ขอเวลาหาเจ้าสาวหนึ่งอาทิตย์
วันนี้เหมือนเป็นวันพิพากษาชีวิตของกฤตภพเลยก็ว่าได้ เมื่อประมุขใหญ่ของบ้านกับภรรยาเรียกเขาเข้าไปพบ บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความตึงเครียดสำหรับเขามากที่สุด
“ตากฤต วันนี้แม่ขอยื่นคำขาดเลยนะ แกต้องแต่งงานกับเจ้าสาวที่แม่เลือกให้ได้แล้ว! พ่อกับแม่ให้โอกาสแกหาเมียด้วยตัวเองมาหลายปีแล้วนะ แกก็ยังใช้ชีวิตเป็นหนุ่มเพลย์บอยมาจนถึงทุกวันนี้ ยังไงๆ วันนี้แม่ไม่มีทางยอมแกอีกแล้ว”
“แม่คร้าบ แต่ว่าผมยัง...”
“ไม่มีคำว่าแต่ และไม่มีคำแก้ตัวว่ายังไม่พร้อม แม่ได้ยินแกพูดแบบนี้มากี่ปีแล้ว เมื่อไหร่...เมื่อไหร่แกถึงจะพร้อม ต้องรอให้พ่อกับแม่ตายก่อนหรือยังไง” คุณนายกัลยาบ่นว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างเอือมระอาเต็มทน
“แล้วแม่จะให้ผมแต่งกับใครล่ะครับ”
“ผู้หญิงดีๆ มีเยอะแยะ อย่างเช่นหนูแพรว ลูกคุณหญิงขวัญใจ หนูไอซ์ลูกคุณนายกิมกี่ หนูแข ลูกท่านรัฐมนตรีอดิสร แล้วก็หนูเหมียวลูกคุณหญิงไฉไล แกก็เลือกเอาสักคนสิ”
“อ้าว แล้วคุณหนูอัญชนาลูกของคุณหญิงบุษกรเพื่อนแม่อีกคนล่ะครับ หายไปไหน” กฤตภพยังจำได้ ว่าแม่ของเขาก็เคยทาบทามเด็กสาวคนนั้นให้เขาเหมือนกัน
“รายนั้นท่าทางเขาเกลียดแกเข้าไส้ แม้แต่หน้าแกเขาก็ยังไม่อยากมอง แม่ไม่อยากฝืนใจเขา”
“เหรอครับ”
“พรุ่งนี้พ่อกับแม่จะไปเจรจาขอสาวให้แก เลือกเอาว่าจะแต่งกับคนไหนที่ไล่รายชื่อมาเมื่อกี้” ผู้เป็นแม่ทำสีหน้าจริงจัง
“แล้วถ้าผมไม่เลือกล่ะครับ”
“แกก็จะไม่ได้รับมรดกหมื่นล้านของฉันน่ะสิ” นายพิภพ เอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก เขาก็อยากให้ลูกชายแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที หิรัญภักดีจะได้มีทายาทสืบสกุล
“พ่อ! แล้วถ้าพ่อไม่ยกสมบัติให้ผม แล้วพ่อจะยกให้ใครล่ะครับ”
“ฉันก็จะยกสมบัติทั้งหมดให้กับการกุศลน่ะสิ” นายพิภพตอบสั้นๆ
จริงๆ แล้ว คนเป็นพ่อก็แค่คิดที่จะขู่ลูกชายเท่านั้น เขาเองก็แก่มากแล้ว เห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันเขาได้อุ้มหลานสองสามคนแล้ว แต่ลูกชายเพียงคนเดียวของเขากลับยังหาเมียเป็นตัวเป็นตนไม่ได้สักที
“พ่อกับแม่ใจร้ายกับผมมากเลยนะครับเนี่ย”
กฤตภพทำท่าโอดโอยเหมือนเด็กๆ
“แกไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นเลยนะ พ่อกับแม่ไม่ได้สั่งให้แกไปลงนรกเสียหน่อย”
“ผมว่ามันยิ่งกว่าไปลงนรกเสียอีกนะครับ ผู้หญิงน่ากลัวจะตาย เชื่อใจก็ไม่ได้ วันๆ เอาแต่ช็อปปิ้ง คิดถึงแต่สามีรวยๆ แล้วก็เอาแต่แต่งสวยตลอดเวลา น่าเบื่อจะตาย”
ผู้มากวัยสองคนได้แต่ส่ายหน้าไปมาในความคิดของบุตรชายคนเดียวของพวกเขา นี่กฤตภพคงไปเจอผู้หญิงคนไหนหักอกมาหรือเปล่า หรือไม่ก็ไปยุ่งกับผู้หญิงไม่ค่อยดีมา จนทำให้มุมมองในการมองผู้หญิงของเขาถึงได้ดูเลวร้ายแบบนี้
“แกลืมไปแล้วเหรอว่าแม่ก็เป็นผู้หญิง”
“โธ่ แม่ก็ส่วนแม่สิครับ ผู้หญิงที่ผมรู้จักไม่มีใครดีเหมือนแม่สักคน ไม่งั้นผมคงสละโสดไปนานแล้ว ไม่อยู่เป็นโสดมาจนถึงป่านนี้หรอกครับ”
เขาไหลลื่นไปได้ยิ่งกว่าปลาไหลเสียอีก แต่หนนี้ไม่รู้ว่าจะลื่นไหลไปได้อีกหรือเปล่า
“แต่แกก็ยังไม่เคยคบกับลูกสาวของเพื่อนแม่ที่แม่แนะนำ เอาละ ตอบแม่มาเดี๋ยวนี้...ว่าแกจะเลือกใคร พรุ่งนี้แม่จะไปสู่ขอน้องเขาให้”
“แล้วแม่ถามลูกสาวของเพื่อนแม่แต่ละคนแล้วเหรอครับ ว่าเขาจะแต่งงานกับผมหรือเปล่า”
“แกไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น แม่หยั่งเชิงมาหมดแล้ว ไม่มีปัญหาแน่นอน แกเลิกถามเซ้าซี้ได้แล้วนะ บอกมาซะดีๆ ว่าจะเลือกใครเป็นเจ้าสาวของแก”
“โอเคครับแม่ คราวนี้ผมยอมพ่อกับแม่ก็ได้ แต่ผมขอเวลาหนึ่งอาทิตย์ได้มั้ยครับ แค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น ผมสัญญา...ว่าถ้าผมหาผู้หญิงที่ผมจะแต่งงานด้วยไม่ได้จริงๆ ผมจะยอมทำตามที่พ่อกับแม่สั่ง ได้ไหมครับ” กฤตภพอ้อนวอนด้วยสายตา
“สัญญาแน่นะ” นายพิภพมองลูกชายด้วยแววตาคาดคั้น
เพราะลูกชายของเขาคอยผ่อนผันเรื่องนี้มาโดยตลอด พยายามที่จะหาเหตุผลมาคัดค้านสารพัด แต่ว่าวันนี้เขากับภรรยาได้คุยกันแล้วว่า ยังไงก็ต้องพูดให้กฤตภพยอมแต่งงานให้ได้ ถ้าพูดไม่ยอมฟังก็ต้องบังคับกันจริงๆ จังๆ เสียที
“แน่ครับพ่อ” แต่สายตาของคนพูดกลับไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย เขาก็แค่ตอบพ่อกับแม่ไปแบบส่งๆ เท่านั้น ทั้งที่หัวใจของเขาตอนนี้มันยังว่างเปล่า แล้วก็ว่างมาสองสามปีแล้วด้วย
นายพิภพกับศรีภรรยามองหน้ากันครูหนึ่ง เหมือนพูดคุยกันทางสายตาบางอย่าง อย่างคนที่รู้ใจกันมานาน และคงเป็นครั้งสุดท้ายที่สองสามีภรรยาจะยอมอุทธรณ์ให้ลูกชายที่ลื่นยังกับปลาไหลคนนี้ เพราะกฤตภพขอเลื่อนเรื่องการแต่งงานมานานเป็นสิบๆ ปีแล้ว
“ตกลง แม่จะให้เวลาแกหนึ่งอาทิตย์สุดท้าย ให้แกเลือกเจ้าสาวเอง แต่มีข้อแม้นะ ผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นคนดีมีการศึกษา แต่แม่ขอเตือนแกก่อนนะ ไม่ว่าแกจะแต่งงานกับใคร อย่างน้อยแกจะต้องอยู่กับเขาให้ครบสองปี เมื่อครบสองปีเมื่อไหร่ พ่อกับแม่ถึงจะยกมรดกหมื่นล้านให้กับแก และเมื่อไหร่ที่แกมีหลานให้พ่อกับแม่อุ้ม ถ้าแกอยากได้อะไรก็เอาไปเลย เข้าใจที่แม่พูดมั้ย” คุณนายกัลยายื่นคำขาด
“เข้าใจครับแม่” กฤตภพตอบเสียงเบาอ่อยๆ แทบจะไม่ได้ยิน
มรดกก็อยากได้ แต่ไม่อยากมีเมียเป็นตัวเป็นตน แล้วเขาจะไปหาเจ้าสาวที่ไหนได้ไวขนาดนี้เนี่ย ขอเวลามากกว่านี้ก็ไม่ได้ กฤตภพรู้สึกกลุ้มใจมากที่สุดก็วันนี้ ตายแน่ๆ เขาต้องตายแน่ๆ เขาเกลียดการคลุมถุงชนที่สุด! แต่ทำไมยิ่งเกลียดก็ยิ่งเจอก็ไม่รู้
กฤตภพกลุ้มใจมาก เขาขับรถไปเรื่อยๆ จนถึงจังหวัดขอนแก่น เขาหวังว่าการเดินทางไปปรึกษาเพื่อนรักคราวนี้ เขาคงจะมีทางออกที่ดีบ้าง เพราะเพื่อนรักของเขาคนนี้ประสบความสำเร็จในชีวิตรักและครอบครัวอย่างน่าอิจฉาที่สุด
“ไฮ กฤตภพ ลมอะไรพัดนายมาถึงที่นี่เนี่ย”
“ลมขื่นขักมั้ง”
ฟินิกซ์ทำหน้างง เพราะผวนภาษาไทยไม่เป็น แม้ว่าจะได้ภรรยาเป็นคนไทย และพูดภาษาไทยได้ แต่ถ้าให้ผวนคำ เขาผวนไม่เป็นเลย
“ลมขื่นขัก ก็รักขื่นขมยังไงล่ะ” กฤตภพผวนคำเพี้ยนๆ ของเขาเอง แต่ฟินิกซ์ก็พอจะฟังเข้าใจบ้าง
“นายถูกสาวที่ไหนหักอกมาเหรอ”
ฟินิกซ์ถามขณะเดินนำกฤตภพเข้าไปในร้านอาหารของตนเอง ก็พบม่านไหมกำลังป้อนข้าวให้ลูกชายคนเล็ก ท่าทางของคุณแม่ยังสาวยังสวยดูจะมีความสุขมากในการป้อนข้าวลูก
“ถ้าแค่โดนสาวๆ หักอก ฉันคงไม่มาหาแกถึงที่นี่หรอก” ร่างสูงใหญ่ตอบขณะที่เดินตามหลังเพื่อนรักไปเรื่อยๆ พอเด็กน้อยหันมาเห็นก็ยิ้มแป้นให้กับเขา
“คุณกฤต! หวัดดีค่ะ ตามสบายนะคะ ไหมขอป้อนข้าวให้เจ้าตัวเล็กนี่ก่อนนะคะ”
ม่านไหมยิ้มให้กฤตภพ ขณะที่ในมือยังถือช้อนที่มีคำข้าวพร้อมที่จะป้อนลูกชายแสนซนของหล่อน พ่อหนูน้อยไม่ยอมอ้ำคำข้าวง่ายๆ เพราะมัวแต่หันมามองผู้มาใหม่ด้วยความอยากรู้และเรียกร้องความสนใจ
“ตามสบายเลยครับ ไงเจ้าตัวเล็ก จ้ำม่ำเลยนะ ฮ่าๆ อิจฉาแกจริงๆ เลยว่ะฟินิกซ์ มีเมียมีลูกน่ารักขนาดนี้”
กฤตภพย่อตัวลงนั่งยองๆ เอื้อมมือไปหยิกแก้มพ่อหนูน้อยด้วยความหมั่นเขี้ยว ก่อนที่จะเดินตามหลังคุณพ่อยังหนุ่มไป
“แล้วทำไมแกถึงไม่แต่งงานเสียทีล่ะ แกจะได้ไม่ต้องมาอิจฉาฉัน”
กฤตภพถอนหายใจยาวเมื่อโดนฟินิกซ์พูดจี้ใจดำพอดีเป๊ะ ไม่รู้ว่าเขาเดินทางมาปรึกษาเพื่อนรักคราวนี้จะได้เรื่องได้ราวบ้างหรือเปล่า หรือว่าจะโดนเพื่อนสวดเอาก็ยังไม่รู้