“อาย!” เสียงเขาไม่ส่งไปถึงเด็กใต้การปกครองด้วยซ้ำ ภีมพลถอนหายใจยืนมองร่างเล็กวิ่งหนีไป เขาแค่ไม่อยากให้หล่อนใช้จ่ายสิ้นเปลืองเพราะซื้ออะไรแพงๆ มาให้ ลำพังทุกวันนี้ก็ไม่รู้ว่าทำงานอะไรบ้าง แต่ปากเขามันคงเสียเกินไป ทำอะไรลงไปวะไอ้ภีม เขาหมดแรงหันหลังไปพิงกำแพง
หมดค่าแท็กซี่ไปกลับตั้งเกือบสองร้อย แต่กลับต้องซมซานกลับมาเพราะถูกไล่ อารยาวิ่งขึ้นห้องกระโดดขึ้นเตียงร้องไห้ไม่หยุดฟุบหน้าบนหมอน กลั้นน้ำตาไว้แต่มันก็ไหลลงมาอยู่ดี ถ้าเกลียดกันนักจะมาช่วยเหลือหล่อนทำไม ทำไมไม่ปล่อยให้ไอ้พวกเจ้าหนี้มันจับตัวหล่อนไป จะได้ไม่ต้องอยู่เป็นภาระให้ลำบากใจให้เคืองสายตา เรื่องวันนี้ทำให้หญิงสาวนึกถึงวันงานศพบิดา จากอดีตเคยร่ำรวย สุขสบาย เป็นคุณหนูลูกของนักธุรกิจ ทว่าทุกอย่างกลับตาลปัตรเมื่อบิดาของหล่อนติดการพนัน หนี้สินรุมเร้า ธุรกิจครอบครัวขาดทุนสะสมเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดท่านก็ถูกฟ้องเป็นบุคคลล้มละลาย
อารยามีกันแค่สองคนกับบิดาจึงลำบากมากเพราะท่านเองก็อยู่มาเก๊าตลอด ทว่าหล่อนก็ไม่เคยงอมือขอยืมเงินใครใช้ ขายสิ่งของที่พอมีราคามาจ่ายเงินเดือนให้คนใช้ เพื่อให้ทุกคนแยกย้ายไปหางานใหม่ และเก็บของใช้จำเป็นออกจากบ้านมาหาที่พักใหม่ใกล้มหาวิทยาลัย สภาพไม่สน ขอแค่ราคาไม่แพงอารยาก็ตัดสินใจเช่าและมองหางานพิเศษทำหาเงิน
ช่วงสามเดือนแรกที่ล้มละลายบิดายังไม่ยอมหยุดเล่นการพนัน เจ้าหนี้ตามทวงเงินถึงประเทศไทย อารยาเจอหน้าท่านไม่กี่วันเท่านั้นก่อนจะทราบข่าวว่าท่านถูกรถชนเสียชีวิต จากที่ทั้งชีวิตมีบิดาเป็นที่พึ่งพิงกลับไม่เหลือใครสักคน ท่านทิ้งหนี้สินมหาศาลไว้ให้ ต้องลำบากตามหลบเจ้าหนี้ที่ตามมาทวงเงินและอยากได้ตัวหล่อนไปจ่ายแทนเงิน โชคดีที่อาภีมมาช่วย ไม่อย่างนั้นก็คงแย่
เขาทำไปเพราะสถานการณ์บังคับ เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ไยดีอะไร งานศพของบิดาถูกจัดขึ้นเรียบง่ายเพราะแทบจะไม่มีใครมาเลย ญาติที่มีก็ตัดขาดกันไปตั้งแต่บิดาติดการพนันงอมแงม ทุกคนกลัวท่านหรือหล่อนจะไปขอหยิบยืมเงิน อารยาไม่กล้าโกรธใคร เลือกจะอยู่ในพื้นที่ของตัวเองใช้ชีวิตเงียบๆ
รูปตั้งหน้าศพมีรอยยิ้มอ่อนโยน บิดาเคยเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีแต่หลังจากมารดาสิ้นท่านก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน คบเพื่อนไม่ดีจนล่มจม แม้แต่หล่อนที่เป็นลูกสาวคนเดียว พูดอะไรออกไปท่านยังไม่ยอมฟังเลยแม้แต่น้อย
“คุณหนูอายจะกลับหอพักตอนนี้เลยไหมครับ ผมจะขับรถไปส่ง” ฟ้ามืดมากแล้วแต่อารยาก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ยอมลุกไปไหน ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน ยังดีที่อารยามีเพื่อนคนหนึ่งคอยอยู่ข้างๆ ไม่งั้นคงน่าห่วง ‘ชาติชาย’ เป็นลูกน้องขอบคุณกรเดช บิดาของภีมพล ถูกส่งมาคอยดูแลความเรียบร้อยของงานทั้งหมด รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ เขาเห็นอารยามาตั้งแต่สมัยเล็กๆ จึงเต็มใจดูแลหล่อนเป็นอย่างยิ่ง ภายในศาลาวัดตอนนี้เงียบเหงา เพราะหลังจากเก็บกระดูกแขกก็แยกย้ายกลับ เหลือเพียงอารยาที่ยังคงเสียใจนั่งเศร้าอยู่ที่เดิม
อารยาใช้ปลายนิ้วกรีดน้ำใสบนหางตา ค่อยๆ ช้อนนัยน์ตาขึ้นมองชายวัยกลางคนแสนใจดี “คุณชาติกลับก่อนเถอะค่ะ ช่วยงานทั้งวันคงเหนื่อยแย่แล้วอายเกรงใจ เดี๋ยวอายกับฟ้าออกไปเรียกแท็กซี่ข้างนอกกลับเองค่ะ”
ฟ้าใสพยักหน้ารับ ยังคงอยู่เคียงข้างเพื่อน โดยส่วนตัวแล้วก็เห็นใจชายคนนี้เพราะต้องคอยช่วยเหลือทุกอย่าง ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันเผาศพ
“ไม่ได้ครับ ถ้าผมทำอย่างนั้นแล้วคุณกรรู้เข้า ท่านคงโกรธผมแย่เลยที่ดูแลคุณหนูอายไม่ดี ให้ผมไปส่งเถอะนะครับ ขับรถแป๊บเดียวก็ถึงมหา’ลัยแล้ว” ชายวัยกลางคนยังคงความสุภาพ แม้จะรู้สถานะที่เปลี่ยนไปของอารยา
“อาย... ขอบคุณคุณชาติมากนะคะ ที่ไม่รังเกียจอายกับคุณพ่อ” หล่อนพนมมือเล็กขึ้นไหว้คุณชาติชายอย่างนอบน้อม ซึ้งใจจริงๆ ที่มีคนคอยช่วยเหลือ ถึงแม้จะเป็นหน้าที่ถึงแม้เขาจะถูกสั่งให้มา แต่หล่อนก็ขอขอบคุณ
“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็เอ็นดูคุณหนูอายไม่แพ้คุณกร เรากลับกันเถอะครับ เดี๋ยวผมจะไปส่งคุณหนูอายกับคุณหนูฟ้าใส” ถูกรบเร้าด้วยความจริงใจอย่างนั้นสองสาวก็ปฏิเสธไม่ลง อารยาเข้าไปเช็คความเรียบร้อยอื่นๆ ก่อนจะจับมือฟ้าใสเดินไปขึ้นรถคุณชาติ แสงไฟจากข้างทางระยิบระยับสาดมาปะทะใบหน้านวลผ่อง จากเดิมผิวพรรณอารยาขาวนวลเนียนผ่องใส แต่ช่วงนี้มีมรสุมชีวิตมันจึงหมองลงมาก ไม่สดใสเหมือนในวันวาน หวังว่าสักวันทุกอย่างจะดีขึ้น ภายในรถยนต์เงียบสะงัด ได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจตัวเอง
หล่อนถอนลมหายใจออกมาแผ่วเบา เหม่อมองวิวนอกกระจก มองรถยนต์อีกคันที่เร่งความเร็วและขับแซงขึ้นไป มองทุกอย่างด้วยความรู้สึกอ้างว้าง เหงา และเปล่าเปลี่ยวหัวใจ หลังจากแวะส่งฟ้าใส บนรถก็เหลือเพียงอารยากับคุณชาติ สายตาชายวัยกลางคนมองมาข้างหลังหลายครั้ง แม้จะไม่ได้หันไปมองแต่อารยาก็สามารถรับรู้ได้ หลายครั้งเข้าจึงเอียงใบหน้าไปสบตาเขาผ่านกระจกมองหลัง และในที่สุดคุณชาติก็เลิกอึกๆ อักๆ และบอกเล่าสถานการณ์ “คุณหนูอายครับ เอ่อ... คุณภีมกลับถึงไทยแล้วนะครับ”
“ขอบคุณที่บอกนะคะ แต่อายไม่อยากรู้เรื่องของอาภีมอีกแล้วค่ะ” ตอบกลับด้วยความรู้สึกน้อยใจ ปลายนิ้วชี้ยกขึ้นกรีดน้ำตากลั้นเสียงสะอื้น