เยี่ยนจื่อ มารดาเจียนหลิวเป็นสาวใช้ในบ้าน ติดตามรับใช้ เหม่ยจู ภรรยาของปรมาจารย์ฉีหย่งชางตั้งแต่เป็นเด็ก แต่หลังจากเหม่ยจูป่วยอย่างไม่ทราบสาเหตุ นางได้ไปรักษาตัวที่อารามบัวแดง ส่วนเยี่ยนจื่ออยู่ที่สกุลฉีต่อไป กระทั่งเติบใหญ่เป็นสาวสวยและเป็นที่หมายตาของหยางจง ลูกชายคนเล็กของตระกูลฉี
และในเวลาต่อมา นางได้ให้บุตรชายแก่ฉีหยางจง นามว่า เจียนหลิว แต่ด้วยความที่นางเป็นคนสวย และมีมารดาเป็นนางคณิกา เยี่ยนจื่อจึงชอบให้ท่าผู้ชายอยู่เสมอ จนมีคนกล่าวว่าบุตรในท้องของนางอาจมิใช่ลูกชายของฉีหยางจง!!
กระนั้นด้วยความงาม และช่างเจรจา ฉีหยางจงจึงหลงใหลเยี่ยนจื่อเป็นอย่างมาก เป็นเหตุให้กุ้ยเซียน หญิงสาวที่เหม่ยจูวาดหวังให้แต่งงานด้วยช้ำใจหนัก
กระนั้น นางซึ่งอยู่ในอารามบัวแดงก็มองเห็นความไม่ชอบมาพากล
จึงไหว้วานผู้เฒ่าถาน และลู่เหลียนจัดการแต่งงานระหว่างฉีหยางจงและกุ้ยเซียน ผู้เป็นบุตรบุญธรรมเหม่ยจูอย่างเร่งด่วน
แต่ว่าเรื่องต่างๆ ไม่ได้ง่ายอย่างที่เหม่ยจูวางแผน งานแต่งในคืนนั้นเป็นวิวาห์สีเลือด มีคนตายจากการถูกวางยาพิษ ซึ่งต่างกระอักเลือดพุ่งออกมาเป็นสาย และหลายคนต่างโยนความผิดให้แก่กัน
การตายของหลายสิบชีวิตในคืนนั้น ทำให้เหม่ยจูรู้สึกผิดบาปจนป่วยเรื้อรังต่อมา และตัดสินใจไม่คืนกลับตระกูลฉีอีก ก่อนจะออกบวชที่อารามบัวแดงจนได้ ฉายาว่า ซิ่นซือซือไท่ ผู้ปรุงทิพย์โอสถ
“ฮ่าๆ ในที่สุดข้าก็รู้ว่าท่านไม่ได้มีเลือดของบิดาข้าในร่างกายแม้แต่นิด” ฉีหยางซิ่วหัวเราะอย่างดูแคลนอีกฝ่าย
“ตอนนี้คงไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่าการชำระความให้สำนักตะวันไร้พ่าย เพราะเจ้านำความอัปยศมาสู่สำนักและทำให้พี่น้องในเรือนหมู่เทพเซียนอักษรเสื่อมเสีย เป็นแบบนี้ แม้แต่ศาลบรรพชนเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์จะเหยียบ”
“หากข้าทำสิ่งเลวร้ายอันใด ก็คงไม่ได้เศษเสี้ยวปลายเล็บที่ท่านได้กระทำ ที่สำคัญ ท่านกับมารดาก็เป็นเพียงคนต่ำต้อย เช่นนั้นอย่ามาอวดอ้างถึงศาลบรรพชนของข้า” ดวงตาฉีหยางซิ่ววาวโรจน์
“บัดซบ ถึงอย่างไรข้าก็เป็นพี่ชายของเจ้า คิดหรือว่าข้าไม่มีสิทธิ์อบรมสั่งสอน”
“ฮึ! คนชั่วช้าทำลายตระกูลข้าจนย่อยยับ อย่างท่านกับมารดายังจะมีหน้ามาสั่งสอนข้าอีกหรือ”
หัวใจฉีเจียนหลิวคล้ายมีเพลิงไฟแผดเผา เขาก้าวเข้ามาใกล้ฉีหยาง
ซิ่ว ในมือมีมีดสั้นเล่มหนึ่ง เขาจงใจใช้มันกรีดใบหน้างามของอีกฝ่าย
“เจ้าล่วงรู้ความลับดีเช่นนี้ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าได้ตายสมใจ อยู่อย่างทรมานต่อไปเถอะ และคอยดูข้าเป็นประมุขของขุนเขาไหมงาม”
“ฮึ ท่านอาจะไม่มีวันได้เสวยสุข หากข้ามีชีวิตอยู่ ท่านมิอาจครอบครองสิ่งใดที่เป็นของตระกูลฉี...”
สิ้นคำประกาศนั้น เจียนหลิวก็เตรียมใช้มีดสั้นกรีดใบหน้าฉีหยางซิ่ว
ดวงตาคมของชายหนุ่มจ้องเขม็งอีกฝ่าย แม้จะกลัวอยู่มาก แต่เขาไม่ยอมให้มันเห็นน้ำตา
“ดี! ข้าชอบคนกล้าหาญ ฉะนั้นจงอยู่ในโลกนี้ด้วยใบหน้าสยดสยอง และดูความรุ่งโรจน์ของข้าด้วยดวงตาเพียงข้างเดียว”
มีดสั้นในมือฉีเจียนหลิวเตรียมกดลงบนแก้มชายหนุ่ม ฉีหยางซิ่ว
แค้นใจหนัก ตลอดเวลา หากเขาตั้งใจฝึกฝนวรยุทธ์จากท่านปู่ฉีหย่งชางคงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้
“ร้องสิ ร่ำร้องเหมือนบิดาของเจ้าที่ขอชีวิตข้าก่อนตาย!”
ฉีหยางซิ่วเดือดดาลจัด มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น แต่ยิ่งออกแรงต่อต้านคนของฉีเจียนหลิวก็ยิ่งใช้กำลังต่อเขา
เมื่อมีดสั้นกดลงบนแก้มฉีหยางซิ่ว ยามนั้นเหมือนโลกจะกลั่นแกล้งให้เขาเป็นของเล่นของฉีเจียนหลิว และมันหัวเราะเสียงดังด้วยความสาแก่ใจที่ทำให้เขาตกต่ำถึงเพียงนั้น
“ถ้าเจ้ากล้าหาญจริง ก็ฆ่าข้าเสียเถิด มิเช่นนั้นหากข้ารอดพ้นวันนี้ไปได้ คราต่อไปจะเป็นเจ้าที่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้”
“เหลวไหล อย่างเจ้ามันก็เป็นได้แค่ตัวโง่งม หลบอยู่ในเรือนเล้าหมู หาได้มีวันก้าวสู่ฐานะผู้นำของสำนักตะวันไร้พ่าย”
“ท่านอย่าได้ประมาทคนตระกูลฉี เลือดมันต้องล้างด้วยเลือด ถึงอย่างไร ท่านกับมารดาก็เป็นสุนัขที่ท่านย่าเลี้ยงไว้ อย่าคิดว่าจะกินในเรือนและขี้บนหลังคา”
ยามนั้นมีดในมือฉีเจียนหลิวเปลี่ยนเป้าหมายจากใบหน้างาม เขาอยากเชือดคอฉีหยางซิ่วให้ตายเสีย แต่เสียงหนึ่งดังห้ามเอาไว้ก่อน
“ท่านเจ้าสำนักโปรดยั้งมือ...”
สติของฉีเจียนหลิวถูกดึงกลับ น้ำเสียงหวานจัดและใบหน้างามปรากฏให้เห็นในหนึ่งลมหายใจต่อมา
นางผู้นั้นมีผิวขาวนวลตา และเยื้องย่างราวกับปุยเมฆ กลิ่นกายหอมหวาน อาภรณ์ที่สวมใส่ก็สร้างความอภิรมย์ให้ชายวัยกลางคนลุ่มหลงแทบจะสยบแทบเท้า
“ผู้น้อย มีเรื่องอยากปรึกษาท่าน...จึงรุดมายังเรือนหลังนี้ หวังว่าท่านเจ้าสำนักจะให้อภัย”
“เพ่ยเพ่ย...เจ้าไม่ควรเห็นเรื่องเช่นนี้ มันผู้ใดบังอาจขัดคำสั่งข้า จับตัวมันไปโบยและส่งตัวออกจากสำนักเดี๋ยวนี้” ฉีเจียนหลิวตวาดเสียงดัง
“ปะ เป็นผู้น้อยเอง อย่าได้ลงโทษใคร หากจะลงโทษก็ขอให้เพ่ยเพ่ยได้รับสิ่งนั้น” หญิงงามว่าแล้วก็คุกเข่าลง นางเตรียมโขกศีรษะบนพื้นสกปรก
เห็นเช่นนั้น ฉีเจียนหลิวพลันทิ้งมีดสั้นลง และตรงเข้าไปประคองร่างอวบอัดชวนให้ทะนุถนอม
“ไฉนเจ้าต้องลดตัวทำสิ่งน่าละอาย”
เพ่ยเพ่ยพยายามกลั้นก้อนสะอื้น ดวงตากลมโตเหลือบมองฉีหยางซิ่วเพียงนิด และส่งความอาลัยถึงเขา
“ข้ามิอยากให้เกียรติของท่านต้องด่างพร้อย บุรุษผู้นั้น หาได้คู่ควรให้ท่านลดมือไปยุ่งเกี่ยว ควรปล่อยให้ทางการจัดการเขาไม่ดีกว่าหรือ...ข้อหาสร้างความเสื่อมเสียให้บ้านเมืองโทษหนักถึงขั้นแยกร่างเป็นห้าส่วน และตอนนี้เรื่องของข้าสำคัญกว่า สายรายงานว่าทางการกำลังตามสืบเรื่องการส่งมอบภาพชุนกงมอมเมาคนในวังหลวง!”
“เรื่องนี้ ต้องรีบหาทางแก้ไข ก่อนที่ภัยจะมาถึงตัวเจ้ากับบิดา”
ฉีเจียนหลิวมองสาวงามด้วยความรักใคร่ แม้นางจะอายุอ่อนกว่าเขาสิบกว่าปี แต่ก็เฉลียวฉลาด รู้จักเอาใจและวางตัวดีเสมอ เหนือสิ่งใดคือความงามล่มเมืองซึ่งสร้างแรงดึงดูดให้เขาถวิลหา
“ฮึ ผู้หญิงไร้ยางอาย อยู่ที่ไหนก็ฉุดให้แผ่นดินต่ำลง” ฉีหยางซิ่ว
กล่าววาจาร้ายกาจ และมันทำร้ายจิตใจสาวงาม
ฉีเจียนหลิวไม่อาจล่วงรู้ความในใจอีกฝ่าย เขาเพียงแต่ยิ้มออกมา แล้วสั่งให้มือสังหารลากตัวชายหนุ่มออกไป
“ข้าไม่มีธุระอันใดกับมันแล้ว ตอนนี้เราไปเจรจากันที่อื่น สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยราคะ และไร้เกียรติให้สาวงามเข้ามาเหยียบ”
เพ่ยเพ่ยยิ้มรับคำเชิญฉีเจียนหลิว หากแต่ใจยังพะวงต่อฉีหยางซิ่ว นางรู้ว่าเขาแกล้งพูดจาให้ร้ายด้วยมีความจำเป็น มิเช่นนั้น ฉีเจียนหลิวคงสั่งมือสังหารทำร้ายเขาด้วยข้อหาหึงหวงนาง
“อย่างที่ท่านกล่าว ควรส่งตัวคุณชายใฝ่ต่ำให้กรมอาญาจัดการ นั่นคือหนทางที่ประเสริฐ”
ฉีเจียนหลิวพยักหน้ารับรู้น้อยๆ อย่างเข้าใจ และถามสิ่งหนึ่งซึ่งทำให้ใบหน้าสาวงามซีดสลดลง
“ความต้องการของเจ้านั้น เป็นเพราะห่วง กลัวมันจะตายในน้ำมือของข้า ใช่หรือไม่!”