ท้องฟ้ามืดครึ้มด้วยม่านเมฆสีดำหนา ฟ้าแลบแปลบปลาบ และแผดร้องในบางครา ทะเลปั่นป่วนคลื่นโหมกระหน่ำกระแทกเข้าหาชายฝั่งผสานเสียงลมพัดแรงดังครืนครางน่ากลัว เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าพายุกำลังก่อตัวขึ้นและกำลังจะพัดเข้ามาในไม่ช้า เรือยอร์ชลำใหญ่ลอยลำอยู่หน้าหาดห่างจากฝั่งพอสมควร เพราะเรือต้องการน้ำลึกจึงไม่สามารถเข้ามาจอดเทียบฝั่งได้
บนชายหาด เรือยางลำเล็กถูกชายหนุ่มร่างใหญ่และเด็กสาวร่างบางช่วยกันลากขึ้นมาพ้นจากน้ำ ในระยะที่จะไม่ถูกคลื่นซัดหายไป ฝนเริ่มลงเม็ดหนาตาขึ้น สองคนพากันวิ่งหลบฝนเข้ามาในฝั่ง
“เราจะไปหลบฝนกันที่ไหนคะ”
นภัสรดาห่อไหล่ด้วยความหวาดกลัว เงยหน้ามองฟ้าแล้วหันไปมองทะเลสีหน้าหวาดหวั่น เธอหันกลับมามองหน้าคู่หมั้นหนุ่มเห็นเขาทำหน้าเคร่งเครียดก็ใจไม่ดี เมื่อครู่เธอกับโดมินิกทะเลาะโต้เถียงกันจนทำให้ไม่ได้สนใจว่ามีคนติดต่อเข้ามา เขาจับเธอได้หลังจากนั้นก็ลงโทษเธอด้วยการมัดไว้กับเก้าอี้แล้วแกล้งรังแกเธอ หากฟ้าไม่ร้องขัดขึ้นตาลุงหื่นนี่คงไม่ยอมเลิกรา
“ตรงนั้นมีชะง่อนหินพอจะหลบฝนได้ เราไปหลบตรงนั้นกันก่อน”
โดมินิกจับข้อมือคู่หมั้นสาว พาวิ่งกึ่งลากเข้าไปหลบฝนที่ชะง่อนหินห่างจากชายหาด มือข้างหนึ่งหิ้วถุงใส่อุปกรณ์ยังชีพไปด้วย พอเข้าไปด้านในได้ฝนก็เทกระหน่ำลงมาแรง เขาดึงร่างบางให้นั่งบนตัก สอดแขนกอดร่างน้อยไว้แน่น เมื่อเห็นว่าเธอตัวสั่นด้วยความหนาวปนหวาดกลัว
“ไม่ต้องกลัวน่าก็แค่พายุ เราอยู่บนฝั่งแล้วปลอดภัยหรอกน่า” เขาปลอบโยนเสียงนุ่ม ลูบศีรษะของคนในอ้อมแขนให้คลายความหวั่นหวาด
“ไม่ต้องกอดก็ได้ หนูไม่ได้กลัวขนาดนั้น”
นภัสรดาขืนตัวออกจากอ้อมแขนแข็งแรง ขยับลงมาจากตัก หามุมด้านในซุกตัวให้ห่างจากคนตัวโต เขาต่างหากที่น่ากลัวกว่าฟ้าร้อง อันตรายยิ่งกว่าพายุฝนฟ้าคะนองข้างนอกนั่นเสียอีก เข้าใกล้เขามีแต่โดนฉวยโอกาสขาดทุนป่นปี้ไปไม่รู้จะเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
“ไม่ได้กลัวแต่ตัวสั่นเชียว มานี่มา มาให้ฉันกอดจะได้อุ่นๆ”
โดมินิกยิ้มขบขัน มองสาวน้อยที่ก่อนหน้ายั่วโทสะเขาจนแทบระเบิดอย่างเอ็นดู ร่างบางเปียกโชกจนผ้าลีบติดเนื้อตัว ริมฝีปากสั่นกึกๆ จนฟันกระทบกันยังมาทำอวดเก่ง ชายหนุ่มขยับเข้าไปหาหมายจะดึงร่างเล็กมากอดให้หายหนาว แต่ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นอะไรบางอย่างอยู่ในซอกหินใกล้กับที่นภัสรดานั่งอยู่ รีบหยิบถุงยังชีพมาแล้วเอามีดพกออกมาจากฝัก ดวงตาจดจ้องเจ้าสิ่งนั้นไม่ละสายตา
“อยู่นิ่งๆ อย่าขยับ” เขาบอกเสียงเบา
นภัสรดาตัวแข็งทื่อ “จะ จะ ทำอะไรหนู อย่านะ อย่าฆ่าหนูนะ หนูยอมแล้ว อย่าเอามีดมาปาดคอหนูนะ” เธอบอกเสียงสั่น
หัวใจคนพูดหล่นไปกองที่ตาตุ่มอย่างตื่นตระหนก ตกใจท่าทางราวกับโจรโรคจิตของอีกฝ่ายจนแทบลืมหายใจ คมมีดในมือเขาวาววามสะท้อนประกายฟ้าแลบดูน่ากลัว ใบหน้าถมึงทึง แววตาแข็งกร้าวจ้องเธอนิ่งแทบไม่กะพริบตา ทันใดนั้นเองเขาก็เงื้อมือข้างที่ถือมีดขึ้นสูง แล้วปักมีดลงมา!
“กรี๊ดดดดด อย่านะ!!!”
นภัสรดายกมือขึ้นปิดหน้ากรีดร้องลั่น หลับตาแน่นด้วยความกลัวสุดขีด
ฉึก ฉึก ฉึก !!!
เสียงมีดปักโดนอะไรบางอย่างแรงๆ หลายครั้ง จนทำให้คนที่หลับตาปี๋รีบลืมตาขึ้นมาดู มือน้อยยกออกจากหน้า ลูบตามเนื้อตัวสำรวจหาบาดแผลแต่ไม่พบ พอหันไปทางคนตัวโตก็เห็นเขากำลังยกมีดชูอะไรบางอย่างที่เสียบคาปลายมีดให้ดู พร้อมทำหน้าเหมือนโล่งอก
“แมงป่อง ตัวขนาดนี้พิษไม่ใช่น้อยๆ ถ้าแพ้นี่ถึงกับตายได้เลยนะ”
เขาปักมีดลงบนพื้นตรึงร่างของเจ้าแม่งป่องตัวใหญ่ดำเมื่อมไว้ ก่อนจะมองหาเศษไม้แถวนั้นมากองรวมกัน แล้วจุดไฟ อุปกรณ์ยังชีพในถึงนั้นมีทั้งไฟแช็ก น้ำมันก๊าซ สามารถก่อไฟได้รวดเร็ว เพียงไม่กี่นาทีไฟก็ลุกโชนแสงให้ความอบอุ่นกับคนที่อยู่ตรงนั้น
“นึกว่าฉันจะฆ่าปาดคอเธอหมกเกาะหรือไง ทำหน้าอย่างกับฉันเป็นฆาตกรโรคจิต”
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วโดมินิกก็หันไปไล่เบี้ยกับคนตัวเล็กอย่างเคืองนิดๆ เมื่อครู่สายตาของเธอมองเขามันไม่ต่างจากสายตาของคนมองผู้ร้ายโรคจิตสักนิด ท่าทางหวาดกลัวนั่นก็อีก เธอทำราวกับเขาจะใจร้ายพอที่จะลงมือฆ่าผู้หญิงตัวเล็กๆ ไร้ทางสู้ลง แม่สาวน้อยท่าทางจะกลัวจนสมองฟั่นเฟือนตอนนี้ยังนั่งนิ่งตกตะลึงไม่หาย มือหนาเอื้อมไปแตะไหล่มน เธอสะดุ้งเฮือกมองเขาอย่างตื่นๆ
“ขอโทษนะคะก็หนูกลัวนี่ ว่าแต่ว่ามันตายแล้วเหรอคะ”
เธอถามเสียงสั่นพลิ้ว มองดูเจ้าแมงป่องที่ยังดิ้นกระแด่วๆ อยู่ใต้คมมีดสีหน้าหวาดเสียวหากถูกมันต่อยคงตายเพราะแพ้พิษของมันอย่างที่เขาบอก เธอแพ้พวกสัตว์มีพิษเหล่านี้ แค่ลูกตะขาบตัวเล็กกัดเอาก็ต้องหามไปส่งโรงพยาบาล ไม่อยากคิดภาพว่าหากโดนแมงป่องยักษ์ตัวนี้ต่อยเธอจะเหลือลมหายใจอีกไหม
“ยังตายไม่สนิท ถ้าจะให้ตายไม่ฟื้นก็ต้องแบบนี้”
โดมินิกจับด้ามมีดยกขึ้นแล้วใช้ปลายมีดเขี่ยร่างเจ้าแมงป่องลอยกระเด็นลงไปในกองไฟ มันดิ้นยึกๆ อีกสองสามทีก็นิ่งสงบ ไฟลามเลียผิวดำๆ จนกลายเป็นสีส้มไปทั้งตัว ก้ามของมันใหญ่พอๆ กับปูตัวเขื่อง หางงอโค้งส่วนที่เก็บกักพิษไว้กำลังโดนไฟเผา ส่งกลิ่นเหม็นไหม้ออกมาจากบางส่วนที่ไหม้ไฟง่ายเช่นขาเล็กๆ ชายหนุ่มไม่ปล่อยให้เจ้าตัวร้ายถูกไฟเผาจนไหม้เกรียมทั้งตัวให้เสียของ เขาใช้ปลายไม้เขี่ยมันออกมาจากกองไฟ ท่ามกลางสายตาแปลกใจของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
“คุณเขี่ยมันออกมาทำไม มันน่าจะตายแล้วนะคะ”
นภัสรดามองร่างเจ้าแมงป่องแล้วเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าชายหนุ่มอย่างกังขา ก่อนจะทำตาโตเมื่อเห็นเขาจับร่างสัตว์ร้ายนั่นมาฉีกออกเป็นชิ้นๆ ส่งก้ามอันหนึ่งยื่นให้เธอ
“ลองดูหน่อยไหม รสชาติคล้ายๆ ปู อร่อยนะ หรืออยากได้เกลือพริกไทยโรยสักหน่อย ในถุงย่ามก็มีนะ”
โดมินิกเสนอเมนูเปิบพิสดารให้คู่หมั้นวัยกระเตาะกิน ทำเอาอีกฝ่ายทำหน้าสยดสยอง รีบปัดมือเขาทิ้งจนก้ามแมงป่องกระเด็นตกพื้นทราย
“อี๋ แหวะ กินคนเดียวเถอะ หนูไม่กิน”
นภัสรดาลูบขนที่ลุกชันไปทั้งแขน ใบหน้างามเหยเกทำท่าเหมือนอยากขย้อนของเก่าทิ้ง ทำเอาคนเห็นหัวเราะลั่น
“แหม ทำเป็นอี๋ ไม่รู้จักของอร่อยเสียแล้ว”
พูดจบเขาก็รื้อค้น หากระป๋องเกลือพริกไทยมาโรยๆ เมนูเปิบพิศดารแล้วกินให้เธอดู ทำเสียงจ๊อบแจ๊บเหมือนอร่อยเสียเต็มประดา สร้างความขนลุกขนพองให้คนเห็นจนต้องเบือนหน้าหนี สมัยวัยรุ่นเขากับสองพี่น้องตระกูลเมดิสันชอบท่องเที่ยวไปทั่ว ซอกซอนไปตามที่ต่างๆ ทั่วโลก และได้เรียนรู้วัฒนธรรมการกินอาหารของคนในแต่ละท้องถิ่น เมื่อเปิดใจยอมรับก็ไม่มีปัญหาในการกินอยู่ เขาจึงเป็นพวกกินได้ทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ว่าจะแมลงหรือสัตว์ ยกเว้นเนื้อไดโนเสาร์ที่ยังไม่ได้ลองชิมเพราะมันสูญพันธุ์ไปแล้ว
“หิวหรือเปล่า มีอาหารกระป๋องนะ รับรองว่ากินได้อร่อยไม่แพ้เนื้อเจ้าตัวเมื่อกี้เลย” เขาไม่วายแหย่เธอเล่น
“หนูไม่หิว หนาวอยากจะนอน”
เธอสะบัดค้อนให้เขา มองดูถุงยังชีพที่หอบหิ้วมาหวังว่าจะมีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนสักชุดแทนชุดที่เปียกชื้นนี่ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเข้าใจความต้องการ เขาดึงเสื้อกับกางเกงขายาวสีดำออกมาส่งให้
“เอาไปเปลี่ยน ถอดชุดชั้นออกด้วยล่ะ มันชื้นเดี๋ยวจะปอดบวมตาย”
สายตาวาววามของเขามองทรวงอกเธอ ก่อนจะยิ้มหื่นๆ