บทที่ 3/4
วันนี้เฉินหลิงเว่ยมีนัดหมายส่งผักและดอกไม้เมื่อมาถึงเถ้าแก่ก็ออกมาต้อนรับนางด้วยรอยยิ้มอีกทั้งเอ่ยชวนนางเข้าไปดื่มน้ำชา เฉินหลิงเว่ยจึงให้ฉินอู่ซ่งเป็นคนดูแลขนผัก
“ดูเหมือนลูกค้าของท่านจะมีมากขึ้น”
“ต้องขอบใจคำแนะนำของเจ้า”
เฉินหลิงเว่ยยิ้มอ่อนโยน เรื่องนี้นางเองก็ได้ผลประโยชน์ดังนั้นจึงไม่กล้ารับคำของคุณนี้ของเถ้าแก่ได้อย่างเต็มคำ ทว่าเมื่อเห็นว่าเถ้าแก่พานางเดินขึ้นมายังชั้นสองของโรงเตี๊ยมเฉินหลิงเว่ยก็เอ่ยถามเสียงเรียบ
“เถ้าแก่มีเรื่องสำคัญจะคุยกับข้าหรือ”
“ขออภัยแม่นางเฉิน แต่แท้จริงแล้วมีคนต้องการพบเจ้า”
เฉินหลิงเว่ยมองไปที่โต๊ะริมระเบียง บุรุษในชุดสีฟ้าครามส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ ข้างกายเขามีเด็กชายตัวเล็กวัยประมาณห้าขวบนั่งทานขนมด้วยท่าทางนิ่งสงบ
“คุณชายท่านต้องการพบข้าไม่ทราบมีกิจธุระอันใดหรือเจ้าคะ”
“ข้าเพียงอยากเลี้ยงข้าวขอบคุณเจ้าที่เคยช่วยชีวิตอาหมิง”
“เรื่องวันนั้นข้ารับคำขอบคุณของท่านมาแล้ว วันนี้ข้ามีเรื่องต้องไปจัดการคงต้องขอตัวเจ้าค่ะ”
จ้าวเสี่ยวเฟิ่งเห็นว่านางกำลังจะจากไปก็หันไปสะกิดลูกชาย จ้าวลู่หมิงเห็นสัญญาณจากแววตาของบิดาส่งมาก็พลันเข้าใจในเจตนาของบิดา มือเล็กวางขนมเซาปิงลงบนจานแล้วรีบลุกขึ้นวิ่งไปทิ้งตัวลงนั่งกอดขาของเฉินหลิงเว่ยเอาไว้แน่น
“ท่านแม่...”
เฉินหลิงเว่ยเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนขมวดคิ้วเล็กมองเด็กชายตัวน้อยที่กอดขานางเอาไว้แน่น แล้วส่งสายตาไม่พอใจไปยังผู้เป็นบิดาของเขา
“อาหมิงอย่าเสียมารยาท”
จ้าวเสี่ยวเฟิ่งแสร้งปรามบุตรชายน้ำเสียงไม่จริงจังนัก ทว่าไม่เพียงมือเล็กไม่ยอมปล่อยขาเฉินหลิงเว่ย เขายังแนบใบหน้ากลมบนต้นขานาง
“ท่านพ่อเคยกล่าวว่าท่านแม่คือผู้มอบชีวิตให้ข้า วันก่อนท่านช่วยชีวิตข้าท่านย่อมเป็นท่านแม่ของข้า”
เฉินหลิงเว่ยขบกรามแน่น เด็กชายตรงหน้าอายุเพียงห้าขวบให้ฉลาดเจรจาเพียงใด ทว่าข้อความสมเหตุผลอีกทั้งยังเอ่ยได้โดยไม่ติดขัดเช่นนี้เขาย่อมไม่อาจคิดได้ด้วยตนเอง
“ท่านแม่...อาหมิงไร้มารดาตั้งแต่เด็ก ท่านรับข้าเป็นบุตรสักคนเถิด อาหมิงเป็นเด็กดีไม่ดื้อ และจะเชื่อฟังจะกตัญญูต่อท่านแน่นอน”
เฉินหลิงเว่ยขบกรามแน่น ช่างสอนสั่งกันมาดีจริงๆ ดูเหมือนงิ้วฉากนี้นางจะไม่เล่นไม่ได้แล้ว เฉินหลิงเว่ยย่อตัวลงนั่งเบื้องหน้าเด็กน้อย นางจับมือเล็กป้อมสองข้างขึ้นมากุมเอาไว้ด้วยท่าทางอ่อนโยน
“อาหมิงเจ้าช่างเป็นเด็กน่าสงสารนัก”
“เช่นนั้นท่านแม่ ท่านรับอาหมิงเป็นบุตรแล้วใช่หรือไม่”
“ย่อมได้ แต่ท่านแม่ผู้นี้ชื่นชอบเด็กฉลาดและแข็งแรงยิ่งนัก ต่อไปอาหมิงทุกเช้าเจ้าต้องตื่นก่อนดวงตะวันจะขึ้น”
“อาหมิงจะตื่นแต่เช้า”
“อาหมิงเด็กดี หากเจ้ารับข้าเป็นท่านแม่ทุกเช้าต้องตื่นมาคัดอักษร อ่านตำรากับท่านแม่ผู้นี้”
“อาหมิงจะตื่นมาคัดอักษรอ่านตำรากับท่านแม่”
“แล้วก็... ขนมหวานพวกนั้นต้องงดกิน”
“งดขนมหรือ!”
“ขนมหวานทำให้ฟันผุ เสียสุขภาพเจ้าจะไม่แข็งแรง”
จ้าวลู่หมิงพลันน้ำตาคลอ ใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยวหันไปสบตาผู้เป็นบิดา เฉินหลิงเว่ยยกมุมปากเล็กน้อยจดจ้องไปยังผู้บงการตัวจริง
“ท่านพ่ออาหมิงไม่อยากงดขนมหวาน”
เสียงเล็กที่สดใสเจื้อยแจ้วก่อนหน้าสั่นเครือ ดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยหน่วยน้ำตาหันไปสบตาขอความช่วยเหลือจากบิดา ทว่าจ้าวเสี่ยวเฟิ่งไม่คิดว่าเฉินหลิงเว่ยจะใช้ไม้นี้โต้ตอบ ดังนั้นจึงไม่มีแผนสำรองไว้รองรับ เมื่อเห็นว่าบิดาไม่เอ่ยปากช่วยเหลือในใจของจ้าวลู่หมิงก็พลันหวาดกลัว เขาชื่นชอบขนมหวานมาก ต่อให้เขาอยากมีมารดาเพียงใดก็ไม่อาจตัดใจงดขนมหวานได้ ภายในใจทั้งหวาดกลัวทั้งอับจนหนทางจะโต้ตอบสุดท้ายริมฝีปากเล็กก็ค่อยๆเบะออกหยาดน้ำตาไหลอาบแก้มกลม ไหล่เล็กสั่นไหวไปมา เฉินหลิงเว่ยพลันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หากแต่นางไม่อาจให้ความสงสารครอบงำจนตกหลุมพรางผู้อื่น มือบางจับใบหน้ากลมหันมาสบตาแล้วยิ้มอ่อนโยน นิ้วเรียวเกลี่ยหยาดน้ำตาออกจากใบหน้าของเด็กน้อย
“อาหมิงเด็กดี เช่นนั้นต่อไปเจ้าเรียกข้าพี่สาวดีหรือไม่ หากเจ้าเรียกข้าพี่สาววันหน้าข้าจะทำขนมเฉียวกัวมาให้เจ้ากิน”
“กินขนมหวานแล้วสุขภาพไม่ดี ท่านไม่ชอบไม่ใช่หรือ”
“หากเจ้าเป็นบุตรข้าข้าย่อมเข้มงวดกับเจ้า แต่หากเจ้าเป็นน้องชายข้าข้าจะตามใจเจ้าเป็นพิเศษ”
“เช่นนั้นอาหมิงเรียกท่านว่าพี่สาวแล้วจะได้กินขนมใช่หรือไม่”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น”
“พี่สาว พี่สาว อาหมิงเรียกพี่สาว”
เฉินหลิงเว่ยยิ้มกว้างมองเด็กน้อยที่ยิ้มสดใสทั้งที่น้ำตายังอาบแก้มกลม จ้าวเสี่ยวเฟิ่งถอนหายใจยาวมองบุตรชายของตนอย่างขัดใจ จ้าวลู่หมิงเรื่องใดล้วนฉลาดเกินวัย แต่พอเป็นเรื่องของขนมหวานกลับพลาดท่าเสียทุกครา
“พี่สาวเช่นนั้นท่านไปอยู่ที่บ้านอาหมิงดีหรือไม่ ท่านอยู่บ้านอาหมิงย่อมทำขนมให้อาหมิงกินได้ทุกวัน”
จ้าวเสี่ยวเฟิ่งยิ้มกว้างอย่างน้อยบุตรชายผู้นี้ก็ยังรู้ความ เฉินหลิงเว่ยพลันยิ้มแห้ง นี่เขาเป็นเด็กชายวัย 5 ขวบจริงๆ ใช่หรือไม่
“พี่สาวแต่งงานแล้วไม่อาจไปอยู่บ้านผู้อื่นได้”
“แต่งงานแล้ว! เจ้าแต่งงานแล้วหรือ”
จ้าวเสี่ยวเฟิ่งลุกขึ้นยืนเอ่ยถามเสียงลั่นหมดสิ้นภาพลักษณ์อันสงบนิ่งที่เคยมี เฉินหลิงเว่ยเงยหน้าสบสายตาคมที่ตื่นตกใจแล้วพยักหน้ารับคำ
“เจ้าค่ะข้าแต่งงานแล้ว สามีข้ามีนามว่ากัวอี้เทียน”
……………………………………