ชายหนุ่มอุ้มหมาไปด้านใน ครู่ต่อมาก็เดินออกมาเห็นหญิงสาวกำลังกรอกเอกสารอยู่ เธอเขียนอะไรเสร็จแล้วก็หันมาทางเขาแล้วส่งยิ้มให้
“ขอบคุณมากนะคะ”
“ไม่เป็นไร”
เขาถอดแว่นกันแดดออกแล้วดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ เขาเห็นท่าทางตกใจของเธอ หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้แล้วยกมือขึ้นปัดขนหมาบนเสื้อของเขา
“เสื้อคุณเลอะหมดแล้ว”
“ไม่เป็นไร ของแค่นี้ส่งซักได้”
“คุณต้องไปทำงานหรือเปล่า ฉันอยู่ดูหมาเองได้ค่ะ” เธอถามอย่างเพิ่งนึกได้ นี่มันเวลาเช้าที่ใครต่อใครไปทำงานนี่ ก็มีแต่เธอนี่แหละที่จะไปนอน
“ไม่เป็นไร ผมไม่รีบ”
เขาตอบน้ำเสียงฟังดูเย็นชา ไม่อยากบอกว่าเขาเพิ่งกลับมาจากเลี้ยงและกำลังจะกลับบ้านหาที่ซุกหัวนอนและไม่คิดว่าตัวเองจะบังเอิญได้เจอหญิงสาวอีกครั้ง
“ถ้าไม่เจอคุณ ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงดี” หญิงสาวรู้สึกได้ว่าเขาเป็นคนดีมีน้ำใจ
“อย่าคิดมากไปเลย” เขาพูดขึ้น “แล้วจะทำยังไงต่อกับหมาพวกนี้”
หญิงสาวทำหน้ายุ่ง “ฉันอยู่คอนโดคงเอาพวกเค้าไปเลี้ยงไม่ได้ อาจจะฝากพี่รปภ.ให้ช่วยเลี้ยงไปก่อน พอแม่หมาหายดีก็จะประกาศหาบ้านให้หมาพวกนี้ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเอาไว้ที่ธนาคารของผมก็ได้ ผมจะให้รปภ.เลี้ยงให้”
“ธนาคาร? ธนาคารอะไรนะคะ”
“ธนาคารสยามเคดิตนะ” เขาพูดเพิ่มเติม
“อ้อ...ใกล้ๆนี่เองนี่คะ” เธอยิ้มกว้าง “คุณทำงานที่นั้นเหรอคะ”
ชายหนุ่มหน้านิ่งไป นี่เธอไม่รู้จริงๆหรือว่าเขาเป็นเจ้าของธนาคารสยามเครดิต เขาเห็นหน้าเธอครั้งเดียวก็จำได้ว่าเธอเป็นสินค้าที่นิพัฒน์เสนอให้เขาเอามาใช้หนี้สองแสนห้า พิชญนรีเห็นใบหน้าเขาเคร่งขรึมทำให้ตัวเองหยุดยิ้มไป เธอพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า จะอ้าปากถามก็เห็นคุณหมอเดินออกมาจากห้องรักษาพอดี
“น้องหมากระดูกขาหลังหลุดนะคะ ต้องX-RAY ไม่ต้องผ่าตัดแต่ดมยาสลบ แล้วดึงขาค่ะ”
“ค่ะ”
เธอพยักหน้าให้หมอทำการรักษา เจ้าตัวเล็กร้องโวยวายอย่างน่าสงสาร หญิงสาวย่อตัวลงนั่งกอดปลอบพวกมันไว้ กิริยาท่าทางอ่อนโยนนั่นยิ่งทำให้ปรินทรรู้สึกงุนงง ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้จักเขาและแน่นอนว่าคงไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นสินค้าแลกเปลี่ยนใช้หนี้ไปแล้ว ถ้าจะว่าเสแสร้งแกล้งทำ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นมันก็บังเอิญเกินไป ใครจะเจาะจงให้มันเกิดขึ้นได้แม่นยำขนาดนี้
“ฉันจะออกค่ารักษาเองค่ะ” หญิงสาวพูดขึ้นเผื่อว่าอีกฝ่ายจะคลายสีหน้ากังวลลง
ทว่าเขากลับได้สติและเพียงแค่ยกมือห้ามเอาไว้ก่อน
ดูแล้วค่ารักษาไม่ได้น้อย เงินเดือนพนักงานโรงแรมทั้งเดือนจะพอหรือเปล่าก็ไม่รู้ เขาก็ไม่ใช่คนดีอะไรนักหนา แค่เจ้าสิ่งมีชีวิตสี่ขาคือจุดอ่อนของเขา วัยเด็กที่ไม่อบอุ่นนัก ฐานะทางครอบครัวที่มั่นคั่ง ผู้คนนับถือพ่อของเขา เหล้านอก พระเครื่อง งาช้าง และอีกหลายอย่างที่เอามาเป็นของขวัญให้พ่อ แต่ไม่มีเลยที่เด็กชายจะต้องการ
เด็กอย่างเขา แค่อยากได้ลูกหมาสักตัว
แต่พ่อเขากลับไม่อนุญาตให้เลี้ยง แม่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้าอะไรที่พ่อบอกว่าไม่ก็คือไม่ หมาที่เขาอยากได้แค่ก็หมาตัวหนึ่งธรรมดาๆ แต่สำหรับพ่อมันคือศัตรูของบรรดาไก่ชนที่พ่อเลี้ยง เคยมีหมาจรเข้ามากัดไก่ราคาเหยียบหมื่นของพ่อตาย พ่อหยิบปืนไล่ยิงมันตายอนาถ
“อย่าให้กูเห็นเชียวนะมึง”
พ่อคิดว่าเขาเป็นคนพาหมาเข้าบ้าน เขาไม่รู้จักมัน แต่เคยเห็นมันเดินหากินข้างถนนในซอยที่เขาอยู่ เขาไม่รู้ว่าพ่อยิงหมาตัวนั้นเพราะมันกัดไก่พอ หรือเพราะต้องการให้ก้มหัวยอมรับ แม่บอกว่าเขาดื้อเงียบ และใช่ เขายอมรับ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาเหมือนพ่อ ความโหดเหี้ยมและเห็นแก่ตัวนั้นเขาได้รับมาเต็มๆ พ่อมีเมียน้อยนับไม่ถ้วน ส่วนแม่ได้แต่นั้นก้มหน้าก้มตายอมรับชะตากรรม หลังจากแม่ทนทุกข์มาหลายปี ก็จากไปด้วยโรคมะเร็ง ไม่มีใครปกป้องเขาได้นอกจากตัวของเขาเอง
“เอ่อ...คุณคะ”
เสียงของหญิงสาวทำให้เขาตื่นจางภวังค์
เขาก็เพิ่งรู้สึกตัวว่ามีอะไรบางอย่างกำลังงับขากางเกงของเขาอยู่ เขาก้มมองแล้วก็ขมวดคิ้ว ก้มลงหิ้วคอตัวอ้วนกลมขึ้นมาดู เป็นหมาจรแท้ๆ ทำไมอ้วนจริง หรืออ้วนเพราะขน เขาลองเขย่าเหมือนจะกะประมาณน้ำหนักของมัน เจ้าหมาน้อยร้องโวยวาย แล้วร่างของมันก็ถูกอุ้มไว้ด้วยแขนเพียงข้างเดียว
“สองตัวนี้อายุน่าจได้ฉีดวัคซีนแล้วก็ถ่ายพยาธิแล้วนะ”
ใบหน้านิ่งขรึมราวกับมีสีหน้าเดียวรวมทั้งน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ใด แต่กระนั้นเธอก็เชื่อว่าเขาเป็นคนดี ไม่อย่างนั้นคงไม่ช่วยหมาจร ไม่กลัวรถเลอะ ไม่กลัวเสื้อเปรอะเปื้อน เจ้าหมาน้อยก็ซุกซนเหลือเกินแต่เขาก็ไม่มีท่าทางจะโกรธอะไรมันสักนิด
“แล้วคุณไม่ต้องไปทำงานเหรอ” เขาถาม
พิชญนรียิ้มแล้วเสยผมแก้เขิน “เพิ่งเลิกงานค่ะ กำลังจะกลับที่พัก”
“อ่อ...”
เพียงรับคำอย่างรับรู้แต่เหมือนไม่ได้สนใจอะไรในตัวเธอนักและไม่ถามอะไรเพิ่มเติมทำให้เธอไม่รู้จะชวนเขาคุยอะไร เขาก็ยังคงนั่งรอเป็นเพื่อนเธอ เมื่อได้นั่งใกล้กัน เธอรู้สึกได้เลยว่าเขาเป็นคนตัวสูงรูปร่างหนา ขนาดว่าเธอตัวสูงถึง 167 ซม.แล้วนะ พออยู่ใกล้เขาเหมือนเธอจะตัวเล็กไปเลยทีเดียว แต่เมื่อสังเกตอย่างละเอียดเธอก็แอบกังวลใจว่าเขาจะเสียเวลากับครอบครัวหมาข้างถนนสามชีวิตนี้
“คุณอยากดื่มกาแฟไหมคะ มีร้านกาแฟสดอยู่ใกล้ๆ ค่ะ”
“คุณอยากดื่มเหรอ”
“เอ่อ...ค่ะ” ไม่หรอก เธอจะอยากกินกาแฟตอนนี้ทำไม นี่มันเวลาที่เธอจะต้องหัวถึงหมอนแล้วหลับเป็นตายไปแล้ว
“ก็ได้ เดี๋ยวผมไปซื้อให้”
ร่างสูงลุกขึ้นยืน หญิงสาวรีบลุกตามแล้วดึงชายเสื้อของเขาไว้ก่อนที่เขาจะเดินออกไป เขาเพียงเอี้ยวตัวมองมือเรียวที่จับชายเสื้อของเขา เธอทำตาปริบๆ ก่อนจะปล่อยมือออกอย่างรวดเร็วราวกับโดนของร้อนเข้าไป
“ฉันหมายถึง ฉันจะไปซื้อให้คุณเองคะ ไม่ใช่ให้คุณไปซื้อให้ฉัน”
“ปรินทร”
“คะ?”
เขาถอนหายใจหนัก “ผมชื่อปรินทร “
“อ้อ...ค่ะ คุณปรินทร ฉันพิชญนรีค่ะ เรียกพั้นซ์ก็ได้”
เธอเพิ่งนึกได้ว่าไม่ได้แนะนำกับเขา
ไม่เห็นสีหน้าแปลกประใจอะไร ชายหนุ่มก็กระตุกยิ้มที่มุมปาก ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้สวยเลิศเลอ แต่โครงหน้าสวย ดวงตากลมโตเป็นประกาย คิ้วเรียว และริมฝีปากที่อิ่มอย่างเป็นธรรมชาติ ดูเหมือนเธอถูกสร้างมาอย่างพอดี ทำให้เธอดูน่ารักน่ามองได้เบื่อ
เขาเริ่มพอใจสินค้าตัวนี้เข้าให้แล้ว
เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น ชายหนุ่มหยิบมันออกจากกระเป๋าแล้วเดินเลี่ยงไปทางอื่น พิชญ์นรีกลับรู้สึกโล่งอกที่เขาเดินห่างออกไป เพราะอยู่ใกล้กันเกินไปหรืออย่างไร หรือเพราะท่าทางเขาที่ไม่อาจเดาได้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ทำให้เธอรู้สึกหวาดๆ ในตัวเขา เขาเดินออกไปคุยโทรศัพท์นอกโรงพยาบาล แต่เธอก็ยังมองเขาผ่านกระจกบานใส ราวๆ ห้านาทีต่อมาเขาก็หันมาทางเธอ เหมือนกับรู้ว่ามีใครสักคนมองอยู่ หญิงสาวเก็บอาการตกใจแล้วแสร้งก้มหน้ามองลูกหมาที่เดินไปมาในบริเวณนั้น