ตอน
โจรป่าหน้าหล่อ
ตุบ!!!
ก้อนหินขนาดกำปั้นเด็กกระแทกเข้าใส่หน้าอกของชายหนุ่มอย่างจัง จนคนที่ถูกปลุกด้วยการเจ็บตัวกัดฟันกรอด เขาลุกขึ้นมองหาวัตถุที่ลอยมากระทบร่างก่อนจะมองไปยังตัวการที่น่าจะเป็นต้นเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มหยิบหมวกที่เขาใช้ปิดหน้าอยู่ขว้างไปสุดกำลัง หมวกปีกกว้างปลิวหวือไปกระแทกกับกรงไม้ ขณะที่คนอยู่ด้านในถอยกรูดไปด้านหลัง แล้วแลบลิ้นทำหน้าเป็นให้ เมื่อหมวกดังกล่าวหล่นอยู่ด้านนอก
“ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้นะ แกจับฉันมาทำไม? แกต้องการอะไร”
ชายหนุ่มที่ดูหงุดหงิดไม่แพ้กันเดินปรี่เข้าตรงไปยังกรงไม้ที่หญิงสาวยืนเท้าเอวคอดต่อว่าเขาอยู่ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะเกรงกลัวเขาสักนิด เธอเพิ่งจะสังเกตเห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบดำของเขาเมื่อร่างใหญ่เข้ามาใกล้ คิ้วคมเข้มวิ่งเข้าชนกันอย่างไม่สบอารมณ์อย่างแรง กรามแกร่งขบกันแน่นจนนูนออกมาเด่นชัดแลดูน่ากลัว ใบหน้าคมคายราวกับรูปสลักบึ้งตึง กระนั้นก็ไม่อาจลดทอนความหล่อเหลาในแบบชายหนุ่มลูกครึ่งไทยเยอรมันที่อยู่ในสายเลือดลงได้แม้แต่น้อย
หญิงสาวชักเริ่มไม่แน่ใจ ว่าการที่ไปยั่วให้ชายผู้นี้โกรธขึ้นมาเป็นความคิดที่ถูกต้องเท่าไหร่นัก เขาหยุดยืนหน้าประตูกรงขังที่คล้องด้วยโซ่ขนาดใหญ่ล็อกเอาไว้ด้วยแม่กุญแจที่เก่าคร่ำครึ ชี้หน้าเธอด้วยแววตาโกรธจัดหากความรู้สึกเหล่านั้นล้วนแสดงออกทางอากัปกิริยาท่าทางโดยไร้ซึ่งคำบริภาษใดๆ ออกมาจากปากหยักสวยของเขา
“คุณจับฉันมาทำไม อยากตายนักใช่มั้ยห๊า ไม่รู้หรือไงว่าคู่หมั้นฉันเป็นใครน่ะ”
ชายหนุ่มกระตุกยิ้มแว่บหนึ่ง สำหรับหญิงสาวแล้วมันเป็นรอยยิ้มที่กวนประสาทที่สุดในสามโลก แต่อย่างน้อยไอ้ท่าทางแบบนี้มันก็ช่วยให้เธอรู้ว่าชายตรงหน้าฟังภาษาที่เธอพูดเข้าใจ เขาชี้หน้าเธออีกครั้งราวกับเตือนเป็นนัยว่าอย่าได้บังอาจทำแบบเมื่อกี้กับเขาอีกเป็นอันขาด
พันธิตรามีสีหน้าเจื่อนลงไปเล็กน้อย เธอคิดว่าคงไม่ฉลาดเท่าไหร่ที่จะไปต่อกรกับเขาทั้งที่เธอยังอยู่ในสภาพนักโทษแบบนี้หรอกนะ
“ที่นี่ที่ไหน… ฉันถามว่าที่นี่ที่ไหนหูแตกหรือไงห๊ะ! เป็นใบ้หูหนวกด้วยเหรอ”
หญิงสาวถามออกไปเพื่อต้องการหาข้อมูลประกอบแผนการหลบหนีของเธอ แต่ก็เหมือนพูดอยู่กับลมกับแล้ง ชายหนุ่มหันหลังให้แล้วเดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้สนามของเขาอย่างเดิม ไม่ได้สนใจท่าทางหัวเสียของเธอเลยสักนิด พันธิตราถอนหายใจเสียงดัง พยายามนับหนึ่งถึงสิบเพื่อสงบสติอารมณ์ของเธอ
“ฉันหิวข้าว ฉันหิวน้ำด้วยนะ ขอน้ำกินหน่อยสิ”
มือเล็กเกาะลูกกรงไม้มองไปยังชายแปลกหน้าตาละห้อย แสร้งทำสีหน้าวิงวอนออดอ้อน
ชายหนุ่มดีดตัวลุกขึ้น เขาถือกระบอกไม้ไผ่ที่หญิงสาวคิดว่ามันน่าจะเป็นภาชนะสำหรับบรรจุน้ำดื่มเข้ามาใกล้ ใบหน้าของเขาสงบนิ่งไร้อารมณ์ มีเพียงสายตาเท่านั้นที่มองมายังเธอเหมือนเหนื่อยหน่ายปนรำคาญ ใบหน้าสวยของหญิงสาวระรื่นขึ้นนิดหน่อยเพราะรู้สึกว่าเขายังพอมีน้ำใจอยู่บ้าง นับเป็นก้าวแรกที่ไม่เลวนักสำหรับการสร้างมิตรภาพของทั้งสอง และถ้าเป็นเหมือนที่คิดเธอจะพยายามเกลี่ยกล่อมให้เขาปล่อยตัวเธอไป
“ขอบใจ…”
หญิงสาวยื่นมือออกไปรับกระบอกน้ำจากชายหนุ่ม แต่แทนที่เขาจะส่งให้เธอเหมือนที่คิด เขากลับสาดมันใส่หน้าของเธอโครมใหญ่
“ว้าย! ไอ้บ้า ทำอะไรเนี่ย”
หญิงสาวยกมือลูบหน้าลูบตา ฉุนปรี๊ดขึ้นมายังกับปรอทแตกถ้าดูไม่ผิดเธอเห็นชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างสะใจก่อนที่เขาจะเดินกลับไปนอนอยู่บนแปลสนามที่เดิม
“ไอ้บ้า ไอ้โรคจิตไอ้…”
หญิงสาวหยุดกึกกลืนคำสบถที่เหลือลงคอ เมื่อเห็นชายหนุ่มโหย่งตัวขึ้นชี้หน้าเธออย่างหมายหัว หน้าสวยงอง้ำนั่งสางผมตัวเองที่เปียกโชกพร้อมกับบ่นงึมงำอยู่เงียบๆ จนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง
กองไฟขนาดไม่ใหญ่นักถูกก่อขึ้นมาในช่วงเวลาโพล้เพล้ ดวงตะวันโบกมือลาทิ้งลำแสงสุดท้ายให้กับโลก ก่อนพระจันทร์เสี้ยวสีเหลืองนวลจะยิ้มร่าขึ้นมาทำหน้าที่แทนในยามค่ำคืน เหนือเปลวไฟมีไก่ป่าเสียบไม้ตัวใหญ่ กำลังถูกย่างหมุนไปมาส่งกลิ่นหอมเตะจมูก จนทำให้ท้องไส้ของหญิงสาวร้องประท้วงดังหลายรอบ ชายหนุ่มกางเต็นท์ขนาดเล็กสำหรับนอนเพียงคนเดียวเอาไว้ข้างกองไฟ ท่าทางของเขามีความสุขราวกับมาเที่ยวตั้งแค้มป์กลางป่าในวันหยุดสุดสัปดาห์ อารมณ์ต่างกับลิบลับกับคนที่ไร้อิสรภาพอยู่ในที่กักขัง วันนี้ทั้งวันหญิงสาวยังไม่ได้ยินเสียงของเขาสักแอะ แต่ก็ยังไม่อาจจะคิดเองเออเองว่าชายหนุ่มหน้าเฉยตรงหน้าจะเป็นใบ้
บรรยากาศในป่ายามไร้แสงสว่างของดวงอาทิตย์มันช่างดูน่ากลัว ด้วยเสียงแปลกประหลาดของสัตว์ป่าที่ดังรอบตัว หญิงสาวไม่อาจคาดเดารูปร่างหน้าตาของมันได้จากเสียงร้องที่ดังกึกก้อง บ้างก็ร้องโหยหวนยังกับผีป่า ประโยชน์เพียงอย่างเดียวของคนหน้าเฉยเบื้องหน้าคือช่วยทำให้เธอใจชื้นขึ้นมาบ้าง เพราะอย่างน้อยก็ไม่ได้อยู่ตามลำพังคนเดียว
ชายหนุ่มจุดคบเพลิงมาปักเอาไว้ด้านหน้ากรงขังหนึ่งอัน แสงสว่างของมันช่วยให้หญิงสาวอบอุ่นขึ้นบ้างเล็กน้อยจากอุณหภูมิรอบตัวที่เริ่มลดลง เธอไม่ได้โวยวายอะไรอีกหลังจากเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน อาจเป็นเพราะหญิงสาวเรียนรู้ว่าการเอะอะโวยวายไม่ใช่สิ่งที่ฉลาดนัก สำหรับการเป็นนักโทษของเขา หรือไม่ก็เพราะเธอคอแห้งเป็นผง และหิวจนท้องกิ่วกลัวว่าการฟาดงวงฟาดงาไปจะทำให้เธอไม่มีอาหารตกถึงท้อง สายตาของหญิงสาวพุ่งเป้าไปที่ไก่ย่างหอมฉุย กลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอเอื๊อกใหญ่ นัยน์ตาดำขลับส่องประกายจ้าราวกับลูกนกตัวน้อยผู้หิวโหยรอคอยเหยื่ออันโอชะจากมารดานำมาป้อน
ชายหนุ่มปลดไก่ป่าที่ย่างสุกลงมาฉีกกินอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่ได้เหลือบสายตามองหญิงสาวสักนิด ภาพที่เห็นเบื้องหน้ากระตุ้นให้ต่อมอยากอาหารทำงานหนักท้องไส้ป่วนปั่นไปหมด จนพันธิตราต้องหันหน้าหนีมองออกไปอีกด้านซึ่งเป็นหน้าผา พระจันทร์ที่ลอยเด่นบนฟ้าเหมือนยิ้มเยาะให้คนไกลบ้าน เธอไม่อยากจะคิดถึงชะตากรรมของตัวเองต่อไปจากนี้ด้วยซ้ำ
“เอ้า กินซะ เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งตายไปก่อนจะเจอเรื่องสนุกๆ”
พันธิตราหันไปตามเสียงทุ้มห้าวที่มีแววหยันอยู่ด้านหลัง คิ้วเรียวขมวดมุ่นกับประโยคแรกที่เขาพูดกับเธอด้วยภาษาไทยสำเนียงแปร่งๆ มีไก่ชิ้นหนึ่งวางอยู่พร้อมกระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำดื่มพิงเอาไว้กับประตูกรงขัง เธอเห็นแผ่นหลังกว้างเดินห่างออกไปหญิงสาวจึงรีบคว้าอาหารมากินด้วยความหิวโหย สายตาจ้องมองชายแปลกหน้าอย่างไม่ละสายตา เขากลับไปเปิดเป้ใบใหญ่ออกหยิบอะไรบางอย่างออกมา มันส่องประกายวับวาวกับแสงไฟ เธอเดาว่ามันน่าจะเป็นอาวุธปืน เขาเหน็บมันกับเอวแล้วเปิดเต็นท์เข้าไปนอนอย่างสบายใจทิ้งเธอไว้ให้ผจญโชคชะตาอยู่ด้านนอกเพียงลำพัง
หลังมื้ออาหารผ่านไปหญิงสาวนั่งกอดเข่ามองไปรอบๆ กรงขังที่มีแต่ความมืดมิด สถานที่แห่งนี้มันเหมือนว่าเธออยู่คนละโลกกับก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ตึกรามบ้านช่องรูปทรงทันสมัย แสงสีสวยงามของไฟประดับยามค่ำคืน ไม่มีอะไรเลยนอกจากแสงวับแวมของกองไฟด้านนอก และความรู้สึกหวาดกลัวที่กำลังกัดกินใจของเธออยู่
“คุณพ่อคะ คุณแม่คะ… ณัจคิดถึงพ่อแม่นะคะ”