Chapter 3
แม่เลี้ยงคนใหม่
บ้านพาณิชกุลย์...
ตัวอักษรที่ติดอยู่กับรั้วบ้านสีดำทึบมองไม่เห็นข้างในนั้นช่างโดดเด่น จันทร์เจ้าเอยนั่งนิ่งมือชื้นเหงื่ออยู่ในรถที่ไอเย็นห่มคลุมผิวกาย...แน่นอน...หลังจากนอนครุ่นคิดมาทั้งคืนหล่อนก็ตอบตกลง ยอมทำตามเงื่อนไขของภาณุวัฒน์เพื่อแลกกับเงินเดือนที่น่าพอใจ ก็แค่อาจจะเหนื่อยเพิ่มมาก
ขึ้นกับการช่วยเป็นพี่เลี้ยงเด็ก แต่เพื่อปากท้องของคนในครอบครัวหล่อนก็ยอม คิด ๆ ดูแล้วหล่อนจะไปหางานที่ไหนที่เงินเดือนสูงลิ่วสำหรับเด็กจบใหม่เช่นนี้
หากแต่ภาณุวัฒน์ก็มีสัญญา หล่อนห้ามลาออกก่อนครบหนึ่งปี ไม่อย่างนั้นหล่อนจะเสียเงินค่าปรับเป็นจำนวนหลักแสนเลยทีเดียว หากแต่หล่อนก็เซ็นต์ยินยอมไปแล้ว เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งงานทำและค่าตอบแทนที่สูง ฝันหวานไปถึงอนาคตของน้องชาย หล่อนจะมีเงินส่งเขาเรียนในสาขาที่อยากเรียน มีเงินรักษาอาการป่วยของบิดา หลังจากที่ลำบากกันมานานเหลือเกิน
"เข้ามาสิ ฉันจะพาหนูไปเดินดูให้ทั่ว จะได้คุ้นชินว่าอะไรอยู่ตรงไหน"
การที่จันทร์เจ้าเอยยืนนิ่งอยู่หน้าลิฟท์ ภาณุวัฒน์ต้องออกมาคว้าข้อมือของหล่อนให้ตามเข้าไป ก่อนที่ประตูลิฟท์จะค่อย ๆ ปิดลง
บ้านของเขาที่ดูภายนอกใหญ่เกินจะเป็นบ้าน มันคือตึกห้าชั้นดี ๆ นี่เอง แต่เมื่อเข้ามาข้างในการตกแต่งก็ทำให้ลืมไปเลยว่ามันคือบ้านตึก เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นที่เหมือนกับบ้านทั่ว ๆ ไป จะต่างกันก็ตรงที่บ้านหลังนี้มีลิฟท์เอาไว้สำหรับคนที่ขี้เกียจขึ้นลงบันได...จันทร์เจ้าเอยรู้สึกประหม่า เมื่อได้มาอยู่ในสังคมที่ต่างจากสังคมเดิมของตนชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ
สมแล้วที่เป็นบ้านของเจ้าพ่อในแวดวงอสังหาฯ หล่อนเพิ่งรู้จากภาณุวัฒน์ บ้านหลังนี้ลูกชายของเขาซึ่งเป็นวิศวกรเป็นคนออกแบบและวางโครงสร้างมากับมือ ระบบกลไกต่าง ๆ ภายในบ้าน ไม่มีใครรู้ลึกซึ้งเท่าภีมพล
"บ้านหลังนี้...มีกลไกด้วยเหรอคะ"
หล่อนชักนึกกลัวเสียแล้ว คิดไปไกล หากถูกจับขังในบ้านหลังนี้จะเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อภาณุวัฒน์บอกว่าบ้านหลังนี้มีระบบป้องกันการโจรกรรม โครงสร้างต่าง ๆ ก็เลยถูกวางขึ้นมาแบบซับซ้อนชนิดที่คนนอกไม่มีทางรู้กับมัน นอกจากคนออกแบบเท่านั้น และคนนั้นก็คือลูกชายเขาเอง
ลิฟต์เคลื่อนมาหยุดที่ชั้นห้า เพียงประตูค่อย ๆ เปิดออก สายตาของจันทร์เจ้าเอยก็เห็นชั้นหนังสือสูงจรดเพดาน มีหนังสืออัดแน่นอยู่ในนั้น มีทั้งเดย์เบดและโซฟาสำหรับให้นอนเอกเขนก ม่านที่ถูกรูดเปิดไว้พอให้แสงสว่าง
หล่อนมองเห็นสวนเขียวรื่นที่ด้านนอก บรรยากาศที่พาให้สองขาต้องเดินไปหยุดยืนอยู่ริมแผ่นกระจกสูงจรดเพดาน ก้มมองลงไป เหล่าดอกไม้กำลังผลิบานรับลมหนาว แทรกแซมอยู่กับสวนทรอปิคอลอย่างกลมกลืน
"ถ้าอยากอ่านหนังสือและหาอะไรดื่ม ก็กดลิฟท์มาที่ชั้นนี้ อ้อ ฉันลืมบอกไป สระว่ายน้ำก็อยู่ชั้นนี้"
หล่อนมองไปยังบาร์เครื่องดื่มที่อยู่ตรงทางเดินไปสระว่ายน้ำ ก่อนจะเดินตามเจ้าของบ้านที่กำลังผลักบานประตูกระจกออกไปข้างนอก และผืนน้ำสีครามก็อยู่ตรง หน้า จันทร์เจ้าเอยหมุนกายมองไปรอบ ๆ หล่อนกำลังคิดว่าที่นี่คือโรงแรมหรูที่มีทุกอย่างครบครัน
"ไปดูห้องนอนของหนูกันเถอะ"
เมื่อใช้เวลาที่ชั้นห้ากันพอสมควร ภาณุวัฒน์ก็พาเดินลงไปตามบันไดแทนการใช้ลิฟท์ จนมาถึงที่ชั้นสี่ เหมือนอาณาจักรส่วนตัวของใครสักคน
"ห้องนอนของฉันเอง ส่วนชั้นสามเป็นของตาเหนือลูกชายคนโต กับของตาหมอกลูกชายคนเล็ก รายนั้นนาน ๆ ทีจะมา เพราะส่วนใหญ่เขาจะอยู่กับคุณแม่ของเขาที่บ้านโน้นน่ะ"
การที่คนฟังเอียงคอทำหน้างง ภาณุวัฒน์จึงเฉลยเรื่องส่วนตัวให้หล่อนได้รู้
"ฉันหย่ากับแม่ของลูกหลายปีแล้ว ลูกชายคนเล็กก็เลยไปอยู่กับแม่เขาน่ะ"
"อ่อ ค่ะ"
จันทร์เจ้าเอยคลี่ยิ้มเฝื่อน...นึกไปถึงตัวเอง หล่อนเองก็ไม่เคยได้เห็นหน้าแม่นับตั้งแต่จำความได้ แม้กระทั่งบิดา ท่านยังไม่รู้เลยว่าแม่ของหล่อนอยู่ส่วนไหนของประเทศไทย แยกทางกันตั้งแต่หล่อนยังเล็ก จนบิดามาได้เมียใหม่และมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน แม่ใหม่ของหล่อนก็จากไปด้วยโรคภัยที่รุมเร้า
'ชั้นนี้สินะ ที่เป็นของลูกชายเขา'
ที่ชั้นสาม อันเป็นอาณาจักรส่วนตัวของภีมพล จันทร์เจ้าเอยหยุดนิ่งอยู่ตรงบันไดขั้นสุดท้ายหลังจากเดินลงมาจากชั้นสี่ ด้วยความไม่ตั้งใจ สายตาของหล่อนมองไปยังประตูห้องหนึ่งที่ปิดสนิท เดาเอาว่าคงเป็นห้องนอนของคุณพ่อลูกอ่อนช้ำรัก และการที่ภาณุวัฒน์เดินตรงไปยังบานประตูบานนั้น หล่อนก็รู้สึกแปลก ๆ กับบรรยากาศแสนเงียบงัน ยืนขาแข็งไม่กล้าเดินตามเขาไปถึงหน้าห้องของภีมพล
เหมือนมีพลังงานบางอย่างส่งผ่านออกมา บอกหล่อนว่าควรรีบหนีไปจากตรงนี้ แม้ยังไม่เคยได้ทำความรู้จักกับลูกชายของเขา หล่อนก็คิดไปเอง คิดกลัวไปสารพัด กลัวเขาจะไม่ต้อนรับสมาชิกใหม่ที่บิดาเชื้อเชิญให้เข้ามาอยู่ร่วมชายคา ในอาณาจักรส่วนตัวของเขาที่หล่อนเป็นแค่คนนอก ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใด ๆ กันแม้เพียงสักนิดเดียว
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น ทำให้เวลาพักผ่อนยามบ่ายในวันหยุดของภีมพลต้องถูกขัดจังหวะ ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้วมองไปยังเตียงเล็กข้างตัว....นางฟ้าน้อยของเขายังคงหลับสนิทอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น
เดินสะโหลสะเหลไปยังประตูหน้าห้องนอน เขาส่องตาแมวแล้วเห็นว่าเป็นบิดา จึงแง้มบานประตูพอให้สนทนากันได้
"มีอะไรหรือเปล่าครับคุณพ่อ"
"ยายหนูหลับอยู่หรือเปล่า"
"ครับ ยิ่งอากาศแบบนี้ ดูท่าแล้วน่าจะอีกยาวเลยล่ะครับคุณพ่อ"
เขาหันไปมองเจ้าตัวเล็กอีกครั้ง ร่างที่นอนหลับตาพริ้มเคลิ้มฝัน ทำรอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดพราว
"พอดีว่า...ฉันมีคนจะแนะนำให้นายรู้จักน่ะ"
มาไม้นี้อีกแล้ว...ภีมพลลอบถอนหายใจยาว เขารู้เท่าทันในความคิดของบิดาจึงรีบตัดบท
"ถ้าจะหาเมียมาให้ผม หาแม่ใหม่ให้หลาน บอกไว้เลยนะครับคุณพ่อ ผมไม่เอา ถ้ามายุ่งกับผมจะตะเพิดให้กระเจิงเลยคอยดู!"
"ไม่ใช่ ๆ เธอเป็นเลขาที่ฉันให้มาช่วยงาน และก็จะให้
มาช่วยป้าพินของนายเลี้ยงน้องในวันหยุด ช่วยแบ่งเบาภาระแก ยุพินจะได้ไปทำอย่างอื่นบ้าง"
".....?"
ภาณุวัฒน์หันหน้าหันหลัง เห็นคนที่ตั้งใจพามาให้ลูกชายรู้จักยืนอยู่เสียไกล หล่อนยืนอยู่ตรงบันไดจนเขาต้องพยักหน้าให้หล่อนเดินเข้ามาหา
"หนูเอย ไปยืนทำอะไรตรงนั้น มานี่สิ มาใกล้ ๆ ฉัน"
ภีมพลมองตาม...เขามองเลยร่างของบิดาไปยังหญิงสาวในเดรสสีชมพูกลีบบัว ผมของหล่อนยาวสลวยดำขลับ ใบหน้าที่แต่งแต้มแต่พองาม...ทำคนมองยืนช็อกตะลึงตาค้างนิ่งงัน
'อะ...เอิง!’
เหมือนถูกอะไรสักอย่างฟาดหน้าจนหูอื้อตาลาย...ภีมพลยืนตัวสั่นใจเต้นแรง แววตาสั่นระริกจับจ้องมองคนที่เดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ในขณะที่เขากำลังช็อกจากความรู้สึกหลากหลาย หากแต่หล่อนกลับไม่ใช่ หล่อนทำเหมือนไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ...ปานตะวัน
'เอิง...เธอมาได้ยังไง!’
เขาสับสนไปหมด หล่อนต้องการอะไร จึงเข้ามาในบ้านหลังนี้ด้วยการใช้บิดาของเขาเป็นใบเบิกทาง
"นี่หนูเอย..."
ปึง!
เสียงปิดประตูใส่หน้าทั้งที่ยังไม่ทันจะพูดจบ...ในห้องกว้าง ภีมพลยืนเอาหลังพิงบานประตูเพื่อตั้งสติ ชายหนุ่มบดกรามจนเป็นสันนูน สัมผัสได้ถึงใจที่ยังคงเต้นแรงสั่นระรัว ความทรงจำที่คิดว่าลืมมันไปจากใจได้แล้ว มาวันนี้เขาเพิ่งพานพบ...แท้จริงหล่อนไม่เคยเลือนหายไปจากใจที่เจ็บช้ำของเขาเลย
ทั้งรักทั้งแค้นสุมอยู่ในอก...เขาทำตัวไม่ถูกเมื่อแม่ของลูกมาปรากฎตัว หากแต่หล่อนช่างแสดงละครได้อย่างแนบเนียน หลอกบิดาของเขาจนหัวปั่น ท่านไม่รู้ตัวเลยว่า คนที่พาเข้ามาในบ้านจะในฐานะอะไรก็ตามแต่ คนนั้นก็คือเมียของลูกชายที่ทิ้งกันไปให้เขาต้องเลี้ยงลูกมาเพียงลำพัง
แววตาแดงก่ำร้อนผ่าวปวดหนึบจับจ้องไปยังร่างน้อย ๆ บนเตียงนอน สองขาพาร่างกายที่เบาโหวงเดินเข้าไปหาแก้วตาดวงใจแล้วค่อย ๆ คลานขึ้นเตียง ก่อนขยับเข้าไปใกล้เตียงเล็กที่มีลูกกรงกั้นเอาไว้สามด้าน ฝ่ามือแกร่งยื่นไปสัมผัสกับศีรษะทุยแล้วลูบไล้ไปมาด้วยความหวงแหน
และแววตาเข้มก็ทอประกายแข็งกร้าว...สาบานได้ ไม่ว่าปานตะวันจะมีจุดประสงค์อะไรก็ตามแต่ สิ่งหนึ่งที่เขาจะไม่ให้หล่อนได้สมหวัง นั่นก็คือการได้เข้าใกล้ลูกที่หล่อนเคยทอดทิ้ง เขาจะกีดกันไม่ให้หล่อนได้ทำหน้าที่แม่ และลูกสาวของเขาจะไม่มีวันรู้...รู้ว่ามีแม่ที่ชื่อปานตะวัน