Chapter1. อกหัก
หญิงสาวจ้องมองใบหน้าตนเองในกระจกเงาตรงหน้า เพราะไม่อาจกลั้นน้ำตาได้ทำให้เธอต้องหลบมาอยู่ในห้องน้ำ แต่เมื่ออยู่คนเดียวก็ดันร้องไห้หนักเข้าไปอีก จนสุดท้าย ‘ธีรยา’ ตัดสินใจเช็ดเครื่องสำอางออก ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่กล้าออกจากห้องน้ำด้วยสภาพหน้าตาเลอะเครื่องสำอางแน่ๆ
อกหักที่ยังไม่ได้บอกรักมันเจ็บขนาดนี้เลยเหรอ แค่คิดน้ำตาของหญิงสาวเอ่อคลอขึ้นมาอีก ทั้งที่เธอก็พอรู้อยู่แล้วว่าพี่ก้องภพมีคนที่ ‘คุย’กันอยู่ แต่วันนี้พี่เขาประกาศเปิดตัวแฟนก็ทำให้เธออกหักอย่างเป็นทางการ ไม่น่าเอาวันหยุดมางานสัมมนาอะไรนี้เลย คิดว่าจะได้อยู่กับพี่ก้องภพมากขึ้นแต่กลับมาเจอเรื่องเซอร์ไพรแบบนี้ เธอน่าจะเอาวันหยุดไปทำอย่างอื่นดีกว่า... ดีกว่าอะไรเล่า ยังไงเรื่องพวกนี้เธอก็ต้องรับรู้ความจริงเข้าสักวัน มือเรียวหยิบกระดาษทิชชู่สั่งน้ำมูกแล้วล้างมือ เธอส่องตัวเองในกระจกอีกครั้งแล้วหยิบลิปสติกมาเติมริมฝีปาก ส่วนหน้าตาก็ช่างมันเถอะ โชคดีที่ไม่ได้ติดขนตาปลอมมา ไม่งั้นคงไม่ต่างจากซอมบี้สยองแน่ๆ
ธีรยาสวมแว่นตาแล้วสำรวจตัวเองในชุดเดรสกระโปรงยาวเหนือเข่าเล็กน้อยสีไวน์แดง ตั้งใจให้ตัวเองสวยในสายตาคนที่แอบชอบแต่สายตาเขามองเธอเป็นแค่ ‘น้องสาว’ เท่านั้น หรือเธอพยายามไม่พอนะ ถึงไม่เคยข้ามขั้นจากน้องสาวเป็นคนรักได้เลย หญิงสาวส่ายหน้าไปมาแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ งานเลี้ยงจัดที่ชั้นล่างของโรงแรมในส่วนที่เป็นสวนสวย หลังผ่านงานสัมมนาวิชาการหนักหน่วงมาก็ได้เจองานเลี้ยงเพื่อผ่อนคลายและกระชับความสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมงาน
จะเรียกให้ถูกเธอคือแพทย์หญิงธีรยา เธอคือพยาธิแพทย์ (Pathologist) มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นหมอที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับหนอนพยาธิ (อ่านว่า พะ-ยาด) แต่รู้หรือไม่ว่า คำว่า พยาธิ (อ่านว่า พะ-ยา-ทิ) ซึ่งเขียนเหมือนกันแปลว่า โรค หรือความเจ็บไข้ พยาธิแพทย์คือแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่งที่ทำหน้าที่ในการตรวจและวินิจฉัยโรคจากอวัยวะเนื้อเยื่อ เซลล์ และสารคัดหลั่งจากร่างกายมนุษย์ การวินิจฉัยโรคจึงเป็นงานหลักของพยาธิแพทย์ ไม่ใช่การรักษาผู้ป่วยโดยตรง นั้นเหมาะกับนิสัยของเธอ และการทำงานในโรงพยาบาลรัฐก็ไม่ได้เลวร้ายสำหรับชีวิตสาวโสดแถมยังเป็นกำพร้าอย่างเธอด้วย
หญิงสาวเติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ตอนเด็กๆ ค่อนข้างผอมบางและขี้โรคทำให้ไม่มีใครอยากอุปการะเด็กอย่างเธอซึ่งเป็นแรงผลักดันให้อยากเป็นหมอ เธอมุ่งมั่นจนสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์และเรียนจบเป็นที่เชิดหน้าชูตาของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และทำงานในโรงพยาบาลรัฐใช้หนี้ทุนการศึกษา ช่วงที่เรียนอยู่เธอก็ทำงานพิเศษและมีเงินช่วยเหลือจากบ้านเด็กกำพร้า แม้ว่าทางบ้านเด็กกำพร้าจะไม่เรียกร้องเอาสิ่งใด แต่เมื่อเธอพอมีเงินเดือนก็เจียดเงินโอนไปให้สม่ำเสมอ อาจเพราะสถานที่แห่งนั้นเป็นเหมือน ‘บ้าน’ของเธอ แม้ตอนนี้เธอจะอยู่คอนโดขนาดเล็กที่กลายเป็น ‘บ้าน’ ของตัวเองแม้จะยังผ่อนอยู่ก็ตาม
ธีรยาเดินกลับเข้ามาในงานเลี้ยงแล้วหยิบแก้วเครื่องดื่มมาดื่มอย่างเหงาๆ อุตส่าห์เอาวันหยุดตัวเองมางานสัมมนาวิชาการนี้ก็เพราะอยากเจอก้องภพที่เป็นหมอประจำห้องฉุกเฉิน เธอรู้จักเขาตั้งแต่ตัวเองยังเป็นนักเรียนม.ปลาย เพราเขาเป็นรุ่นพี่เธอหลายปีและจบจากโรงเรียนเดียวกันและกลับมาทำกิจกรรมแนะแนวการศึกษาให้น้องๆ ได้รู้จักคณะต่างๆ ก่อนจะที่จะสอบเข้า เขาเป็นไอดอลของเธอเลยก็ว่าได้ แม้เขาอายุมากกว่าเธอหลายปี แต่ด้วยความที่ก้องภพเป็นคนคุยสนุกและเป็นกันเองจึงรู้สึกเหมือนพี่น้อง ซึ่งเธอคิดกับเขามากกว่า ‘พี่’ แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เคยกล้าเผยความรู้สึกในใจ บางทีเธอก็คิดว่าตัวเองคงกลัวว่าถ้าพูดออกแล้วความสนิทสนมที่เคยมีจะกลายเป็นห่างเหิน ซึ่งสุดท้ายแล้ว เธอก็ ‘อกหัก’ อยู่ดี
บทเวทีมีการแสดงของผู้ร่วมสัมมนา ธีรยาไม่ค่อยสนิทกับใครมากนัก เธอเลือกนั่งดื่มอยู่โต๊ะท้ายๆ แก้วแล้วแก้วเหล่า ดื่มอย่างไม่เคยดื่มมาก่อน แน่นอนว่าชีวิตเธอมันไม่มีโอกาสให้ดื่มแบบนี้นัก และยิ่งค่าใช้จ่ายที่มีเงินใช้อย่างจำกัดทำให้เธอตัดเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ไปได้เลย หญิงสาวรู้สึกตาพร่าและยิ่งเห็นภาพพี่ก้องภพนั่งคุยกับผู้หญิงที่เพิ่งประกาศตัวเป็นคนรัก ยิ่งทำให้เธอคว้าแก้วเครื่องดื่มมาดื่มอีก ราวกับรู้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ ก้องภพหันมาทางธีรยาที่นั่งคนเดียว เขาโบกมือเรียกหญิงสาวที่เอ็นดูเหมือนน้องคนหนึ่ง แต่ธีรยาที่วันนี้แต่งตัวสวยเป็นพิเศษลุกขึ้นยืนเดินโซเซออกไปด้านนอกงาน
“น้องหมิว...” ก้องภพพึมพำขึ้นมาแล้วหันไปพูดกับเขมิกาคนรักของเขา “พี่ไปดูน้องหมิวสักเดี๋ยวนะ”
“ไปเถอะค่ะ” เขมิกายิ้มให้ เธอรู้จักธีรยาหรือหมอหมิวจากปากของคนรักเพราะเขามักชอบเล่าเรื่องที่ทำงานให้ฟังบ่อยๆ และเคยพูดคุยกับธีรยาอยู่บ้าง ‘ผู้หญิงด้วยกันย่อมดูออก’ ว่าสายตาที่ธีรยามีต่อก้องภพมากกว่าพี่น้องอย่างที่ก้องภพพูด แต่เธอเชื่อใจคนรัก ธีรยาเองก็ไม่เคยแสดงท่าทีเกินเลยกับก้องภพ ทำให้เธอเกลียดผู้หญิงคนนี้ไม่ลง
ธีรยาเห็นก้องภพโบกมือให้ แต่เธอไม่พร้อมที่จะยิ้มให้เขาจึงตั้งใจลุกออกมาและกลับห้องพักที่อยู่โรงแรมเดียวกับที่สัมมนาและจัดเลี้ยง ทว่าเพราะดื่มเข้าไปมากแต่ละก้าวจึงไม่มั่นคงนัก เธอกำลังจะเอื้อมมือไปกดลิฟต์แต่ร่างไปชนเข้ากับใครบางคนอย่างไม่ตั้งใจ
“ขอโทษค่ะ”
หญิงสาวพูดกับอกเสื้อสูทเนื้อดีและกลิ่นน้ำหอมที่เธอไม่รู้จักแต่มันแสนเย้ายวนจนทำให้เธอต้องค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเป็นจังหวะเดียวกับชายหนุ่มก้มหน้าลงมองเธอ มือใหญ่จับไหล่ประคองไว้ไม่ให้ล้มลง
ดวงตาสีน้ำตาลหรี่ตามองใบหน้ารูปไข่ที่ไม่ได้แต่งหน้า แม้สวมแว่นตาแต่เห็นดวงตาคู่สวยได้ชัดเจน ริมฝีปากฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำที่เดาได้ว่าเป็นค๊อกเทลเพราะมีกลิ่นจางๆ จากลมหายใจอุ่นร้อน
“หมิว...”
เสียงคุ้นเคยทำให้ธีรยาสะดุ้งแล้วเผลอดึงเสื้อเขาไว้เป็นที่กำบัง อาศัยว่าอีกฝ่ายตัวสูงใหญ่กว่า แต่กระนั้นเธอก็ห่อไหล่ตัวทำตัวลีบ เสียงสัญญาณลิฟต์ดังขึ้นธีรยาสะดุ้งแต่ยังไม่ทันตั้งสติว่าจะทำอย่างไรต่อไป ไหล่ของเธอก็ถูกมือใหญ่จับไว้มั่นแล้วดันเข้าไปด้านในตามด้วยร่างสูงใหญ่ของคนแปลกหน้า และในวินาทีต่อมาเขาก็เอื้อมมือไปกดปิดประตูลิฟต์ทันที
“ชั้นไหน?”
“เอ่อ...” เธอขยับตัวถอยออกมาครึ่งก้าวแต่ร่างยังซวนเซอยู่ทำให้เขาเอื้อมมือไปจับไหล่เธอไว้ไม่ให้ล้มลง
“ถ้ายังดื่มไม่พอไปดื่มต่อห้องผมไหม?”
“คะ?”
หญิงสาวทำตาปริบๆ นี่เธอถูกผู้ชายชวนขึ้นห้องเหรอ?
ท่าทางซื่อๆของผู้หญิงตรงหน้าทำเอาชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ เขาเอื้อมมือไปกดหมายเลขชั้นที่ต้องการ
“คุณไม่พูดผมจะถือเป็นคำตอบรับก็แล้วกัน”
ธีรยาหลุบตาลง อืม...แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน คืนนี้เธอไม่อยากอยู่คนเดียว แม้ที่ผ่านมาจะใช้ชีวิตโดดเดี่ยวจนเคยชินก็ตาม.