Chapter 6
เกมสวาท
พาณิชกุลย์ พร็อพเพอร์ตี้ แลนด์...
"ลาออก! เกิดอะไรขึ้นถึงอยากลาออกล่ะเอย"
เสียงของภาณุวัฒน์ค่อนข้างตกใจ เมื่อจู่ ๆ เลขาที่เพิ่่งเริ่มงานก็เดินเข้ามาแจ้งความประสงค์...แววตาเจือความสงสัยไล่มองไปทั่วดวงหน้าหวาน ร่องรอยของคนที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักนั้นไม่อาจหลอกเขาได้
"มีอะไรคับข้องหมองใจหรือเอย เมื่อคืนร้องไห้มาล่ะสิ มีอะไรเราควรคุยกัน"
จันทร์เจ้าเอยขบกรามแน่น แววตาร้อนผ่าวปวดหนึบ สองมือที่ประสานกันอยู่บนหน้าตัก หล่อนบีบเข้าหากันจนสัมผัสได้ว่ามันกำลังชุ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ
"เอย...เอ่อ..."
"ถ้าหนูลาออกตอนนี้ก็ถือว่าผิดกฎ ตามสัญญาคือ
ต้องอยู่ให้ครบหนึ่งปี และเท่ากับว่าหนูทำให้ทางเราได้รับความเสียหาย การสรรหาทรัพยากรบุคคลแต่ละครั้งล้วนมีค่าใช้จ่าย เงินหนึ่งแสนบาทที่ต้องหามาใช้หนี้ หนูมีจ่ายเหรอเอย"
นั่นแหละที่เป็นปัญหาใหญ่ หล่อนไม่อาจหามาได้และก็ไม่รู้จะไปหยิบยืมใครได้ ที่สำคัญ ตอนนี้บิดาต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากเพื่อผ่าตัดรักษามะเร็งที่กำลังลุกลามไปเรื่อย ๆ เรื่องร้าย ๆ ประเดประดังจนซวนเซ ชีวิตหล่อนเหมือนเรือน้อยที่ลอยคว้างอยู่กลางทะเลหาทางกลับเข้าฝั่งไม่เจอ
และเมื่อใจแบกรับความกดดันเอาไว้ไม่ไหว หยาดน้ำตาที่กักเก็บเอาไว้จึงหลั่งไหลพรั่งพรู
"คุณวัฒน์คงไม่รู้ พี่เหนือ...เขา...ฮือ ๆ"
ตาเหนือ! เขาทำอะไร!"
เขา...เขาคิดว่าเอยคือเมียเก่าของเขา และเมื่อคืน...เขา...เขาก็ขืนใจเอยค่ะ!"
".....!"
เหมือนถูกตบจนหน้าชา ภาณุวัฒน์นิ่งอึ้งไปพักใหญ่
พูดอะไรไม่ออก จริงอยู่ที่หมายมั่นปั้นมือหลอกล่อจันทร์เจ้าเอยมาเป็นลูกสะใภ้ แต่ไม่คิดว่าลูกชายจะไวไฟจับอีกฝ่ายทำเมียเร็วเช่นนี้
ในคราแรกเขาจะให้ค่อย ๆ ศึกษาดูใจกันไป อาศัยความใกล้ชิดเพื่อให้ทั้งสองเกิดความรู้สึกที่ดีต่อกัน และเขาคิดว่าเลือกคนไม่ผิด ในเมื่อเหตุการณ์เป็นแบบนี้ เห็นทีจะต้องเปลี่ยนแผน
และที่สำคัญ ลูกชายของเขาจะต้องรีบมีเมียใหม่ ก่อนที่แม่ของลูกตัวจริงจะกลับมาเรียกร้อง ทวงถามสิทธิ์ที่หล่อนควรได้รับ
จับแต่งซะให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ไหน ๆ ก็เป็นฝ่ายเลือกหล่อนเข้ามาในชีวิตลูกชายด้วยตัวเอง ดีเหมือนกัน หลานของเขาจะได้มีแม่ แต่แม่ของหลานจะต้องไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น คนที่ทิ้งได้แม้กระทั่งสายเลือดตัวเอง
"จริงเหรอเนี่ยหนูเอย ที่หนูกับตาเหนือได้เสียกันแล้ว!"
จันทร์เจ้าเอยพยักหน้ารับทั้งน้ำตา มันแสลงใจเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ยออกมาได้
ภาณุวัฒน์ถอนหายใจอย่างรู้สึกผิด และเขาก็ต้องรับผิดชอบชีวิตของหล่อน ใครจะไปรู้ หลานของเขาอาจจะโผล่ตาใสมาอีกคน และเขาจะไม่ยอมให้หลานต้องระหก ระเหินไร้พ่อเป็นอันขาด
เขาทำทีเป็นฟึดฟัดโกรธลงหัวลูกชาย ทั้งที่ความจริงมันก็เข้าทางความต้องการของเขาเรื่องจับแต่งงาน เพียงแต่มันอาจมาเร็วเกินคาดไปหน่อยเท่านั้น
"ตาเหนือจะต้องรับผิดชอบ ได้เขาแล้วจะทิ้งขว้างทำไม่รับผิดชอบไม่ได้!"
"เอยขอโทษนะคะ ที่ต้องบอกความจริงกับคุณ"
"ถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว มีอยู่ทางเลือกเดียว ฉันจะรับผิดชอบด้วยการไปสู่ขอหนูกับครอบครัว ส่วนงานแต่งฉันจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง ถือว่าชดเชยที่ฉันเป็นคนชวนหนูไปอยู่ที่บ้าน"
'.....!'
สีหน้าและแววตาของคนตรงหน้า ทำให้ภาณุวัฒน์รีบหว่านล้อม ด้วยการเอาปัญหาของหล่อนมาบีบบังคับ
"คิดให้ดีนะเอย ถ้าหากลาออกหนูก็ต้องจะหาเงิน
ก้อนใหญ่มาใช้หนี้ แต่ถ้าหนูยอมแต่งงานกับตาเหนือ ค่าสินสอดก็จะช่วยต่อลมหายใจของคุณพ่อ ไหนจะเงินก้อนใหญ่ที่จะเป็นค่ายารายเดือน คุณปู่ของหนูก็ต้องหาหมอทุกเดือนเหมือนกันไม่ใช่เหรอ"
จันทร์เจ้าเอยนิ่งเงียบ...หากแต่น้ำตาไม่หยุดไหล เมื่อความทุกข์ใจเรื่องบิดาแทรกเข้ามาในห้วงคำนึง
"ที่เสียไปแล้ว มันเรียกคืนมาไม่ได้ แต่ถ้าฉันเป็นหนู ฉันจะเลือกเส้นทางที่คนในครอบครัวได้ประโยชน์...เอาเป็นว่าตามนี้นะ แต่งงานกับตาเหนือ เขาจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไป"
ข้อเสนอของเขาฟังเหมือนจะดูดีน่าสนใจอยู่ไม่น้อย แต่มันไม่ต่างกับว่าหล่อนกำลังขายตัวแลกเงินก้อนโต และที่สำคัญ มันเป็นการเออออของภาณุวัฒน์เพียงคนเดียว คนก่อเหตุยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังจะถูกจับแต่งงาน
เขาน่ะเหรอจะยอมแต่งงานง่าย ๆ ยิ่งคิดว่าหล่อนคือเมียเก่าที่ทิ้งกันไป เขาจะต้องปฏิเสธหัวชนฝาแน่
หากไม่ติดว่ามีสัญญาหล่อนคงจะไปโดยไม่คิด แต่กลัวเขาเล่นกันด้วยข้อกฎหมาย ลำพังสองมือของหล่อน คงไม่มีปัญญาหาเงินมาใช้หนี้ในเวลาอันรวดเร็วได้แน่นอน
ชีวิตของหล่อนช่างอาภัพ เหมือนตกลงไปในเกมของใครสักคน แล้วก็จำต้องเดินไปตามเกมนั้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลย
หากลาออกก็ไม่มีงานไม่มีเงิน งานสมัยนี้ก็ยิ่งหายาก ซ้ำยังลาออกไปแบบมีหนี้เป็นภาระติดตัวอีกด้วย หากไม่มี
ภาระรออยู่ที่บ้าน หล่อนคงมีทางออกที่ดีกว่านี้
"เอย...เอ่อ...ขอไปนอนคิดก่อนนะคะ"
หน้าของบิดาลอยมา หล่อนจึงมีท่าทีลังเล หากมีเงินก้อนใหญ่ท่านจะได้รับการรักษาแบบทันท่วงทีไม่ต้องรอคิว แต่ถ้าหากไม่มีเงินพอ การรักษาก็จะช้าตาม และอาการของท่านก็จะทรุดลงไปทุกวัน
ภาณุวัฒน์มองตามร่างที่กำลังเดินพ้นกรอบบานประตูออกไปจากห้อง...ไม่รู้ทำไม เขาจึงรู้สึกสงสารหญิงสาวคราวลูกคนนี้ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จากที่ให้คนไปสืบความเป็นอยู่ของคนทางบ้าน เขาจึงได้รู้ว่าหล่อนคือเสาหลักเพียงคนเดียวของครอบครัว
กำลังจะเอ่ยปากเรื่องเงินค่าผ่าตัด แต่ก็มาเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน เขาจึงใช้โอกาสนี้มัดมือชกหล่อนเสียเลย เพราะ
ถึงอย่างไรก็หมายมั่นจะให้หล่อนมาเป็นสะใภ้ตั้งแต่ทีแรก
ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว เขาก็ต้องจับทั้งสองแต่งงานกันอยู่ดี
ความมืดโรยตัวมาห่มคลุมทั่วทุกพื้นที่ บ้านพาณิชกุลย์วางตัวตนโดดเด่นอยู่ท่ามกลางโอบกอดของแสงจันทร์ส่อง...ไฟในห้องทำงานที่ชั้นสี่ยังคงส่องสว่าง บรรยากาศในนั้นแสนจะตึงเครียดจากเรื่องที่ถูกยกนำมาเป็นหัวข้อสนทนา
ภีมพลนิ่งเงียบไม่ปฏิเสธหรือตอบรับ จากการที่บิดาถามหาความรับผิดชอบในสิ่งที่เขาทำกับจันทร์เจ้าเอย...คนที่เขายืนยันหัวชนฝาว่าคือปานตะวัน
"นายต้องแต่งงานกับหนูเอย เพราะว่านายเป็นคนทำให้เรื่องมันเกิดขึ้นมาเอง"
ริมฝีปากได้รูปกระตุกยิ้ม ภายในใจกำลังสับสนหลงทาง คิดไปพร้อมกัน...เขาควรบอกบิดาหรือไม่ว่าหล่อนคือเมียของเขาที่ทิ้งกันไป และท่านกำลังถูกหลอกด้วยท่าทีใสซื่อแสนน่าสงสาร แต่ดูท่าแล้วบอกไปท่านคงจะไม่เชื่อ คงจะหาว่าเขากำลังใส่ไฟหล่อนเพราะความโกรธที่ท่านพาหล่อนเข้าบ้านโดยไม่ปรึกษากันสักคำ
"เธอบอกว่านายคิดว่าเธอคือเมียเก่า หึ อยากได้เขาก็บอกฉันดี ๆ ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้มุกตลก ๆ เพื่อหาเรื่องลวนลามเขาหรอก"
นั่นไง...ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรท่านก็เผยความคิดมาแล้ว ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะเงียบ เขากำลังคิดว่าควรเดินตามเกมบิดา แกล้งโง่ยอมแต่งงานเพื่อหลอกล่อหล่อนให้มาติดกับดัก จากนั้นก็ทำให้หล่อนเจ็บ ต้องอยู่อย่างทุกข์ทนในสภาพได้ตัวแต่ไม่ได้หัวใจ ให้หล่อนได้รู้รสชาติของความเจ็บปวดเสียบ้าง
'เธออยากเล่นเกมเองนะเอิง ได้! ได้เลย แล้วเราจะได้เห็นดีกัน'
มันคงจะบ้าไปแล้วที่เขายอมแต่งงานอย่างง่ายดายกับคนที่เคยทิ้งกันไป แถมวันนี้ยังเข้ามาหลอกทุกคนว่าหล่อนไม่ใช่ปานตะวัน และไม่รู้ว่าหล่อนไปฟ้องบิดาของเขาแบบไหน ท่านจึงมัดมือชกให้งานแต่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้
'เอิง...พี่ไม่เข้าใจความคิดเธอ ต้องการอะไรกันแน่ หรือว่าเธอ..จะไม่ใช่เอิงจริง ๆ'
ยามเดินออกมาจากห้องทำงานของบิดา เขาคิดฟุ้งซ่านไปกับคำถามในใจมากมาย ในคราแรกเขาคิดว่าหล่อนคือว่าที่เมียใหม่บิดา เข้ามาที่นี่โดยไม่รู้ว่าเขากับบิดาเป็นพ่อลูกกัน และเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ จึงล้างประวัติตัวเอง
ใหม่ เปลี่ยนตัวเองเป็นใครอีกคนที่ไม่เคยมีตัวตนมาก่อนหน้า เปลี่ยนจากชื่อปานตะวันเป็นจันทร์เจ้าเอย เพราะแค่ข้อมูลบัตรประชาชนที่ใช้แสดงก็ไม่อาจบอกเขาได้ว่าหล่อน
ไม่ได้เปลี่ยนชื่อนามสกุลมาใหม่ สมัยนี้มีหลายคนเปลี่ยนกันให้วุ่นวาย ไม่เว้นแม้แต่นามสกุล ถ้าหากไม่สืบค้นไปให้ลึก ๆ ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่ามีเบื้องหลังเป็นอย่างไรกันแน่
และเขาไม่ได้นั่งว่างมาทำแบบนั้น ใจเชื่อไปแล้วว่าหล่อนคือปานตะวัน จะมีข้อสะกิดใจเล็ก ๆ ที่ทำให้สับสน หากหล่อนเข้ามาในฐานะแม่ใหม่ของเขา เหตุใดบิดาจึงยอมยกหล่อนให้กับเขาอย่างง่ายดายโดยไม่มีท่าทีโกรธเคืองเลยสักนิด
'หรือว่า...'
ชายหนุ่มพยายามหาเหตุผลมาสนับสนุนความเชื่อของตัว บางทีหล่อนอาจอยากกลับมาหาลูก แต่เพราะกลัว
เขาจะยังไม่หายโกรธ และไม่ต้อนรับหากกลับมาในฐานะคนรักเก่า ก็เลยต้องแกล้งทำทีเป็นคนอื่นสวมรอยเข้ามา โดยใช้บิดาของเขาเป็นเครื่องมือ
เรื่องที่ว่าหล่อนมีฝาแฝด มันคือเรื่องแต่งเพื่อให้เขาสับสน สรุปหล่อนนั่นแหละคือปานตะวัน ที่ยอมแต่งงานกับเขาอย่างง่ายดายก็เพราะอยากให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม...แต่...หล่อนจะไม่ได้โอกาสนั้น ที่เขายอมแต่งงานก็เพราะอยากเอาคืนเท่านั้น ให้หล่อนต้องเจ็บปวด
กับการเป็นฝ่ายถูกทิ้งบ้าง
หากหล่อนกลับมาเพื่อต้องการทวงทุกอย่างคืน เขา
สัญญา...หล่อนจะไม่มีวันทำสำเร็จ เพราะหัวใจเขายังจำ...จำได้ดีว่าหล่อนทำกันเจ็บแสบแค่ไหน
'ลูกผัวเธอยังทิ้งมาแล้ว หลอกพี่มาหลายปี นับ ประสาอะไรกับการแสดงละครตบตา เธอมันไม่น่าไว้ใจอีกแล้วเอิง'
เขาบดกรามจนเป็นสันนูน ยามเดินลงบันไดมาถึงชั้นล่าง...ตรงมุมพักผ่อน เสียงหัวร่อต่อกระซิกลอยมา แววตาเข้มทอประกายกรุ่นโกรธ เมื่อแก้วตาดวงใจของเขากำลัง
คุยอ้อแอ้อยู่กับคนที่ใจแสนชิงชัง หล่อนกำลังเล่นอยู่กับลูก ผู้หญิงที่เขาคิดว่าคือปานตะวัน
เขาปรี่เข้าไปทันที สองมือยื้อแย่งลูกน้อยมาจากอ้อมอกจันทร์เจ้าเอย
"เธอไม่มีสิทธิ์อุ้มเขา ไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งนั้น!"
พฤติกรรมของเขา อีกทั้งแววตาโกรธขึ้งที่มองมา จันทร์เจ้าเอยยืนกำมือแน่น นับหนึ่งถึงถึงร้อยในใจ เพื่อที่จะไม่ตบะแตกปะทะคารมกับเขา
"คุณวัฒน์จ้างเอยมาช่วยเลี้ยงน้อง เอยได้รับเงินเดือน ก็ต้องทำหน้าที่ให้คุ้มกับเงินที่เขาจ้างสิคะ"
แววตาเข้มตวัดมอง กระตุกยิ้มหยัน อ้อมแขนแกร่งโอบกระชับทารกน้อยเอาไว้แนบอก ราวกับหวงแหนไม่อยากให้ใครแตะต้อง
"ก็ได้เอิง เอยก็เอย เธอจะสวมรอยเป็นใครก็ได้ ในเมื่อเธอบอกว่าเธอคือจันทร์เจ้าเอย พี่ก็จะคิดว่าเธอเป็นคนอื่นก็ได้ หึ คุณพ่อจ้างเธอเท่าไหร่ล่ะ พรุ่งนี้เดินไปบอกนะว่าพี่ไม่ให้ทำ ให้ท่านลดเงินเดือนส่วนนี้ไปได้เลย"
เขายังคงหัวชนฝากับความเชื่อของตัว อุ้มลูกเดินหนี
ไปท่ามกลางรอยแตกร้าว...จันทร์เจ้าเอยยืนมองจนเขาหายเข้าไปในลิฟต์ เมื่อประตูลิฟต์ปิดสนิทหล่อนก็ยืนคว้างอยู่กลางบ้านเพียงลำพัง
'ถ้าเรา...จะสวมรอยเป็นผู้หญิงที่เขาเคยรักเสียเลยล่ะ...'
ความเจ็บช้ำจากสิ่งที่เขาทำคือแรงขับที่ทำให้อยากเอาชนะ ในเมื่อเรียกสิ่งที่เสียไปคืนกลับมาไม่ได้ หล่อนก็จะขอเดินหน้าด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว ทุ่มหมดหน้าตัก โดยมีหัวใจของเขาเป็นเดิมพัน
จะยอมแลกซึ่งอิสรภาพที่ต้องสูญสิ้นไปด้วยการยอม
แต่งงานกับเขา สวมรอยเป็นเมียเก่าที่เขายัดเยียดมาให้ เชื่อว่าเขายังรักยังผูกพันกับผู้หญิงที่ชื่อปานตะวัน ความใกล้ชิดจะช่วยละลายความเกลียดชังที่สุมใจ และหล่อนจะเป็นคนรื้อฟื้นความทรงจำให้เขาเอง
'ถ้าเอยได้หัวใจพี่เหนือมาเมื่อไหร่ วันนั้นคือวันที่เอยจะเอาคืน!'
หล่อนขบกรามแน่นด้วยหัวใจที่เก็บความโกรธแค้นเอาไว้ สัญญากับตัวเองว่าต้องทำให้ได้ เมื่อได้หัวใจเขามา
หล่อนจะเอาคืนให้สมกับความเลวที่เขาได้ทำลงไป...เกมของหล่อนกำลังเริ่มต้นขึ้น โดยไม่รู้เลยว่า เกมของเขาก็กำลังเริ่มต้นขึ้นแล้วเช่นกัน
หากแต่มันอาจต้องใช้ความอดทนและเวลา คิดยามเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนแทนการใช้ลิฟต์ ใจของหล่อนกำลังฟุ้งซ่านหนัก จะทำอย่างไรเพื่อให้ได้หัวใจของคนใจด้านชามาไว้ในกำมือ
หยาดน้ำตารินไหลอีกครั้ง เมื่อนึกไปถึงอาการป่วยของบิดา หล่อนส่งใจให้ลอยไปตามลม บอกให้ท่านรับรู้...อีกไม่นาน...หล่อนก็จะมีเงินก้อนใหญ่พาท่านไปรักษา เป็นเงินที่ได้มาด้วยวิธีการไม่ต่างไปจากขายเรือนร่างแลกเงิน
เพราะหนทางที่บีบบังคับ...บางครั้งเราก็ควรโยนศักดิ์ศรีทิ้งไป เลือกในทางที่จะทำยังไงก็ได้เพื่อต่อลมหายใจของคนในครอบครัว แม้จะเป็นหนทางที่พาไปสู่นรกหล่อนก็ยอมที่จะตกลงไป แลกกับการได้ฉุดคนที่รักให้หลุดพ้นจากความทรมานเสียที