สาวน้อยมองค้อนวงใหญ่ใส่ผู้ปกครองหนุ่ม เชิดใส่เขา ทว่ากลับยิ้มแย้มแจ่มใส แจกรอยยิ้มให้หนุ่มอื่น ยื่นใบปลิวให้แล้วคนนั้นก็รับไป เป็นอันว่าเสร็จงานแล้ว อารยาหยิบโทรศัพท์มาโทรแจ้งพี่เจ้าของร้าน เก็บใส่กระเป๋า และตั้งใจจะเดินไปรอรถเมล์ ไม่อยากจ่ายค่ารถไฟฟ้าที่แพงกว่าหลายเท่า สองมือเล็กจับสายกระเป๋า เหลียวมองซ้ายขวาดูว่ารถเมล์สายที่ผ่านหน้ามหา’ลัย
แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่เห็นหนึ่งคนที่เดินตามมาแต่ต้น เมื่อคืนยังเห็นอยู่กับน้ำส้มอยู่เลย หรือคืนนี้จะเป็นคิวของนักศึกษาแถวย่านนี้กัน คนเจ้าชู้แบบเขาไม่มีวันคุยแค่คนเดียวแน่ อาภีมเป็นเสือผู้หญิงตัวยง ติดนิสัยนี้มาจากคุณกรเดชพ่อของเขา เพราะท่านเจ้าชู้มากถึงต้องหย่าขาดกับภรรยา ทำให้แม่ของอาภีมเลือกจะกลับไปอยู่บ้านที่โคราช และพาลูกชายคนเล็กไปอยู่ด้วย
คุณภาคภูมิ น้องชายอาภีมอยู่โคราชกับแม่ ได้ข่าวว่ามีไร่อะไรสักอย่างกับทำฟาร์มเพาะพันธุ์สัตว์ ส่วนอาภีมอยู่กรุงเทพกับพ่อ รับช่วงธุรกิจครอบครัวดูแลโรงแรมต่อ แต่ไม่ว่าจะเลือกอยู่กับใคร ทั้งสองคนก็รวยมากๆ อยู่ดี
ไม่ใช่คุณหนูตกกระป๋องแบบหล่อนหรอก
“อาย! ไม่เห็นหรือไงว่าฉันอยู่ตรงนี้ จะเดินหนีทำไม” ภีมพลเรียกเสียงเข้มจนคนรอบนอกต่างหันมามอง ชวนให้หงุดหงิดเพิ่มถึงสองเท่า
กายอรชรหมุนกลับมามองค้อน งอนเขาสุดหัวใจ ไม่เห็นหน้ากันตั้งเกือบเดือน นึกว่าหลงเสน่ห์สาวนักศึกษาคนนั้นจนลืมหล่อนไปแล้วซะอีก หลงรสรักกันนักทำไมไม่ผูกเขาติดเตียงเลยล่ะ จะออกมาข้างนอกคนเดียวทำไม
“เห็นค่ะ แต่ไม่อยากคุยด้วย”
“งอนอะไรอีก” เจอหน้ากันทีไรต้องมีเรื่องโกรธเขาทุกที ไม่เข้าใจ
อารยาเชิดใส่ “อายไม่จำเป็นต้องตอบ อาภีมกลับไปเถอะค่ะ”
“ไม่กลับ!” ตามเข้ามาจับข้อมือบาง ยกขึ้นสูงไม่ยอมให้เดินหนี กลางคืนคนค่อนข้างเยอะเดินผ่านไปผ่านมา ภีมพลต้องดึงเด็กดื้อเข้ามาในเขตสวนสาธารณะใกล้ๆ แล้วดูสิ! แค่ดึงไม่ได้กระชาก แต่กลับทำหน้าทำตาเหมือนจะโดนลากไปข่มขืน โธ่! ใครจะอยากมีอะไรกับเด็กเอาแต่ใจแบบนี้กันนะ
“ปล่อยค่ะ มาจับอายทำไม ทำไมไม่ไปจับน้ำส้ม” ท้ายคำเอ่ยเบาๆ ใจหนึ่งอยากตะโกนดังๆ ให้ชัดเจน ทว่าอีกใจก็ไม่กล้า เดี๋ยวเขาจะหาว่านู้นนี่นั่น
“อ๋อ ที่แท้ก็งอนเรื่องนี้นี่เอง” ยิ้มมุมปาก เริ่มจะเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น
“ยิ้มอะไรคะ มีอะไรน่าตลก อายไม่เห็นจะขำด้วยเลย”
อารยาปัดมือเขาออกพลางยกขึ้นกอดอก หัวเราะหึๆ ในลำคออยู่ได้ หล่อนไม่ได้กำลังเล่นตลกคาเฟ่ให้ดูสักหน่อย มองค้อนใส่อีกครั้ง ณ ตอนนั้นท้องก็ร้องโครกๆ
“ไม่มีอะไร แค่ผ่านมาก็เลยแวะมาทักทาย”
“อายสบายดี แล้วอาภีมล่ะคะ ไม่ได้เจอกันตั้งสองเดือนกับอีกสองวัน” เขาไม่รู้หรอกว่าหล่อนแทบจะนับวันรอเจอเขาด้วยซ้ำ วันก่อนไปยื่นเอกสารที่โรงแรมก็เห็นแว็บๆ แค่แผ่นหลัง คิดถึงใจแทบขาดแต่ก็ไม่กล้าไปขอเจอ
ก็หล่อนเป็นแค่ลูกหนี้นี่นา จะกล้าไปกวนใจเขาได้ยังไง
“ก็เรื่อยๆ โรงแรมสาขาใหม่ที่ภูเก็ตจะเปิดตัวเดือนหน้าแล้ว ขึ้นลงภูเก็ตบ่อยหน่อย” ถึงไม่ค่อยได้มาเจอ แต่ถึงอย่างนั้นภีมพลก็คอยตามข่าวเสมอถึงรู้ว่าอารยาทำหลายงานมาแค่ไหน สงสาร ไม่เคยลำบากก็ต้องมาลำบาก แต่ในความสงสารก็มีความพึงพอใจและภาคภูมิใจแฝงลึก เพราะไม่คิดว่าอารยาจะสู้ชีวิตมากขนาดนี้ หล่อนปรับตัวได้ดีแม้แต่ตัวเขาเองยังปลื้มใจ
แต่… มันก็แลกมาด้วยหลายๆ สิ่ง ผิวหล่อนจากขาวเนียนก็คล้ำลงเล็กน้อย ดวงตาที่เคยสดใสมากๆ ก็เริ่มอ่อนล้า ไม่รู้ว่านอนพอหรือเปล่า
“ดีใจด้วยนะคะ ถ้าขาดเหลือตำแหน่งไหนจ้างอายได้นะ คิดค่าตัวไม่แพงหรอก ถามปุ๊บมีคิวว่างให้ปั๊บเลย อายทำได้หลายอย่าง กวาด ถู ล้างจาน แม่บ้าน ฟร้อน ดูแลลูกค้าชาวไทยชาวต่างประเทศได้หมดเลย ตอนนี้อายก็เรียนภาษาจีนเพิ่มด้วยนะ” รายงานคุณสมบัติตัวเองละเอียดราวกับบอกสรรพคุณยา ลืมเรื่องงอนไปซะสนิท ตอนนี้เรื่องปากท้องต้องมาก่อนเสมอ
ภีมพลปรายสายตานิ่งๆ มามอง ใช้สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง เขามองไปทางอื่น ก่อนขานรับในลำคอราวกับไม่ใส่ใจและไม่อยากจะฟัง “อื้ม…”
ได้ยินอย่างนั้นอารยาก็กลับมางอนอีกรอบ ใช่สิ ก็เขาไม่ชอบหล่อนนี่นา คนขี้งอนน้ำตาคลอ “อายกลับก่อนนะคะ เหนื่อย อยากกลับไปพักผ่อน”
“เดี๋ยว ฉันหิว ไปกินข้าวเป็นเพื่อนหน่อย” กายกำยำเร่งฝีเท้าเดินตามมา กลัวรถเมล์จะเทียบป้ายแล้วอารยาจะกระโดดขึ้นไปซะก่อน
“ไม่ค่ะ อายมีข้าวที่หอแล้ว” หลังแยกกับฟ้าใสตนแวะซื้อข้าวกล่องมาใส่ตู้เย็นไว้ ตั้งใจจะเก็บไว้กินช่วงหลังเลิกงาน วันนี้มีแค่แจกใบปลิวไม่ได้ไปเฝ้าร้านขายของ เหมือนว่าเจ้เจ้าของร้านจะให้หลานเข้ามาช่วยทำงานแทนแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้กลับไปทำไหม เจ้บอกว่าถ้าจะให้เข้าไปวันไหนจะโทรศัพท์มาบอก
วันนี้อารยาตื่นแต่เช้าแวะไปใช้คอมพ์ห้องสมุดก่อนเรียน เพื่อหาดูว่ามีงานพาร์ทไทม์อะไรทำเพิ่มช่วงเย็นวันจันทร์ถึงศุกร์หรือเปล่าจะได้สมัคร
“อาย อาย!!” เรียกครั้งหนึ่งไม่หัน ก็ย้ำเรียกเสียงดังมากขึ้น
“อะไรอีกคะ เรียกทำไม อาภีมไม่มาหาอายตั้งนาน ไม่โทรมาหา ไม่ตอบข้อความ เป็นเพราะอาภีมติดน้ำส้มใช่ไหมล่ะ อายเห็นหรอก ถ้าชอบนักก็ไปอยู่กับเขาเลยไม่ต้องมาคุยกับอาย” หันไปตวาดใส่ก่อนจะยกมือเช็ดน้ำตาลวกๆ ผินดวงหน้าสวยไปทางอื่น “อายไม่หนีหนี้หรอก ไม่ต้องตามก็ได้”
แล้วใครว่าเขามาทวงหนี้
ภีมพลจ้องอารยาไม่วางตา ค่อนข้างจะหงุดหงิด เรื่องที่พูดมาทั้งหมดก็ไม่เห็นจะมีส่วนไหนที่เกี่ยวกับหล่อนเลย
“อย่างี่เง่าได้ไหมอาย โตแล้วนะ ไม่ใช่เด็กอายุสิบสี่สิบห้า”
“ขอโทษค่ะ วันนี้อายเหนื่อยจริงๆ ขอตัวก่อนนะคะ”
อารยากลั้นน้ำตาไว้ ยกมือไหว้รุ่นน้องของบิดา ก่อนจะเดินแยกจากเขาไปนั่งหน้าเศร้าบนเก้าอี้ไม้ยาวที่ป้ายรถเมล์ ไม่รู้หรอกว่าอาภีมกลับไปหรือยัง สาวนักศึกษาน้อยใจมากแทบไม่อยากหันกลับไปมอง ไม่ได้อยากงี่เง่าใส่ แต่ทุกครั้งที่เจอกัน หล่อนมักจะรู้สึกแย่อยู่เสมอ เนื่องจากเสียใจที่รักเขามากแต่เขายอมไม่รับรักนี้ รถเมล์มาแล้ว อารยาจับสายกระเป๋าลุกขึ้นและเดินขึ้นไป ก่อนรถจะออกไม่แคล้วใจอ่อนหันกลับไปมองและพบว่าภีมพลยังยืนอยู่ที่เดิม
ทว่าตอนนี้เขากำลังหันหลังเดินจากไปแล้ว นัยน์ตาคู่เศร้าหมองหันกลับมามองความโล่งภายในรถเมล์ หวังอะไรเล่าหวังให้เขาตามมาง้อเหรอ
ฝันไปเถอะอารยา!
........................
อ่านตอนต่อไปได้ใน ตอน 2