ตึก~ ตึก~ ตึก~แฮ๊ก แฮ๊ก
เสียงฝีเท้าดังสนั่นที่เกิดจากรองเท้านักเรียนหญิงคู่สวยกระทบพื้นปูนพร้อมด้วยเสียงหอบหายใจหนักที่พยายามโกยอากาศเข้าปอดเต็มแรง เจ้าของร่างเล็กพยายามวิ่งขึ้นบันไดไต่ระดับขึ้นไปเรียนที่ชั้นสามของอาคารเรียน
"ตายแล้ว ตายแน่ๆวันแรกของที่นี่อีปุ้นแกจะสายไม่ได้นะ ตายๆ" เสียงวิ่งกระหืดกระหอบพร้อมเสียงบ่นพึมพำคนเดียวขณะเร่งฝีเท้าวิ่งขึ้นตึกเรียนอย่างเร่งรีบเสียงรองเท้าที่กระแทกกระทบพื้นยังคงดังลั่นตึกเป้าหมายเพื่อให้เข้าทันโฮมรูมชั่วโมงแรกของการเข้ามาเป็นเด็กใหม่ที่โรงเรียนแห่งนี้
"ขะ..ขอ..อนุญาตเข้าห้องเรียนค่ะอาจารย์" เมื่อวิ่งมาหยุดยืนหายใจหอบเหนื่อยหน้าห้องเรียนอันเป็นเป้าหมายของฉันในเช้านี้ ฉันยืนนิ่งมองเข้าไปในห้องเรียนที่มีอาจารย์สาวยืนอยู่หน้าชั้น ความรู้สึกกระอักกระอ่วนพลันเกิดขึ้นเพราะรู้ตัวว่าทำผิดก่อนอ้าปากเอื้อนเอ่ยขออนุญาตอาจารย์ที่กำลังจะเริ่มต้นสอนด้วยคำพูดที่ตะกุกตะกักขาดๆหายๆที่เกิดจากเสียงหอบเหนื่อยจากการเร่งรีบวิ่งขึ้นบันไดเพื่อให้ทันเวลาสุดท้ายฉันก็สายอยู่ดี
"เขมรดาใช่ไหมเข้ามายืนหน้าห้องก่อนนะ" อาจารย์สาวสวยมองมาที่ฉันเอ่ยเรียกชื่อของฉันออกมาแล้ว
กล่าวอนุญาต
"ใช่ค่ะ ขอบคุณค่ะอาจารย์" ฉันขานรับชื่อจริงของตัวเองก่อนกล่าวขอบคุณที่อาจารย์อนุญาตให้เข้าห้องเรียนได้ แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นคือการที่ฉันต้องไปยืนคู่กับอาจารย์ที่หน้าห้องเพียงคนเดียว ฉันก้มหน้าเดินเข้าไปอย่างอายๆก่อนหยุดยืนที่หน้าห้องท่ามกลางสายตาทุกคู่เพ่งมองมาที่ฉัน ฉันค่อยๆเงยหน้ามองทุกคนในห้องอย่างสำรวจ ปกติแล้วฉันไม่ใช่คนที่ขี้อายมีความมั่นใจและดื้อในตัว แต่เพราะวันนี้ฉันเพิ่งเข้ามาเรียนที่นี่ถือว่าเป็นเด็กใหม่มากๆและไม่คุ้นชินกับใครเลยทำให้ฉันประหม่า
"เพื่อนๆเขาแนะนำตัวกันหมดแล้วจะเหลือก็แต่เธอเป็นคนสุดท้ายของห้องที่ต้องแนะนำตัวให้เพื่อนๆได้รู้จักกัน" อาจารย์ให้ฉันแนะนำตัวเองต่อหน้าเพื่อนๆ วันนี้คือการเริ่มต้นใหม่สำหรับโรงเรียนแห่งนี้เป็นการเข้าเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 ช่วงม.ต้นฉันเรียนที่โรงเรียนนานาชาติในภูเก็ตเพราะคุณพ่อกับคุณแม่ต้องไปดูแลโรงแรมที่เพิ่งเปิดใหม่ที่นั่น ฉันใช้ชีวิตอยู่ที่ภูเก็ตจนรู้สึกชอบไม่อยากกลับเข้ามาที่กรุงเทพแต่ด้วยคุณพ่อต้องกลับดูแลงานที่สาขากรุงเทพ และกำลังจะขยายไปที่ประเทศใกล้ๆอีกหลายประเทศทำให้ฉันกับคุณแม่ต้องจำใจย้ายตามมา ทั้งที่ฉันชอบโรงเรียนและบรรยากาศของภูเก็ตมาก
"อ้าว มัวแต่ยืนอึ้งอยู่นั่นเพื่อนๆเขารออยู่นะเขมรดาเราจะได้เริ่มเรียนกันสักที" ฉันสะดุ้งได้สติกลับมาก่อนเริ่มแนะนำตัวกับเพื่อนใหม่ในห้อง
"สวัสดีค่ะเพื่อนๆทุกคน เขมรดา อัศวะโยธิน ชื่อเล่นข้าวปุ้นค่ะ เพิ่งย้ายมาจากโรงเรียนนานาชาติสมิตทิราชภูเก็ตค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวกับเพื่อนทุกคนด้วยนะคะ" เมื่อเรียกความมั่นใจกลับมาได้เสียงฉันที่แนะนำตัวก็ชัดแจ๋วพร้อมกับแอบสำรวจใบหน้าเพื่อนๆทุกคนไปด้วย เสียงฮือฮาจากเพื่อนๆดังขึ้น ฉันกวาดสายตามองไปเรื่อยๆจนมาสะดุดตากับเพื่อนผู้หญิงผมยาวสลวยเงางามสีดำเรียบตรงใบหน้าสวยเฉี่ยวอย่างกับนางแบบหรือเป็นไอดอลยังได้เลยติดที่สายตาและใบหน้าที่เรียบนิ่งติดเฉยเย็นชาไปนิด แต่ไม่เป็นปัญหาเมื่อฉันเล็งเพื่อนใหม่คนแรกของฉันที่นี่ไว้แล้วนั่นคือเธอฉันต้องหาทางตีสนิทเธอได้แน่
"เขมรดาเธอเข้าไปนั่งตรงโต๊ะที่ว่างข้างสรัลชาตรงนั้น" อาจารย์ชี้ไปยังโต๊ะว่างข้างเพื่อนคนสวยที่ฉันเล็งไว้ตั้งแต่แรกว่าจะต้องเป็นเพื่อนกับเธอให้ได้ฉันยิ้มกว้างออกมาที่จะได้ไปนั่งข้างเธอและทำความรู้จักต้องดึงเธอมาเป็นเพื่อนคนแรกของฉันให้ได้ ฉันสะพายกระเป๋าเดินตรงไปนั่งข้างเธอและส่งยิ้มหวานเพื่อทำการผูกมิตรในทันที แต่เธอกลับนิ่งเฉยดูเย็นชาชะมัด ท่าทางเฉยชานั่นฉันกลับไม่คิดจะยอมแพ้ สิ่งไหนที่ฉันชอบและถูกใจฉันจะเป็นฝ่ายวิ่งเข้าหาอย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่กับเพื่อนคนนี้ ฉันกับเธอเราต้องเป็นเพื่อนสนิทที่ดีต่อกันได้แน่นอน
"สวัสดีเราชื่อข้าวปุ้นนะเธอชื่ออะไรเหรอ" เพื่อนคนสวยชำเรืองมองฉันที่นั่งจ้องและรอคำตอบจากเธอและกดดันเธอต้องตอบและเป็นเพื่อนกับฉัน
"หญ้าหวาน" เธอตอบกลับมาสั้นๆแล้วไม่ได้สนใจฉันอีกเลยหันหน้าไปมองที่อาจารย์ เธอเห็นฉันเป็นเพียงอากาศที่วิ่งวนอยู่รอบตัวเธอ
"หญ้าหวานเรียนที่นี่ตั้งแต่ม.ต้นหรือเพิ่งย้ายเข้ามาเรียนใหม่เหมือนกับเรา" ฉันเคยยอมแพ้อะไรง่ายๆที่ไหนยิ่งคิดวิ่งหนีฉันยิ่งวิ่งเข้าชนไม่กลัวอะไรทั้งนั้น กับหญ้าหวานก็เหมือนกันฉันถือโอกาสเรียกชื่อเล่นเธอเพื่อตีสนิททันที
"เราเรียนที่นี่ตั้งแต่ม.ต้น" เธอยังคงหน้านิ่งและตอบกลับมาสั้นๆเหมือนเดิม
"ดีเลยงั้นเราเป็นเพื่อนกันหญ้าหวานจะได้แนะนำเกี่ยวกับเรื่องต่างๆที่โรงเรียนให้เราได้" ฉันมัดมือชกหญ้าหวานถึงเธอจะไม่ได้ตอบอะไรกลับมาแต่ฉันถือว่าเธอเป็นเพื่อนใหม่คนแรกของฉัน สำหรับชีวิตมัธยมปลายของฉันกำลังเริ่มต้นใหม่หมดทุกอย่าง ถึงจะยังเฉยฉันก็จะตามติดหญ้าหวานเหมือนเงาตามตัว เป็นวิญาณที่เกาะหนึบเหมือนเจ้ากรรมนายเวร ฉันกำลังเริ่มต้นใหม่กับเพื่อนใหม่ที่เรียนใหม่
"หญ้าหวานเราไปกินข้าวเที่ยงกัน โรงอาหารอยู่ที่ไหนเราสั่งข้าวข้างนอกเข้ามากินได้ไหม" ฉันยื่นหน้าจากโต๊ะของฉันเข้าไปคุยพยายามตีสนิทกับหญ้าหวานที่กำลังก้มเก็บสมุดหนังสือยัดใส่กระเป๋า
"ไม่น่าได้นะเราไม่เคยสั่งและก็ไม่อยากมีปัญญาด้วย" หญ้าหวานเงยหน้าจากกองหนังสือที่กำลังยัดเข้ากระเป๋านักเรียนมาเพื่อตอบคำถามของฉัน เธอเริ่มทำตัวตามสบายกับฉันมากขึ้น หญ้าหวานดูตรงข้ามกับฉันทุกอย่าง เธอจะนิ่งเงียบพูดน้อยไม่ค่อยแสดงอาการออกทางใบหน้าผิดกับฉันลิบลับชอบพูดชอบคุย แสดงความรู้สึกนึกคิดตัวตนออกมาชัดเจนและเปิดเผย เป็นคนตรงต่อความรู้สึกและมักแสดงมันออกมาชัดเจนไม่ชอบเก็บความรู้สึกเหมือนหญ้าหวาน แต่ฉันคิดว่าหญ้าหวานแค่แสดงออกไม่เก่งมากกว่า เธอไม่ได้เป็นคนเย็นชาอย่างที่ทุกคนมองเห็นเธออาจจะแค่ขี้เกียจพูด ขี้เกียจคุยแต่พอหญ้าหวานเจอคนคุยเก่งอย่างฉันที่ชอบชวนคุยเธอก็ดูพูดคุยมากขึ้นจากการสังเกตของฉันตอนที่เราเดินมาโรงอาหารด้วยกัน ฉันทำตัวสนิทสนมและผูกมิตรตามติดจนเธอเริ่มเปิดใจยอมรับฉันมากขึ้น
"เราไปจองโต๊ะก่อนแล้วกันเดี๋ยวไม่มีที่นั่งส่วนข้าวปุ้น
อยากกินอะไรก็ไปเลือกดูก่อนได้เลย" หญ้าหวานเดินแยกกับฉันออกไปหาโต๊ะว่าง ส่วนฉันก็กำลังเล็งดูว่าจะไปต่อแถวซื้อข้าวร้านไหนดี มันดูแปลกตากับที่ฉันเคยเรียนมาก เพราะที่นั่นทุกคนแค่เดินไปถือถาดกับข้าวและเลือกอาหารที่ทำแยกไว้เป็นสัดส่วนจะมีแม่ครัวคอยตักกับข้าวใส่ถาดให้พวกเราไม่ดูวุ่นวายเหมือนที่นี่ แต่สำหรับฉันแล้วกลับรู้สึกดีกับที่นี่อย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยเราได้เลือกกินหลากหลายอย่างที่เราอยากกินไม่ใช่เมนูที่ทางโรงเรียนจัดเตรียมไว้ให้
เสียงจอแจอึกทึกเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อนักเรียนกลุ่มใหญ่น่าจะหลากหลายชั้นเรียนกรูเข้ามาพร้อมกันที่โรงอาหารดูขวักไขว่และเร่งรีบไปต่อแถวยังร้านค้าที่ตัวเองเล็งเอาไว้ ฉันเริ่มได้สติและเรียนรู้ที่จะต้องแย่งชิงกับเเขาบ้างแล้ว ฉันรีบพุ่งไปร้านที่ฉันเล็งไว้ในตอนแรกซึ่งตอนนี้แถวที่ต่อยาวไปหลายกิโลเมตรได้แล้วมั๊ง จากตอนแรกที่เงียบๆฉันคิดว่าฉันจะได้กินสบายๆ ฉันเริ่มเข้าใจแล้วเราต้องรีบเข้าแถวเพราะที่นี่จะปล่อยนักเรียนแต่ละชั้นเรียนมากินข้าวพร้อมกัน เราจึงต้องแย่งชิงตำแหน่งหัวแถวเอาไว้ให้ดี
ปั๊ก!!
"อ๊ะ~~จะ..เจ็บ" ด้วยความรีบเร่งจะไปต่อแถวร้านข้าวที่ฉันอยากจะกินเพราะเห็นคนเริ่มต่อแถวกันมากขึ้นจึงไม่ได้สังเกตคนที่เดินไปมาและชนเข้ากับใครก็ไม่รู้ ฉันได้แต่ร้องเจ็บและเอามือลูบที่หน้าผากกลมมนด้วยความเจ็บ เพราะคนที่ฉันชนเข้าร่างกายแข็งแรงและกำยำน่าดู ถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นผู้ชาย เพราะเขายังคนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับมีแค่ฉันที่ดูเซเล็กน้อยอยู่คนเดียวมากกว่า ฉันค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองคนที่ฉันชนเพราะคนนั้นตัวสูงจนฉันมองไม่เห็นหน้าตอนเดินชน
"โอ้แม่เจ้า..." ฉันได้แต่ร้องตกใจเมื่อมองหน้าคนที่ฉันชนและยืนนิ่งค้างอยู่กับที่ ใครบอกฉันทีว่าไม่ได้ฝัน