนทุกคนที่ช่วยเหลือเช่นกัน